ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 19 จุดอ่อนของเจ้า!
บทที่ 19 จุดอ่อนของเจ้า!
ลู่เฉินยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง กระทั่งปิงหลิวหลีย้ายหินออกไปจนหมด บัดนี้จึงเผยให้เห็นทางเข้าถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง
“ในที่สุด!” ปิงหลิวหลีตะโกน ก่อนจะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่
ลู่เฉินหันไปกล่าวกับนาง “เจ้ารอด้านนอก!”
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็กระโดดและหายตัวไปภายในถ้ำ
โจวอวี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งกับภาพตรงหน้า เมื่อสติคืนกลับมา เขาก็ตะโกนว่า “อย่าหนีนะ!” แล้วกระโดดตามลู่เฉินเข้าไปในถ้ำ
ปิงหลิวหลีรู้สึกกังวลเล็กน้อย เจ้าพวกนี้ไม่กลัวความตายงั้นหรือ?”
…
ภายในถ้ำอันมืดมิดแสนกว้างใหญ่ แม้จะใช้ศิลาวิญญาณสร้างแสงสว่างรอบข้าง แต่ก็ทำให้เห็นเพียงแค่หมู่ม่านหมอกเท่านั้น
เพราะที่นี่ยังมีค่ายกล
ค่ายกลของที่นี่ซับซ้อนยิ่งนัก หากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ที่มีความรู้ด้านนี้ ก็อาจหลงเข้าไปติดอยู่ในนั้นได้อย่างง่ายดาย หรือไม่ก็ถูกค่ายกลสังหารจนตายตก
ทว่าสำหรับลู่เฉินแล้ว ค่ายกลเหล่านี้เป็นเพียงค่ายกลเล็ก ๆ สำหรับเด็กน้อยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถเดินเหินในสถานที่นี้ได้อย่างอิสระ
ในขณะที่โจวอวี๋ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีอะไรรอเขาอยู่ด้านล่าง ดังนั้นทันทีที่ร่อนลงมาแล้วเดินไปเพียงไม่กี่ก้าว หมอกรอบ ๆ กายก็บังเกิดขึ้นรายล้อม จึงทำได้เพียงมองหมอกควันตรงหน้าและตะโกนขึ้นว่า “ออกมาเดี๋ยวนี้!”
”ข้าบอกแล้ว เจ้ามีจุดอ่อน” เสียงของลู่เฉินที่ดังวนเวียนอยู่รอบกาย ทำให้โจวอวี๋รู้สึกรำคาญยิ่งนัก “ผู้ใดจะรู้ว่าสุสานนี้มีค่ายกล!”
“เจ้าคิดจะผิดคำพูดหรือ?”
“ข้า!” โจวอวี๋แทบจะอยากตบหัวตัวเอง ส่วนลู่เฉินก็เพียงฉีกยิ้มออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้!”
คล้ายโจวอวี๋จะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ในฉับพลันนั้น เขายิ้มกว้างพลางเอ่ยว่า “แม้ข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่เจ้าก็เอาชนะข้าไม่ได้เช่นกัน!”
“ข้าเอาชนะเจ้าไม่ได้งั้นรึ?”
“ใช่แล้ว! ที่นี่มีค่ายกลปกคลุม ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่อยู่ภายในนี้ ก็ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น!” โจวอวี๋เอ่ยอย่างมั่นใจ
แต่ผู้ใดจะรู้ว่า… บัดนี้ลู่เฉินกำลังยืนอยู่ด้านหลังโจวอวี๋ห่างออกไปเพียงสามก้าวเท่านั้น!
ชายหนุ่มหยิบศิลาวิญญาณออกมา ก่อนจะผุดยิ้มแล้วกล่าวกับโจวอวี๋ด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก “หากข้าลอบโจมตีเจ้าจากด้านหลังในยามนี้ เจ้าย่อมได้รับบาดเจ็บแน่!”
“ไม่หรอก!” โจวอวี๋หันกลับมาทันที เขาขว้างหอกออกไป โดยมีเป้าหมายคือแขนของลู่เฉิน!
ทว่าลู่เฉินเพียงยิ้มเล็กน้อย และหายตัวไปต่อหน้าต่อตา
“น…นะ…นี่มันเรื่องอันใดกัน?” โจวอวี๋เบิกตากว้าง จากนั้นรีบพุ่งไปยังบริเวณที่ลู่เฉินยืนอยู่เมื่อครู่ ก่อนจะพบว่ารอบ ๆ นั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากกลุ่มหมอกควันที่ปกคลุม
“เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าอยู่ไหน!” เสียงของลู่เฉินดังขึ้นอีกครั้ง
โจวอวี๋รู้สึกกระวนกระวาย “ข้าบอกแล้ว ตราบใดที่เจ้ายังเอาชนะข้าไม่ได้ มันก็ไม่ถือว่าชนะ!”
“เจ้าจะบีบให้ข้าลงมืองั้นหรือ?”
“มาเถอะ ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่!” โจวอวี๋เอ่ยพลางปลดปล่อยปราณสีเพลิงห่อหุ้มร่างกาย
เมื่อเห็นเช่นนั้น ลู่เฉินก็ยิ่งเผยรอยยิ้มกว้างกว่าเดิม “แม้ว่าพลังปราณของเจ้าจะทรงพลัง แต่เมื่ออยู่ในค่ายกลนี้ มันก็ไม่มีค่าอันใด!”
“ข้าจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ดังนั้นค่ายกลนี้ย่อมทำอันใดข้าไม่ได้หรอก และเจ้าก็อย่าแม้แต่จะคิดว่าจะเอาชนะข้าได้!” โจวอวี๋คิดใช้อุบาย และคิดในใจว่า ‘ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้!’
ลู่เฉินที่ได้ยินเช่นนั้นจึงขู่กลับไปบ้าง “เจ้ารู้หรือไม่ แท้จริงแล้วข้าสามารถควบคุมค่ายกลนี้ได้”
โจวอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างหนัก จนถึงขนาดน้ำตาไหลออกมา “ข้าว่าเจ้าควรหยุดล้อเล่นได้แล้ว!”
”ล้อเล่น?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ? ค่ายกลนี้แค่ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น จากปราณที่อยู่รอบ ๆ อย่างน้อยค่ายกลนี้ก็ต้องเป็นค่ายกลขั้นจิตวิญญาณระดับห้าดาว!”
”แล้วอย่างไร?
“หากเจ้าไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลระดับห้าดาว หรือผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิด เจ้าย่อมไม่อาจทลายได้ แล้วนับประสาอันใดกับการควบคุมมัน!” โจวอวี๋หัวเราะเยาะ
สิ้นเสียงหัวเราะของเขา เปลวเพลิงพลันโหมกระหน่ำพวยพุ่ง จนทำให้ร่างของโจวอวี๋จมลงไปในทะเลเพลิง
“นี่… นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้โจวอวี๋ถึงกับตกใจ
“ข้าบอกแล้วว่าข้าควบคุมค่ายกลนี้ได้!”
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชนิดใด พวกมันล้วนมี ‘แหล่งกำเนิด’ และหากควบคุมมันได้ เพียงแค่ใช้ความคิดเท่านั้น คนผู้นั้นก็ย่อมควบคุมค่ายกลนั้นได้ดั่งใจนึก!
ทว่าโจวอวี๋ไม่เชื่อ และผลลัพธ์ของการไม่เชื่อก็คือการที่เขาถูกเปลวเพลิงเหล่านี้เข้าประชิดอย่างรวดเร็ว!
ปราณสีเพลิงที่ห่อหุ้มร่างของโจวอวี๋สั่นไหวคล้ายจวนจะพังทลาย ในขณะที่ร่างกายถูกปกคลุมด้วยเหงื่อ และเริ่มมีอาการหอบขึ้นมา “เจ้า…”
“ยอมรับความพ่ายแพ้เถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะถูกไฟเหล่านี้แผดเผาจนตาย!” ลู่เฉินกล่าว
โจวอวี๋ยังคงดื้อรั้น! เขากล่าวกับตัวเองว่า “ข้าจะแพ้เจ้าได้อย่างไร?”
“หลุมที่ขุดเองก็ต้องกลบเองใช่หรือไม่?” ลู่เฉินเกลี้ยกล่อม จนกระทั่งโจวอวี๋เริ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ข้ายอมแพ้!” สุดท้ายแล้วเขาก็ตะโกนออกมาอย่างจำยอม
เปลวไฟเหล่านั้นจึงสลายหายไปทันที
ลู่เฉินเดินออกจากม่านหมอกมาหยุดอยู่ตรงหน้าโจวอวี๋
โจวอวี๋เหงื่อแตกพลั่กพลางอ้าปากแห้งผากเพื่อหอบหายใจอย่างหนัก เขาแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาแดงก่ำไปด้วยโทสะ “คนอย่างเจ้านี่มัน!”
“แพ้แล้วก็คือแพ้ เจ้าต้องยอมรับ!” ลู่เฉินหัวเราะอย่างชั่วร้าย
หลังจากที่โจวอวี๋รู้ว่าตนเองไม่อาจหลบหลีกเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เขาก็ต้องจำใจยอมรับมัน “คาดไม่ถึงว่าข้าจะต้องกลายเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเก้าสุขสงบ แต่ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ต้องบอกเคล็ดวิชาอสูรอัคคีเพลิงให้ข้าด้วย!!”
”ไม่ต้องรีบร้อนไป”
“เจ้าไม่รีบร้อน?” โจวอวี๋รู้สึกราวกับถูกหลอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะอธิบายว่า “ข้าจะยอมบอกเจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าเอาชนะในงานประลองสิบสำนักได้”
“เอาชนะในงานประลองสิบสำนัก? เจ้าจะให้ข้าเข้าร่วมงานนี้ด้วยงั้นหรือ?”
”เจ้าไม่กล้าหรือ?”
“ใครบอกว่าข้าไม่กล้า! ข้าเพียงแค่กังวลว่าคนอื่น ๆ จะเกรงกลัวข้าจนไม่กล้าประลองด้วยต่างหาก!” โจวอวี๋กล่าวอย่างร้อนรน และเหตุที่พูดเช่นนี้ก็เพราะถูกลู่เฉินจี้ใจดำเข้าให้!
ลู่เฉินได้ยินดังนั้นจึงกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “เอาล่ะ เช่นนั้นเรามาพูดถึงเรื่องของเจ้ากันดีกว่า”
”เรื่องของข้า?”
“โจวเอ๋าเทียน เกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า?” ลู่เฉินถามขณะจ้องอีกฝ่าย
โจวอวี๋กลอกตา ก่อนจะตอบว่า “ทุกคนล้วนรู้ว่าโจวเอ๋าเทียนคือบรรพบุรุษตระกูลโจวของข้า!”
”เช่นนั้นเขาไปไหนแล้ว?”
“บรรลุกลายเป็นเซียนเมื่อห้าหมื่นปีก่อน และกลับมาเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ทว่าหลังจากที่กลับมาก็กลายเป็นคนละคน สุดท้ายก็หายตัวไป!”
“บรรลุเป็นเซียนแล้วกลับมาอีกครั้ง ทั้งยังกลับกลายเป็นคนละคน?” ลู่เฉินขมวดคิ้ว
“ใช่ หลังจากที่กลับมา ขั้นพลังก็ถดถอยลง จากนั้นเขาก็กลายเป็นบ้า ไม่นานก็หายตัวไป และไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีกเลย” โจวอวี๋ถอนหายใจ
“แล้วยามนี้ตระกูลโจวของเจ้าเหลือกันกี่คน?”
“พวกเราหรือ? มีอยู่ไม่น้อย ทว่าต่างก็แก่ชรา และยามนี้ข้าก็คือคนที่เก่งสุดในบรรดารุ่นเยาว์” โจวอวี๋เริ่มคุยโม้
ลู่เฉินจมเข้าสู่ภวังค์ เขาครุ่นคิดว่า ‘เหตุใดโจวเอ๋าเทียนจึงกลับลงมา?’
ลู่เฉินรู้ดีว่าการที่คนกลายเป็นเซียนแล้วกลับมายังแดนล่างนั้นยากกว่าการบรรลุเป็นเซียนหลายเท่านัก แม้กระทั่งลู่เฉินซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดก็ยังไม่กล้ากลับมาตามอำเภอใจ!
คาดไม่ถึงว่าโจวเอ๋าเทียนจะยอมเสี่ยงกลับมา ช่างบ้าคลั่งยิ่งนัก!
”ตอนที่บรรพบุรุษของเจ้ากลับมา เขาได้บอกอันใดกับพวกเจ้า หรือทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังหรือไม่?”
“เขาหรือ? ว่ากันว่าเขาคุกเข่า ณ ห้องโถงบรรพชนอยู่หลายปี ยิ่งไปกว่านั้น ยังแกะสลักคำที่ยุ่งเหยิงบนหน้าผาของตระกูลโจว จากนั้นก็คุ้มคลั่งและหายตัวไป” โจวอวี๋ไม่รู้ว่าเหตุใดลู่เฉินถึงได้สนใจบรรพบุรุษของตน
”… หากข้ามีเวลา เห็นทีจะต้องไปเดินเล่นที่ตระกูลโจวของเจ้าสักหน่อยแล้ว”
“อย่า!” โจวอวี๋รีบปฏิเสธทันที
”ทำไม?”
“ท่านพ่อและท่านปู่ของข้า หากพวกเขารู้ว่าข้าเข้าร่วมสำนักเซียนที่ตกต่ำเช่นนี้ พวกเขาต้องหักขาข้าแน่!” โจวอวี๋ตัวสั่นเทาเมื่อนึกถึงครอบครัวของตน
ลู่เฉินไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกลัวคนในตระกูลเช่นนี้
ในยามนั้น บริเวณทางเดินที่อยู่ไม่ไกลก็ได้มีเสียงกรีดร้องของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน
”ศพคืนชีพ!”
“เร็ว รีบหนีเร็ว!”
“ออกไป… เดี๋ยวก่อน ออกไปไม่ได้แล้ว!”
โจวอวี๋มองไปยังความมืดมิดเบื้องหน้า แผ่นหลังรู้สึกชาไปทั่วร่าง “นี่มันอันใดกัน?”