ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 13 อักขระยันต์เยียวยา!
บทที่ 13 อักขระยันต์เยียวยา!
เมื่อปิงหลิวหลีเห็นว่าลู่เฉินไม่ยอมเอ่ยตอบ จึงถามย้ำออกไปอีกคราว่า “เจ้าเป็นเพียงคนหนุ่มไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงบรรลุเป็นมือกระบี่ระดับห้าดาวได้?”
“จะเป็นมือกระบี่กี่ดาวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับอายุงั้นหรือ?”
“ไร้สาระ ในแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งของแดนทักษิณา การจะหาคนหนุ่มสาวที่บรรลุเป็นมือกระบี่ระดับห้าดาวได้นั้น ข้าเกรงว่าคงจะนับได้เพียงสองมือเท่านั้น!” ปิงหลิวหลีกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ก็แค่มือกระบี่ระดับห้าดาว”
หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ เขาก็ออกเดินทางต่อ
เจ้าสำนักสาวถึงกับตกตะลึง “ก็แค่มือกระบี่ระดับห้าดาว?”
แต่เมื่อเห็นว่าลู่เฉินเดินจากไปไกลแล้ว ปิงหลิวหลีก็เร่งตามไป ก่อนจะถามอีกว่า “แล้วแสงสีทองในร่างกายข้าเล่า มันคืออันใดกัน?”
“อักขระยันต์เยียวยา!”
“อักขระยันต์เยียวยา?” เสียงของปิงหลิวหลีสั่นเทาด้วยความตกใจ ลู่เฉินเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นก็ถามกลับ “อันใดกัน มันมีปัญหาอะไรงั้นหรือ?”
“ท่ามกลางสิบสุดยอดอักขระยันต์ อักขระยันต์เยียวยานี้จัดอยู่ในห้าอันดับแรก และมีเพียงจอมมารเท่านั้นที่ครอบครองอักขระยันต์ชนิดนี้!” ปิงหลิวหลีรู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างติดอยู่ในลำคอของตน
ทว่าลู่เฉินเพียงยิ้มและไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
หลังจากมีเวลาครุ่นคิดกับตัวเอง เจ้านิกายสาวจึงสงบลง นางส่ายหัวไปมาพลางปัดความคิดชั่ววูบออกไป “ไม่หรอก เจ้าคงไม่ใช่จอมมารผู้นั้นแน่!”
”เหตุใดจึงคิดเช่นนั้น?”
“เพราะจอมมารแข็งแกร่งยิ่ง ชายผู้นั้นสามารถบดขยี้เทพเซียนด้วยมือเปล่า และบรรลุกลายเป็นเซียนตั้งแต่เมื่อแสนปีก่อนแล้ว เช่นนั้นเขาจะอ่อนแออยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณระดับห้าเช่นเจ้าได้อย่างไร!”
ปิงหลิวหลีวิเคราะห์ ในขณะที่ลู่เฉินก็ไม่ได้โต้แย้งกลับไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โต้แย้ง ปิงหลิวหลีจึงคิดพลางเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ ว่า “ข้าคิดว่า เจ้าต้องเคยเรียนอักขระยันต์นี้จากที่ไหนสักแห่ง จากลูกหลาน หรือไม่ก็ศิษย์ของจอมมาร?”
“ศิษย์?”
“แน่นอน เพราะจอมมารตนนี้อยู่ในมหาทวีปจิ่วโหยวมาช้านาน ย่อมมีศิษย์ไม่น้อยที่ได้รับการสั่งสอนจากเขา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของลู่เฉินพลันวูบไหวไปทีละฉาก …ราวกับว่าเขาเพิ่งพบกับคนเหล่านั้นเมื่อวานนี้เอง
ทว่ากาลเวลาผ่านมานานกว่าแสนปีแล้ว ชายหนุ่มจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่าเกิดอันใดขึ้นกับคนเหล่านั้นบ้าง
ปิงหลิวหลีคิดว่าลู่เฉินไม่เชื่อนาง จึงเอ่ยว่า “ให้ข้าบอกเจ้าเสียหน่อยเถอะว่า ณ เขตที่เก้าของหุบเขาเมฆาอสูร มีฝูงสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวอยู่ที่นั่น และราชาของสัตว์ร้ายนี้ก็คือหมาป่ายมโลกเก้าหาง ซึ่งในอดีตเคยถูกเลี้ยงดูโดยจอมมารผู้นั้น!”
“หมาป่ายมโลกเก้าหาง?” ลู่เฉินตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ขณะที่ปิงหลิวหลียิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็รู้จักตะลึงเป็นกับเขาบ้าง “เจ้ากลัวหรือ?”
“ไม่ใช่ว่าข้ากลัว แค่ไม่คิดว่าหลังจากผ่านไปแสนปี หมาป่ายมโลกตัวน้อยนั้นจะกลายพันธุ์จนมีเก้าหางแล้ว” ลู่เฉินยิ้ม
“แน่นอน ตั้งแต่จอมมารบรรลุเป็นเซียน หมาป่ายมโลกตัวน้อยก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็กลายเป็นหมาป่ายมโลกเก้าหาง!” หญิงสาวอธิบาย
“มันอยู่แต่ในส่วนลึกของหุบเขา ไม่เคยออกมาเลยหรือ?” ลู่เฉินถาม
“มันทรงพลังมากก็จริง ทว่าเมื่อหลายหมื่นปีที่แล้วมันได้รับบาดเจ็บจากใครบางคนที่แอบเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา หลังจากนั้น หมาป่ายมโลกเก้าหางก็ไม่เคยออกมาอีกเลย ข้าจึงไม่รู้ว่าขณะนี้มันเป็นหรือตายกันแน่!” ปิงหลิวหลีกล่าวด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย
ครั้นได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของลู่เฉินพลันเคร่งขรึมขึ้นมา “ได้รับบาดเจ็บ?”
“ว่ากันว่า ก่อนหน้านี้ผู้แข็งแกร่งหลายคนในแผ่นดินใหญ่ต้องการเลือดของหมาป่ายมโลกเก้าหาง จึงพากันมาที่นี่เพื่อจับมัน ทว่าโชคร้ายนักที่มันหลุดหายเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา ภายในนั้นมีค่ายกลที่จอมมารได้วางเอาไว้ คนเหล่านั้นจึงไม่กล้าเข้าไป!” ปิงหลิวหลีอธิบายอย่างละเอียด
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทีของลู่เฉินก็พลันสงบลง
“อย่างไรก็ตาม แม้ตัวมันจะไม่ยอมออกมา ทว่าลูกหลานของมันไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าอาจพบเห็นหมาป่ายมโลกสามหางหรือสี่หางในหุบเขาแห่งนี้ได้”
“อ้อ” ลู่เฉินตอบรับแบบขอไปที ก่อนจะเดินทางต่อไปอย่างเงียบ ๆ
ปิงหลิวหลีเห็นว่าลู่เฉินมีท่าทีเย็นชาอีกครั้ง นางก็ตะโกนว่า “นี่! เจ้ายังไม่ได้บอกเรื่องอักขระยันต์เยียวยาเลยนะ เจ้าไปฝึกมาจากที่ใด!”
“เจ้าไม่ควรรู้ ดังนั้นอย่าได้ถาม”
คำตอบสั้น ๆ ของลู่เฉินทำให้เจ้านิกายสาวรู้สึกขัดใจ “เจ้าอยู่เพียงขั้นกลั่นลมปราณแท้ ๆ แต่กลับหยิ่งยะโสนัก!”
“อักขระยันต์เยียวยานี้สามารถใช้ได้นานหนึ่งเค่อ*[1] หากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าในครั้งต่อไป เช่นนั้นก็จงหยุดพูดเรื่องไร้สาระเสียที!”
ปิงหลิวหลีได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
—–
บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก
สือเซียวจ้องมองไปยังคนทั้งสองที่อยู่ห่างออกไป โทสะของเขาครอบงำไปทั่วกาย “บัดซบที่สุด!”
ในขณะที่หลิวหยุนซานซึ่งติดตามมาไม่ห่างนั้น ด้วยความอับอายปนโทสะ เขาจึงขอร้องอ้อนวอนเสียยกใหญ่ “ศิษย์พี่สือ ท่านต้องล้างแค้นให้พวกเรา!”
“ล้างแค้น?”
อันที่จริงสือเซียวก็คิดอยากล้างแค้นเช่นเดียวกัน ทว่าเมื่อเขานึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันก็ทำให้เขาได้แต่เศร้าใจ “ถ้าเจ้าต้องการล้างแค้น เช่นนั้นก็ต้องจัดการไอ้หมอนั่นเสียก่อน เพื่อที่มันจะได้ช่วยสตรีนางนั้นไม่ได้!”
หลิวหยุนซานเห็นด้วย “ใช่ ถูกต้องอย่างที่ศิษย์พี่สือว่า หากสามารถจัดการลู่เฉินได้ สตรีนางนั้นก็ไม่ได้น่ากังวลอีกต่อไปแล้ว!”
สือเซียวเผยแววตาเย็นชา ตะโกนสั่งด้วยเสียงอันแข็งกร้าว “เจ้าจงไปล่อสัตว์อสูรให้มาล้อมพวกมัน!”
“ข้า? …ให้ข้าเป็นคนไปล่อหรือ?” หลิวหยุนซานตัวสั่นเทาด้วยความกลัว ก่อนที่สือเซียวจะหยิบจี้หยกสีดำขนาดเล็กซึ่งมีกลิ่นหอมประหลาดออกมาจากแขนเสื้อ
“เจ้าเพียงถือมันไว้ แล้ววิ่งไปรอบ ๆ สองคนนั้น” สือเซียวเอ่ยอย่างเย็นชา ในขณะที่หลิวหยุนซานสงสัย “นี่คืออะไร?”
”จี้หยกกระดูกสัตว์อสูร”
“อะไรนะ?” ดวงตาของหลิวหยุนซานถึงกับเบิกกว้าง
สือเซียวหยิบกระดาษยันต์ที่มีลวดลายคล้ายกระแสน้ำวนจาง ๆ ออกมาแผ่นหนึ่ง เขายื่นให้หลิวหยุนซานพลางอธิบายว่า
“นี่คือยันต์ลมกรด มันสามารถเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่ของเจ้าได้ห้าเท่า ทว่าจะคงอยู่เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้น หากจะใช้ เจ้าก็เพียงแค่ขยี้มันเสีย”
หลิวหยุนซานได้ยินเช่นนั้นพลันสูดลมหายใจเข้าลึก
ยันต์ลมกรดแผ่นนี้ ราคาของมันไม่เบาเลย อย่างน้อย ๆ ก็ต้องใช้ศิลาวิญญาณระดับต่ำเป็นแสนก้อน! แต่ตอนนี้สือเซียวกลับยอมใช้มันเพื่อกำจัดลู่เฉิน!
ทว่าความคิดยังไม่ทันได้โลดแล่นไปไกลกว่านี้ สือเซียวก็เอ่ยดักคอขึ้นมาเสียก่อน “หลังออกจากป่า เจ้าต้องซื้อมันมาคืนข้า!”
ใบหน้าของหลิวหยุนซานถึงกับกระตุก สือเซียวเห็นเช่นนั้นจึงขยายความให้ว่า “หากเราจับเขากลับไปที่สำนักได้ ทางสำนักต้องตอบแทนเราเป็นแน่!! อาจถึงขนาดที่ว่าเจ้าจะได้กลายเป็นศิษย์สายใน!”
หลิวหยุนซานได้ยินเรื่องน่ายินดีเช่นนั้นก็ไม่ลังเลอีกต่อไป รีบคว้ายันต์นั้นมาและวิ่งออกไปทันที
หลงเหลือเพียงสือเซียวที่ยังคงยืนนิ่ง และเอ่ยอย่างเย็นชา “มาดูกัน ว่าวันนี้ข้าจะกำจัดพวกเจ้าอย่างไร!”
ภายในป่าด้านหน้าที่อยู่ไกลออกไป
ลู่เฉินและปิงหลิวหลีใช้เวลาเกือบหนึ่งก้านธูป*[2] ก่อนจะไปถึงเขตที่สองของหุบเขาเมฆาอสูร
ตลอดการเดินทาง ปิงหลิวหลีได้แต่มองชายหนุ่มอย่างสับสนระคนประหลาดใจ เพราะเส้นทางที่ลู่เฉินเลือกเดินทางมา นางไม่เคยรู้จักมาก่อน
และที่สำคัญ เส้นทางที่เขาใช้นั้นมันสั้นและยังใช้เวลาน้อยกว่าเส้นทางที่นางเคยใช้เสียอีก!
“เจ้ามาที่นี่บ่อยหรือ?” ปิงหลิวหลีอดถามไม่ได้
ทว่าลู่เฉินไม่ตอบอะไร และการกระทำนี้ก็ทำให้นางรู้สึกหดหู่ใจยิ่งนัก
ทันใดนั้น เจ้าสำนักสาวก็ถึงกับต้องตกใจ เมื่อเห็นเทือกเขาที่อยู่เบื้องหน้า “เร็วมาก! นี่เรามาถึงเขตสามแล้วหรือ?”
สิ่งนี้ได้ทำลายความรู้และความเข้าใจของปิงหลิวหลีโดยสิ้นเชิง
เนื่องจากหุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยสัตว์อสูร แมลงพิษ และพืชประหลาด ใช่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็ได้ตามสะดวก
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เส้นทางปลอดภัยจึงได้ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ของผู้คนนับร้อยนับพันที่เคยเดินทางมายังหุบเขาเมฆาอสูร
แต่เส้นทางส่วนใหญ่ที่ว่านั้น ล้วนแล้วแต่เป็นทางอ้อม หรือไม่ก็ทางเลี่ยง
ทว่าลู่เฉินกลับไม่พบเจอภัยอันตรายใด ไม่พบพืชประหลาด หรือแม้แต่แมลงพิษ! ราวกับว่าพวกเขาสองคนเดินอยู่บนถนนอันโปร่งโล่ง ที่เพียงแค่เดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็ถึงจุดหมาย!
ขณะนั้นเอง เสียงอันแปลกประหลาดก็ดังขึ้นใกล้ ๆ ก่อนจะตามมาด้วยการสั่นสะเทือนของพื้นดิน ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา
ปิงหลิวหลีมองไปรอบ ๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่ามีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นในพงหญ้าใกล้ ๆ นี้ และด้านหลังของคนผู้นั้น… มีสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธุ์ไล่ตามมาติด ๆ!
ซึ่งคนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใคร …แต่เป็นหลิวหยุนซาน!
ครั้นหลิวหยุนซานเห็นว่าตนเองเข้าใกล้คนทั้งสองมากพอแล้ว เขาก็ไม่รอช้า เร่งโยนจี้หยกดำในมือไปยังบริเวณที่คนทั้งสองยืนอยู่!
เมื่อได้เห็นจี้หยกนั้นอย่างชัดเจน สีหน้าของปิงหลิวหลีก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว “นั่นมันจี้หยกกระดูกสัตว์อสูร!”
ในช่วงเวลาที่ยันต์ลมกรดยังคงมีผลอยู่ หลิวหยุนซานรีบวิ่งขึ้นไปบนยอดเขา ก่อนจะยืนมองจากบนนั้นด้วยความสะใจ! “คราวนี้เรามาดูกัน ว่าพวกเจ้าจะทำอย่างไร!”
และในขณะนั้น มีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่มาถึงบริเวณเทือกเขาแห่งนี้ ครั้นพวกเขาเห็นฝูงสัตว์อสูรกลุ่มใหญที่รายล้อมลู่เฉินและปิงหลิวหลี พวกเขาก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“สัตว์อสูรเหล่านี้มาจากไหน?”
“มันคงถูกอะไรบางอย่างล่อมา!”
“เหตุใดพวกมันจึงมากันมากขนาดนี้?!”
”สองคนนั้นคงยากจะรอดเสียแล้ว”
ปิงหลิวหลีรู้สึกหวาดกลัว นางหันไปถามชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี?”
[1] เค่อ คือหน่วยวัดเวลาของจีน หนึ่งเค่อเท่ากับสิบห้านาที
[2] ก้านธูป คือหน่วยวัดเวลาของจีน หนึ่งก้านธูปเท่ากับสามสิบนาที