ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 110 สุดท้ายก็ยอมประนีประนอมอย่างเชื่อฟัง!
บทที่ 110 สุดท้ายก็ยอมประนีประนอมอย่างเชื่อฟัง!
“รู้สึกผิดหวังสินะ?” ลู่เฉินควบคุมค่ายกลไปพลาง ปล่อยให้ก้อนหินยักษ์เหล่านั้นโจมตีโลงศพหินไปพลาง
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ในโลงศพหินพูดด้วยความเดือดดาลว่า “ตราบใดที่ข้าอยู่ภายในโลงศพหินนี้ เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้!”
“แม้ทำร้ายเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็มีวิธีที่จะกักเจ้าไว้ในค่ายกลนี้ตลอดไป เพื่อไม่ให้เจ้าออกไปได้อีก!”
“ฝันไปเถิด!” หลังจากที่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์กล่าวจบ เขาก็ควบคุมโลงศพหินให้บินออกไป แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเขากลับวนเวียนอยู่ในม่านหมอกและไม่สามารถออกไปได้เลย!
สิ่งนี้ทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ตื่นตระหนก “เจ้าทำอะไรลงไป?!”
”ข้าเปลี่ยนค่ายกลโดยรอบเพื่อไม่ให้เจ้าออกไปได้”
ทว่าผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ไม่เชื่อ “เจ้า… เจ้ากำลังขู่ข้าแน่ ๆ!”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ยังคงต่อดิ้นรนต่อไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ก็ยอมแพ้ และในที่สุดก็ควบคุมโลงศพหินให้ลอยอยู่ที่นั่น ปากก็ถามด้วยความโกรธว่า “เจ้าต้องการอะไร?!”
”โยนป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ออกมา” ลู่เฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มท่ามกลางความมืด
“เป็นไปไม่ได้!”
”โอ้ เช่นนั้นเจ้าอยากอยู่ที่นี่ตลอดไปสินะ?”
คำพูดของลู่เฉินทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ร้อนใจ เขาถามขึ้นมาทันทีว่า “เหตุใดเจ้าถึงต้องการป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ของข้า?”
”ง่ายมาก เอาแผ่นป้ายให้ข้า แล้วข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าข้าทำให้ทุกคนเป็นอิสระได้อย่างไร”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์พลันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เจ้ามั่นใจหรือว่าเจ้าไม่ได้ล้อเล่น?”
“เอามาให้ข้าสิ แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้าไม่ได้ล้อเล่น!”
“ถ้าข้าไม่ให้เล่า?”
”เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีทางเลือกอยู่หรือ?”
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ได้ยินแล้วก็รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง ก่อนจะโยนป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ออกไปเพราะอยากรู้ว่าลู่เฉินจะทำอันใด
เมื่อลู่เฉินถือป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ชิ้นนี้ขึ้นมาเทียบกับอันก่อนหน้า และนำมาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด เขาก็พบว่าหลังป้ายมีสัญลักษณ์ที่ต่างกัน
เป็นต้นว่าเขตที่หนึ่งคือหนึ่ง และเขตที่หกคือหก
”ที่แท้ก็แบ่งกันมาแล้ว” หลังจากที่ลู่เฉินเข้าใจ เขาก็แทรกจิตวิญญาณเข้าไปข้างใน จากนั้นจึงปลดปล่อยเงาโลหิตของทุกคนที่อยู่ในโถงพิสุทธิ์ทีละคน
คนของโถงพิสุทธิ์ทั้งหมดที่อยู่ข้างนอกพลันตกใจทันทีที่พวกเขาพบว่าขณะนี้ตนเองเป็นอิสระแล้ว!
ดังนั้นทั้งโถงพิสุทธิ์จึงตกอยู่ในความโกลาหล
หลี่ว์ซือที่เดิมทีกำลังร้อนใจอยู่นอกค่ายกล พอเห็นคนรอบข้างร้องตะโกน คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นทันที
ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ทหารม้าทมิฬก็ยังดีใจอยู่ท่ามกลางฝูงชน “อิสระ ในที่สุดก็เป็นอิสระแล้ว!”
เฮยเฟิงเองก็เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าอย่างนั้น… ก็สามารถทวงคืนหยดเลือดมาได้จริง ๆ!!”
หลี่ว์ซือที่อยู่ข้าง ๆ พลันคว้าตัวเฮยเฟิงมาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
หลังจากที่เฮยเฟิงอธิบายเรื่องนี้แล้ว หลี่ว์ซือก็สงสัยขึ้นมา “เช่นนั้นพวกเจ้าก็ไม่ได้ถูกควบคุมอีกต่อไป?”
“ใช่!” เฮยเฟิงมีความสุขยิ่งนัก แต่เมื่อเขาคิดว่าชีวิตของตนเองอยู่ในมือของหลี่ว์ซือ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ หายไป
ขณะเดียวกันคนอื่น ๆ ก็ทยอยจากไป ไม่มีผู้ใดคิดอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ
หลังจากที่ตู๋ซานชิงและจางเชียนสบตากันแวบหนึ่งท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นจางเชียนที่กระซิบว่า “พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
”จะทำอันใดได้? รอ!” ตู๋ซานชิงตอบ
“ยังจะรออีกหรือ?” จางเชียนรู้สึกว่าสิ่งต่าง ๆ ไม่ค่อยราบรื่น แต่ตู๋ซานชิงพลันกัดฟันพูดว่า “บางทีอาจต้องรอจนกว่าผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์จะฆ่าเด็กคนนั้นแล้วโยนศพออกมา?”
จางเชียนเองก็คาดหวังเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่เมื่อเขาเห็นผู้คนร้องตะโกนและจากไป เขาก็พลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
อีกด้านหนึ่ง ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่อยู่ภายในถ้ำกำลังตกใจยิ่งนัก “เจ้า… เจ้าปลดปล่อยพวกเขาได้?”
”เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าสามารถปลดปล่อยทุกคนได้อย่างง่ายดาย”
”แต่เลือดของข้ายังอยู่!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์รู้ว่าตนแตกต่างจากศิษย์เหล่านั้น ทว่าลู่เฉินกลับเอ่ยตอบให้ว่า “ผู้นำพันธมิตรแมลงสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าเช่นกัน”
”หรือว่าแผ่นป้ายนี้เป็นของพันธมิตรแมลงสวรรค์จริง ๆ?”
”ด้านบนมีเลขหกอยู่ ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ลองดูสิ!” ลู่เฉินโยนแผ่นป้ายที่มีเลขหกออกมา ส่วนผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ก็เข้าควบคุมแผ่นป้ายนั้น หลังจากที่ดูแผ่นป้ายแล้ว เขาก็พลันตกตะลึง “ใช่จริง ๆ!”
“เป็นอย่างไร? จะร่วมมือหรือไม่?” ลู่เฉินถาม
“ร่วมมืออันใด?”
“ว่ากันว่าเจ้ามีน้ำค้างบุปผาพันปีอยู่สินะ”
ทันทีที่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที “หลี่ว์ซือบอกเจ้าหรือ?!”
”อืม”
”ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขามีเจตนาไม่ดี คิดแต่เรื่องจะเอาของข้าเสมอ!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์พูดอย่างโกรธเคือง แต่ลู่เฉินกลับพูดด้วยรอยยิ้มเย็นเยือกว่า “พูดเรื่องของพวกเราเถอะ!”
“ข้ามีสิ่งที่เจ้าต้องการ!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์รีบเอ่ยอย่างไม่ปิดบัง
”เยี่ยม เจ้ามอบให้ข้า แล้วข้าจะมอบอิสรภาพให้เจ้า!”
”แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”
“ง่ายมาก เอาเลือดของเจ้าให้ข้าหนึ่งหยด แล้วข้าจะเอาเลือดของเจ้าอีกหยดในแผ่นป้ายออกมา!”
”ได้จริงหรือ?”
”ตอนนี้เจ้ามีเพียงทางเลือกนี้เท่านั้น มิฉะนั้นเจ้าจะถูกขังอยู่ที่นี่ตลอดไป” คำพูดของลู่เฉินทำให้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ต้องยอมประนีประนอม
ดังนั้นเขาก็จำใจต้องบีบเลือดหยดหนึ่งออกมาและพูดว่า “ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะดีดั่งปากว่าหรือไม่”
ลู่เฉินเดินออกมาจากค่ายกล และหยิบป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์ออกมาหนึ่งแผ่น ก่อนจะควบคุมให้หยดเลือดโคจรไปรอบ ๆ ต่อหน้าอีกฝ่าย
เพียงชั่วครู่ก็มีเลือดอีกหยดไหลออกมา
ลู่เฉินส่งเลือดสองหยดคืนให้อีกฝ่าย “เจ้าลองดูสิ”
ในตอนแรก ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์คิดว่าลู่เฉินนั้นหลอกลวง แต่เมื่อเขาเห็นว่ามันเป็นของตนจริง ๆ เขาก็ถึงกับตกใจ และเริ่มการตรวจสอบร่างกายตัวเองอย่างจริงจัง
เมื่อพบว่าเป็นอิสระแล้ว เขาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ข้าเป็น… ข้าเป็นอิสระแล้วจริง ๆ!”
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าส่งน้ำค้างบุปผามาให้ข้าได้หรือยัง?”
ก่อนหน้านี้ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์มีแต่ความแค้นและชิงชังต่อลู่เฉิน ทว่าตอนนี้เขากลับเต็มไปด้วยความชื่นชมและขอบคุณ เจ้าตัวจึงโยนขวดเล็ก ๆ ออกมาทันที
ขวดนั้นเป็นสีฟ้า และหลังจากที่ลู่เฉินได้รับมัน เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมา
“ขอแค่เจ้าเปิดออก น้ำค้างบุปผาด้านในจะกลายเป็นหมอกออกมา!” ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์อธิบาย
ลู่เฉินพอใจกับสิ่งนี้มาก “เยี่ยม”
ว่าแล้วชายหนุ่มก็เก็บขวดนั้นและแผ่นป้ายทั้งสอง ทว่าในขณะนั้น ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์กลับรู้สึกอับอาย “เจ้าปล่อยข้าออกไปได้แล้วกระมัง?”
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าอย่างหนึ่ง!”
“สัญญาอันใด?”
”จากนี้ อย่ามารบกวนข้าอีก มิฉะนั้น…” ลู่เฉินหัวเราะแปลก ๆ แต่ไฉนเลยที่ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์จะกล้าคิดร้าย? เขาจึงรับประกันต่าง ๆ นานาว่า “ไม่ ข้าไม่กล้าอย่างแน่นอน!”
เมื่อได้รับคำยืนยัน ลู่เฉินถึงได้เปิดค่ายกลนั้นออก ทำให้เส้นทางสายหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์
ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ที่เห็นทางเปิดโล่งก็ดีใจยิ่งนัก เขารีบตามชายหนุ่มไปทันทีเพราะเกรงว่าทางออกจะหายไป
ทางด้านนอกถ้ำในยามนี้ หลี่ว์ซือกลับรู้สึกกระวนกระวายมากเมื่อเห็นว่าลู่เฉินยังไม่ออกมา
เฮยเฟิงที่เห็นท่าทีดังนั้นจึงเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “ผู้อาวุโส หาก… หากท่านข้องใจ ก็ไประบายโทสะที่ท่านผู้นำเถิด อย่าเอาข้าเป็นที่ระบายเลยขอรับ!”
“หุบปาก!” คำพูดของหลี่ว์ซือทำให้เฮยเฟิงไม่กล้าพูดมากเกินไป ทำได้เพียงมองเข้าไปในถ้ำอย่างหดหู่ จนกระทั่งกระแสน้ำวนปรากฏขึ้นมา จึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ดูสิ ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ออกมาแล้ว!!”
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นกลับเป็นลู่เฉิน!!
ชั่วพริบตานั้น หลี่ว์ซือก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็โยนเฮยเฟิงไปด้านข้าง และเมื่อลู่เฉินเดินออกมา หลี่ว์ซือก็พบว่ามีโลงศพหินตามหลังชายหนุ่มมาด้วย
ดังนั้นหลี่ว์ซือจึงไปยืนอยู่ข้างหลังลู่เฉินทันที และยังเตรียมป้องกันโลงศพหินโลงนั้น ปากก็กล่าวไปด้วยว่า “ผู้นำแห่งโถงพิสุทธิ์ หากมีอันใดก็ให้มาลงที่ข้า!”