ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 32 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (8)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 32 เล่ม 2 : ทำความเข้าใจภาษาต่างโลก (8)
โยโยกิดันเจี้ยน ชั้น10
สุสานสไตล์ตะวันตกแผ่กว้างไปทั่วบริเวณ
“รุ่นพี่ ที่นี่มันเหม็นสุดๆไปเลย”
“หา จริงหรอ?”
พอผมลองตั้งสมาธิกับกลิ่นดู ก็ได้กลิ่นของเน่าขึ้นมาจริงๆ ที่จริงมันก็ต้องมีกลิ่นอยู่เเล้วเพราะเรากำลังจะไปจัดการกับซอมบี้ เเต่ว่าพอมอนสเตอร์ถูกกำจัดเเล้วจะหายไป ทำไมกลิ่นถึงยังอยู่นะ
พวกเรามุ่งหน้าไปทางตรงกันข้ามกับบันไดที่จะลงไปยังชั้น11 ผ่านไปสักพักก็เริ่มเห็นซอมบี้โผล่ออกมาจากหลุมศพ อย่างเเรกเลยคือผมลองใช้หอกน้ำใส่พวกมัน ตอนนีัสกิลตรวจจับไม่เจอว่ามีใครอยู่เเถวนั้นก็เลยวางใจได้ว่าจะไม่มีใครเห็น
ถ้ายิงหอกน้ำไปโดนหัวซอมบี้ก็จะสามารถจัดการมันได้ในทีเดียว เเต่ว่าถ้าบังเอิญยิงไปโดนที่เท้า มันก็ยังจะสามารถลากตัวเองเข้ามาหาผมอยู่ดี ถึงลำตัวครึ่งล่างจะถูกเป่าหายไปเเล้วก็เถอะ
“เรสซิเดนท์อีวิลหรอฟร่ะเนี่ยย!!”
ทางเดินนั้นเเคบเเละเต็มไปด้วยป้ายหลุมศพตลอดทั้งสองข้างทาง ทำให้ยากที่จะมองเห็นซอมบี้ที่คลานเข้ามา การรับมือซอมบี้พวกนี้ลำบากมาก เเม้เเต่สกิลตรวจจับก็ไม่ค่อยได้ผล พวกนี้น่าจะเป็นพวกที่มีความสามารถพรางตัวล่ะมั้ง ถ้าผมเพ่งสมาธิดีๆก็จะสามารถตรวจจับได้อยู่หรอก เเต่ว่ามันเป็นมอนเสตอร์อันเดด ก็เลยค่อนข้างน่ารำคาญ
“มิโยชิ มาตั้งฐานบนเขาข้างหน้านั่นกันเถอะ”
“เข้าใจเเล้ว”
เริ่มจะมืดเเล้ว พวกเรายิงเวทมนตร์เเละบอลเหล็กเพื่อวิ่งไปที่เขาลูกนั้นด้วยระยะทางที่สั้นที่สุด ระหว่างที่กำจัดมอนสเตอร์รอบๆอยู่ มิโยชิก็เอารถ RV ออกมาจากสโตเรจ พอพวกเราเข้าไปในรถได้ก็ปิดประตูเสียงดังลั่น
พวกเราเอาบันไดหลังรถออกทำให้มันกลายเป็นเหมือนป้อมปราการขนาดเล็ก ถึงมอนสเตอร์จะเจาะยางรถ เราก็ไม่มีปัญหาอยู่ดี
“เหลืออีกสามตัวจะครบร้อย”
มิโยชิเปิดจอกล้องวงจรปิด ถึงข้างนอกจะมืดเเล้วเเต่จอก็ยังดูคมชัดดี
“นั่นอะไรน่ะ ใช้อินฟราเรดหรอ”
“ตอนนี้ใช้วิธีเร่งเเสงเอาน่ะ ซอมบี้ไม่ปล่อยความร้อนออกมาจากตัว อย่างน้อยฉันก็คิดเเบบนั้นะ”
“อืม ไม่รู้เหมือนกัน เเต่ขอให้เห็นพวกมันก็พอเเล้ว อย่างอื่นก็ช่างมัน จะว่าไป ชั้นสิบก็ยังมีเเสงตอนมืดหรอเนี่ย หืมมม”
ถึงจะอยู่ในดันเจี้ยน เเต่ดวงดาวก็ยังคงส่องเเสงอยู่บนฟ้า ถ้ามีมนุษย์หมาป่าอยู่ ก็น่าจะมีดวงจันทร์ด้วยเหมือนกัน เเถมบางทีก็ยังมีดวงไฟสว่างขึ้นบริเวณสุสาน ช่างเป็นปริศนาซะจริง
“ไว้ดูดาวทีหลังเถอะ มากินข้าวกันดีกว่า”
บางทีก็มีเสียงมอนสเตอร์โจมตีเกราะไทเทเนี่ยมของรถดังมาให้ได้ยินบ้าง ระหว่างที่ผมฟังอยู่ก็หยิบเบนโตะสองกล่องออกมาจากวอลท์เเล้วก็เริ่มกิน โมโยชิสั่งเบนโตะพวกนี้จากร้านเบนโตะท้องถิ่นมาเป็นจำนวนมาก ตอนผมรู้ว่ามิโยชิใช้เงินฟุ่มเฟือยมาซื้อของพวกนี้ก็ทำให้ผมเหนื่อยใจ เเต่ถ้าพวกมันเป็นเมนูเเนะนำจากคนช่างกินอย่างมิโยชิเเล้วล่ะก็ มันน่าจะต้องรสชาติดีเเน่ๆ
ผ่านไปสักพัก เสียงมอนสเตอร์โจมตีก็หยุดลง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้อันเดดโจมตีสิ่งมีชีวิตเเบบนั้น เเต่เหมือนกับว่ามันจะไม่ค่อยไล่ตามเท่าไรถ้าเราซ่อนอยู่ที่นี่
***
“เหล่าหวัง เราจะลงไปจริงหรอ”
“ซินหลาง – ที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในทีม – พูดกับหัวหน้า ที่มีชื่อจริงๆว่า เหว่หวัง ”
“ทำไมล่ะซินหลาง กลัวรึไง”
ซิ่วอิง หวัง – สมาชิกทีมที่อายุน้อยที่สุด – ถามคำถามล้อเลียน เพราะเขากับเหว่มีนามสกุลเดียวกัน ซิ่วอิงจึงถูกเรียกว่าเสี่ยวหวัง คำว่าเสี่ยวนั้นเขียนด้วยตัวอักษรที่แปลว่า เล็ก ที่ถูกเรียกด้วยความเอ็นดู ส่วนเหว่จะถูกเรียกว่า เหล่าหวัง คำว่าเหล่านั้นเขียนด้วยตัวอักษรที่หมายความว่าคนมีอายุ ในเเง่ของความอาวุโส
“ดูจากหนังสือเเนะนำของโยโยกิ เเม้เเต่พวกระดับสูงสุดยังหลีกเลี่ยงชั้นสิบตอนกลางคืนเลยนะ” ซินหลางตอบ
ชายที่ชื่อว่ายู่หังที่กำลังตรวจสอบอุปกรณ์อยู่เเทรกขึ้นมา “อย่าน่า นั่นน่าจะหมายถึงพวก ‘มือสมัครเล่นระดับสูง’ ใช่ไหมล่ะ”
ซินหยางถอนหายใจ
ตอนตะวันใกล้จะตกดิน เธอเห็นหน่วยสอดเเนมของSDFหลีกเลี่ยงการลงไปที่ชั้นสิบ
ทีมจากอเมริกาเเละอังกฤษที่สังเกตเห็นดวงอาทิตย์เหมือนกันก็ไม่ลงไปชั้นต่อไปเช่นกัน พวกเขาหยุดอยู่ในระยะห่างออกไปเล็กน้อยเเละทำตาม SDFซึ่งเป็นทีมที่คุ้นเคยกับโยโยกิที่สุด ดูเหมือนว่าพวกเขาจะยังไม่มีน้ำยาซึมซับ
“เเต่ว่าSDFรู้จักโยโยกิดีที่สุดนะ พวกเขาน่าจะมีน้ำยาซึมซับเเล้วด้วย เเต่ก็ยังไม่ลงไปชั้นสิบเลย” ซินหยางพูด
“ซินหยาง” เหล่าหวังพูด “ถ้าคู่มือของโยโยกิถูกต้อง ประสิทธิภาพของน้ำยาจะลดลงในตอนกลางคืน”
“ฉันก็ได้ยินมาแบบนั้น”
“เเต่ว่าพวกเขาลงไปนะ มีกันเเค่สองคนด้วย”
เหล่าหวังพูดถึงปาร์ตี้ที่พึ่งลงบันไดไปเมื่อไม่นานมานี้ ถึงSDFจะลังเลที่จะลงไปยังชั้นสิบตอนกลางคืน เเต่สองคนนั้นก็ไม่กังวลอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าจะคิดยังไง พวกเขาไม่น่าจะไปถึงบันไดไปยังชั้นสิบเอ็ดก่อนพระอาทิตย์ตกดินเเน่ๆ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” เหล่าหวังพูด
สมาชิกปาร์ตี้ทั้งสี่คนลงบันไดไปที่ชั้นสิบตามคำสั่งเพื่อที่จะตามดี-พาวเวอร์สไป
***
“เฮ้ นั้นมันทีมจากจีนใช่ไหม”
หน่วยสอดเเนมของSDFที่ดูอยู่ระยะไกล เห็นกลุ่มของเหล่าหวังลงบันไดไป เขาเบิกตาโต
“ไม่รู้ว่าพวกเขามั่นใจกันเกินไปหรือว่าไม่รู้เรื่องกันเเน่ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้ไหมเเบบนั้น”
“เราควรจะไปช่วยไหม”
“ไม่ใช่ความคิดที่ดีหรอกนะ” มิมาซากะที่เป็นหัวหน้าสั่งการหน่วยสอดเเนมพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด “เคยได้ยินสำนวนเก่าๆนี้ไหม ‘ผู้ล่ากลายเป็นผู้ถูกล่า’ ไม่อยากจะพูดเเบบนี้หรอกนะ เเต่ด้วยกำลังของเราตอนนี้ก็จะเป็นเเบบนั้นเเหละ”
“เเต่ว่าสมาชิกทั้งสองคนของดี-พาวเวอร์สเป็นคนญี่ปุ่น” สมาชิดทีมคนนึงกล่าว “เเละตอนนี้ พวกเขาถือว่าเป็นวีไอพีด้วย เราควรจะไปช่วยพวกเขาไหมครับ”
มิมาซากะกำมือเเน่น “ไม่ว่าจะเป็นคนสำคัญเเค่ไหน นักสำรวจจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง ถ้ามีคำสั่งมาก็จะเป็นอีกเรื่อง เเต่ตอนนี้ไม่มีใครสั่งพวกเราให้ปกป้องพวกเขา คำสั่งของเรามีเพียงเเค่ให้คอยจับตาดูเท่านั้น”
ถ้าเขามีพลัง มิมาซากะจะต้องรีบรุดไปยังชั้นสิบเเน่นอน เเต่ทว่าเขาเป็นทหารระดับสั่งการที่มีความสามารถที่จะประเมินขุมพลังของทีม เขารู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
“ฟังนะ อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปเวลาอยู่ภาคสนาม ความไร้ความสามารถจะนำพาความหายนะมาเสมอ”
***
หลังจากที่ลงมาที่ชั้นสิบ เหล่าหวังก็ตรวจดูเซนเซอร์ความร้อน เหมือนดี-พาวเวอร์สนั้นเดินทางไปยังทิศตรงกันข้ามกับบันไดชั้นสิบเอ็ด ทีมของพวกเขาจึงไล่ตามไปพร้อมกับกำจัดพวกอันเดดไปด้วย
ผ่านไปไม่กี่นาที พระอาทิตย์ก็หายไปจากขอบฟ้าเเละอุณหภูมิก็ดิ่งฮวบลง
ในระหว่างที่เเสงสว่างค่อยๆหายไป เสียงดังของปืนเเบบยิงทีละสามนัดก็ดังขึ้นทั่วบริเวณสุสาน
“เหล่าหวัง เป็นเเบบนี้กระสุนเราจะไม่พอเอานะ”
ซินหยาง ตะโกนบอกขณะที่กำลังยิง Type-95 ปืนไรเฟิลอัตโนมัติไปทางกลุ่มอันเดด
ยู่หัง เริ่มเปลี่ยนมาใช้การต่อสู้ระยะกระชิดเเล้วโดยใช้ดาบปลายปืน เเต่ด้วยปืนที่เขาใช้เป็นปืนเเบบชอร์ตบัลพอัพ เขาเลยต้องเข้าประชิดศัตรูพอสมควร อันเดดก็เลยรุมเข้ามาจากทั้งสามทาง ทำให้สถานการณ์ลำบากมากขึ้น
ซิ่วอิงพยายามที่จะช่วยเหลือยู่หังทำให้เขาไม่เห็นซอมบี้ที่เหลือเเค่ลำตัวช่วงบน กำลังคลานเข้ามาจากบนพื้น ซอมบี้ตัวนั้นพุ่งขึ้นมากัดเขาที่เท้า
เขาตะโกน
เมื่อได้ยินดังนั้น ซินหยางก็หันกลับมา “ซิ่วอิง?”
พอเห็นซอมบี้กัดเขาเข้าที่เท้า เธอรีบยิงจ่อไปที่หัวของซอมบี้ตัวนั้นโดยสันชาตญาณ
“หยุด!!” เหล่าหวังตะโกน “กระสุนมันจะกระดอน”
พื้นของสุสานนั้นเป็นหินกรวด กระสุนก็เลยกระดอกถากยู่หังไป
“โธ่เว๊ย ถอย!” เหล่าหวังตะโกนจากนั้นก็ปาระเบิดไปที่อันเดดที่อยู่ใกล้บันไดทางไปชั้นเก้า
***
“โอ้ะ” ผมพูด
“มีอะไรหรอ”
“เธอได้ยินเสียงอะไรเหมือนระเบิดเมื่อกี้ไหม”
“ระเบิดหรอ ในชั้นสิบเนี่ยนะ ฉันไม่คิดว่าจะมีอย่างอื่นนอกจากอันเดดหรอก”
“เหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องด้วย”
“คิดว่าเป็นเเบนชีรึเปล่า”
มิโยชิเร่งเสียงไมโครโฟนเพื่อจะฟังเสียงจากภายนอก พอพวกเราเงี่ยงหูฟัง ก็ได้ยินเสียงปืนเเว่วๆ
“ใช่ ต้องมีใครอยู่ข้างนอกเเน่”
“เหมือนเสียงปืนจริงด้วย หรือจะเป็นสักทีมที่ตามพวกเรามา” มิโยชิพูด
“ที่ชั้นสิบตอนกลางคืนเนี่ยนะ บ้าเลือดชะมัด”
“รุ่นพี่เป็นคนสุดท้ายที่ฉันอยากได้ยินคำพูดนั่นออกจากปากเลยล่ะ”
“ควรไปช่วยไหม”
“อาจจะเป็นหน่วยสอดเเนมของต่างประเทศก็ได้ เพราะงั้นถ้าเราไม่ซ่อนตัวตอนเข้าไปช่วย จะต้องเกิดปัญหาขึ้นมาทีหลังเเน่ๆ เเถมพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ เเล้วก็กำลังอยู่ไกลออกไปเรื่อยๆ บางทีอาจจะกำลังถอยทัพอยู่”
“หวังว่าจะไม่เป็นอะไรนะ”
ระหว่างที่พวกเราลังเลว่าจะไปช่วยดีหรือไม่ดี เสียงปืนที่ดังจากระยะไกลก็หยุดลง หลังจากนั้นก็มีเสียงหอนเเว่วมาเข้าหูพวกเรา
“นั่นใช่บาร์เกสต์รึเปล่า” ผมถาม
ภาพจากกล้องรอบๆรถเริ่มมีหมอกบดบังอย่างเงียบๆ เเถมยังได้ยินเสียงโซ่ด้วย
“อยู่ห่างออกไปประมาณ 150 เมตร ตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่ข้างบน รุ่นพี่น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะ” มิโยชิพูดเเละชี้ไปที่หลังคาของรถRV
ผมเดินไปที่เตียงสองชั้น มิโยชิเอาหมวกที่มีอะไรหนาๆติดอยู่ออกมาให้
“ลองใช้ไอนี่ไหมล่ะ” เธอพูด
“นี่มัน…เเว่นตามองกลางคืนนี่”
“มันคือ AN/PVS-15s เป็นรุ่นเดียวกับที่ USSOCOM ใช้”
ผมเลิกคิ้ว “เราซื้อของเเบบนี้ได้ด้วยหรอ”
“ซื้อจากเนตเหมือนอย่างอื่นนั่นเเหละ”
“ว้าว ยุคนี้มันสุดยอดจริงๆ”
ผมอ่านคู่มือ สวมหมวก เเละเดินไปทางด้านหน้าของรถโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็ขึ้นไปบนเตียงสองชั้น
ทางผู้ผลิตรถได้ใส่ประตูเอาไว้เเทนที่ซันรูฟบนหลังคา ทำให้ผมมีทางออกจากรถทางด้านบน
ผมโผล่หัวออกมาจากหลังคาเเละสังเกตรอบๆอย่างระมัดระวัง “ว้าว เจ๋งแฮะ ทุกอย่างดูชัดเเจ๋วไปหมดเลย”
ถึงหมอกจะเริ่มหนาขึ้นมาก เเต่มันก็คล้ายกับหมอกทั่วไป ไม่ได้มีความหนาเเน่นเหมือนกับผ้าคลุมเเห่งความมืดของฮาวด์ออฟเฮคาเต้ หลังจากสอดส่องดูสักพัก ผมก็เจอบาร์เกสต์ที่กำลังขู่อยู่ในฝูงอันเดด จากที่ผมเห็น มันยังไม่เรียกลูกน้องออกมา
ผมยิงหอกน้ำสองอันไปที่ซอมบี้ใกล้ๆ หลังจากนั้นก็ไปเผชิญหน้ากับบาร์เกสต์เเละยิงหอกน้ำไปอีกครั้ง หลังจากที่มันเห็นซอมบี้ที่ถูกยิงเเตกกระจาย มันก็เริ่มระเเวงผมเเละพยายามที่จะอัญเชิญเฮลฮาวด์ออกมา ทว่าในตอนที่วงเเหวนเวทย์ปรากฏขึ้น หอกของผมก็เสียบไปที่ตัวมันซะก่อน
สกิลออร์บ : ตรวจจับสิ่งมีชีวิต | 1/50,000,000
สกิลออร์บ : เวทมนตร์เเห่งความมืด (II) | 1/100,000,000
สกิลออร์บ : เวทมนตร์เเห่งความมืด (VI) | 1/280,000,000
สกิลออร์บ : ต้านทานสถานนะผิดปกติ (2) | 1/500,000,000
สกิลออร์บ : ต้านทานโรค (4) | 1/700,000,000
ผมจดข้อมุลที่หน้าจอเมคกิ้งเเละกดเลือกเวทมนตร์ความมืด VI ตามที่เคยคุยกันไว้ จากนั้นผมก็ถอยกลับเข้าไปในรถทางหลังคา
“ถ้าเวทความมืด VI สามารถซัมมอนเฮลฮาวด์ได้ ระดับ II จะเอาไว้สร้างหมอกรึเปล่า” มิโยชิถาม
“ไม่รู้สิ อาจจะกลับกันก็ได้ เเต่ว่าฉันยังไม่เคยเห็นบาร์เกสต์ทำให้หมอกของมันหายไปเลย ถ้าเวทความมืด II สร้างหมอกจริงๆ มันอาจจะปกคลุมผู้ใช้ไปจนตายเลยก็ได้”
“หวา ฟังดูเลวร้ายชะมัด ฉันคงเก็บมันเอาไว้ก่อนละกัน เเต่จากฐานข้อมูล ต้านทานสถานะผิดปกติจะป้องกันจากพวกเอลเมนท์ทั้งหมด – พอยซั่น พาราไรซ์ ดีซีส สลีป เเล้วก็ ชาร์ม อ้อ เเล้วก็เลขอราบิกหมายถึงสกิลเลเวล”
“ดีเลยนะ ถึงจะเลเวลต่ำก็เถอะ อยากจะได้สักอัน”
“ต้านทานโรคน่าจะเป็นสกิลเอาไว้ต่อกรกับสถานะผิดปกติที่เป็นอาการป่วยโดยเฉพาะ เเต่ว้าวว เลเวลสี่เลยนะ คิดว่ามันจะให้หวัดไร้ผลไหม”
“เเบบนั้นก็ดีมากเลยนะ เเต่…คิดเรื่องออร์บที่ยังไม่ลงทะเบียนไปก็ไม่มีประโยชน์ ไว้พอได้สกิลประเมินมา เดี่ยวก็รู้เองเเหละ”
ผมชี้ไปที่ออร์บเวทย์ความมืด VI ที่ผมวางไว้ข้างหน้ามิโยชิ “เเล้วก็ตามที่เธอพูด เราจะไม่ใช้มันจนกว่าจะมีสกิลประเมิน”
มิโยชิพยักหน้า “ฉันไม่เกี่ยงหรอกนะที่จะเป็นสาวสวยที่ถูกห่อหุ้มไปด้วยความมืด เเต่ถ้าทำให้หมอกมันหายไปไมไ่ด้ ฉันก็ไปช๊อปปิ้งไม่ได้น่ะสิ”
“ไม่อยากจะเป็นสาวงามเเห่งความมืดหรอ”
“มุกคนเเก่”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปเพิ่มจำนวนการฆ่าหน่อยละกัน”
ผมกลับไปที่ด้านบนของเตียงสองชั้น พอผมโผล่หัวออกจากหลังคา ก็มีฝูงซอมบี้กับสเกลเลตันพุ่งเข้ามาหารถ RV ท่ามกลางความมืดของชั้นสิบ สิ่งมีชีวิตอาจจะดูเหมือนคบเพลิงสำหรับพวกมันก็ได้ ยังไงก็ตาม ผมก็จัดการพวกมันด้วยหอกน้ำ บางทีก็เก็บดรอปไอเทมที่โผล่ออกมา งานง่ายๆ
สุดท้ายเเล้วผมก็ได้ใจเกินไปเเละประมาท เพราะว่าผมใช้MPไปมากกว่าที่ฟื้นฟูได้ MPของผมก็เลยลดลงทีละนิด พอเหลือครึ่งนึง ผมก็คิดว่าจะหยุดเเละกลับเอาหัวกลับเข้าไปในรถ จังหวะนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างเเหวกอากาศมาเฉี่ยวหลังหัวผมไป
“เหวอออ!”
ผมหดหัวเเละมองไปรอบๆอย่างไม่ทันได้คิด ห่างออกไปนิดหน่อยมีสเกลเลตัันถือธนูเเละลูกธนูอยู่
“คุณพระ มีเเม้กระทั้งอาเชอร์สเกลเลตันหรอเนี่ย”
ในฐานข้อมูลมีระบุเเค่สเกลเลตันธรรมดาเท่านั้น ถ้าเป็นเเบบนี้เราอาจจะเจอกับเมจสเกลเลตันก็ได้
พอผมพยายามที่จะโจมตีกลับด้วยหอกน้ำ หัวของมันก็ระเบิด
“เออะ อะไรเนี่ย”
“อย่าประมาทสิรุ่นพี่ มันอันตรายนะ” มิโยชิตะโกน
เดี๋ยว นั่นฝีมือมิโยชิหรอ เธอทำได้ยังไง…
ผมโผล่หน้าออกไปทางหลังคาอย่างกล้าๆกลัวๆ เเละพบว่าหัวของมอนสเตอร์จำนวนมากนั้นเเตกกระจายทีละตัว มิโยชิเริ่มยิงบอลเหล็กระหว่างที่มองจอมอนิเตอร์อยู่ จากในรถด้วย
“ล้อเล่นรึเปล่า เเบบนี้มันเเหกกฏชัดๆ”
ตามกฏปกติ เวทมนตร์ยิงจะเริ่มทำงานที่ข้างตัวของผู้ใช้ ทำให้ไม่สามารถมองผ่านหน้าจอเเละใช้เวทมนตร์จากในรถได้ เเต่เหมือนว่าการยิงลูกเหล็กออกจากสโตเรจจะทำลายกฏข้อนี้ซะยับเยินเลย มาคิดๆดูเเล้ว ตอนที่ทดสอบความจุของสโตเรจ มิโยชิเคยพูดอะไรทำนองว่า “ตอนเอาของออกจากสโตเรจ ฉันสามารถวางมันไว้ที่ไหนก็ได้ตามใจคิด เเถมในระยะห่างออกไปสักหน่อยก็ทำได้ด้วย น่าสนใจจริงๆ“
พอจำนวนการฆ่าของผมถึง 84 ผมก็ปล่อยที่เหลือให้มิโยชิจัดการเเละมาเก็บไอเทมที่ดรอปอยู่รอบๆตัว
ฮีลลิ่งโพชี่น (1) x 2
หินเวทย์ : บาร์เกสต์
หินเวทย์ : สเกเลตัน x 12
เขี้ยว : บาร์เกสต์
กระดูก : สเกเลตัน x 28
ผมกำจัดมอนเสตอร์ไปไม่น้อย เเต่ไอเทมก็ดรอปมาน้อยกว่าที่คิด
เดี๋ยวนะ ซอมบี้ไม่ดรอปอะไรเลยหรอ
พอคิดเเบบนั้น ผมก็กลับเข้าไปในรถ ปิดประตูด้านบน ผมถอนหายในเเละนั่งลงไปที่โซฟา
“ถ้าลูกธนูนั่นโดยจริงๆจะต้องเเย่เเน่”
“หมวกมีประโยชน์ใช่ไหมล่ะ”
ค่าVITที่สูงลิ่วของผมอาจจะช่วยสะท้อนลูกธนูได้ เเต่ผมก็ไม่อยากจะลองหรอกนะ
หลังจากที่ตอบผมส่งๆ มิโยชิก็ยังจ้องอยู่ที่หน้าจอจากกล้องวงจรปิดเเละยิงลูกเหล็กใส่มอนเสตอร์ด้านนอก ถึงจะมองผ่านจอ เธอก็ยังสามารถจัดการกับสิ่งรอบๆตัวได้ดี น่าประทับใจจริงๆ
“ถ้าเธอมีฐานถาวรอยู่ที่ชั้นสิบ เธอน่าจะจัดการอันเดดได้เป็นกองทัพเลยนะ”
เธอเเกล้งทำเป็นอายเเละหัวเราะ “ช่าย ชมฉันอีกสิ”
ผมมองไปที่เพดานสักพักก่อนที่จะลุกไปอาบน้ำ “อย่าเล่นเกมFPSทั้งคืนล่ะ สักพักก็นอนได้เเล้วนะ”
“ค่า ค่า รู้เเล้ว” มิโยชิตอบโดยไม่ละสายตาจากจอมอนิเตอร์
เหมือนเด็กที่กำลังเห่อเกมใหม่จริงๆ
ผมยักไหล่เเละเดินเข้าห้องน้ำไป
***
“เฮ้ ดูนั่นสิ”
มิมาซากะหันกลับมาดูหลังจากที่ได้ยินเสียงลูกน้องตะโกน เขามองลงไปที่บันไดชั้นสิบ ที่นั่นมีเงาของกลุ่มคนที่กำลังลากตัวเองขึ้นมา
“ไปช่วยพวกเขา” มิมาซากะร้อง “นายสองคนมากับฉัน! เเล้วนาย เตรียมตัวทำการรักษาซะ”
“รับทราบครับ”
พวกเรารีบไปที่บันได มิมาซากะพบกับผู้ชายสามคนเเละผู้หญิงหนึ่งคน ทุกคนนั้นบาดเจ็บเเละมีเเผลฟกช้ำเกือบจะหมดสติอยู่รอมร่อ พวกเขาคลานขึ้นบันไดมาอย่างช้าๆ เจ้าหน้าที่SDFสองคนจึงรีบวิ่งลงบันไดเเละไปพยุงผู้บาดเจ็บคนนึงไปที่เปล
“สาหัสเลยนะ” ทหารคนหนึ่งพึมพำ
“เฮ้ นายโอเคไหม”
มิมาซากะพูดเป็นภาษาอังกฤษ หวังว่านักสำรวจต่างชาติพวกนี้จะเข้าใจภาษากลาง
“ช่วย…ทหารของฉันด้วย”
ชายที่อยู่ท้ายสุด – ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีอายุมากที่สุด – พูดออกมาก่อนที่จะหมดสติไป
“พวกเขาคือหน่วยสอดเเนมของจีนไม่ใช่หรอ” มิมาซากะถาม
“น่าจะใช่นะครับ”
“พวกเขาบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้ให้ใช้โพชันระดับหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้อาการเเย่ลงไปกว่านี้!”
“ครับ เตรียมโพชั่นระดับหนึ่งครับ!”
มิมาซากะมองลูกน้องของเขาเเบกทหารจากจีนไปยังเปลทีละคน หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ความมืดมิดของบันไดชั้นสิบ พอถึงกลางคืน สุสานนั้นก็กลายเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ประสบการณ์ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำในเรื่องนั้น
***
ตอนนี้ชั้นสิบเป็นเวลากลางคืน ทีมสอดเเนมจากจีนก็ได้ถูกทำลายไปเเล้ว หน่วยของSDFก็ได้รับการยืนยันถึงความอันตรายของสุสานตอนกลางคืน เเต่ทว่าในสถานที่เดียวกันนี้ มิโยชิก็ยังคงกำจัดอันเดดอย่างต่อเนื่องเหมือนกับเล่นเกมอยู่
ผมควรจะไปนอนดีไหมนะ ผมคิดเเล้วก็นั่งลงที่โซฟาอย่างสบายใจ
“มิโยชิ บางทีเธอควรจะหยุดเกมเเล้วก็-”
ก่อนที่ผมจะพูดคำว่า “ไปนอนซะ” ก็มีบางอย่างเกิดขึ้น
“รุ่นพี่!”
ผมกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาเเละวิ่งไปหาเธอเมื่อได้ยินมิโยชิร้องอย่างตกใจ
“มีอะไร?”
“หน่ะ-นั่นน่ะ”
มิโยชิชี้ไปที่มอนิเตอร์ บางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ตรงนั้นกลับอยู่ตรงนั้น
“คฤหาสน์สไตล์ตะวันตกงั้นหรอ…”
เมื่อกี๊นี้ ที่บริเวณเนินเขายังเป็นสุสานอยู่เลย เเต่ตอนนี้ที่ตรงนั้นกลับมีสิ่งที่คล้ายกับบ้านของขุนนางจากยุคกลางตั้งอยู่ เเละบริเวณรอบๆ พวกอันเดดก็หายตัวไปหมด
“ไอนั่นมันอะไรกันเนี่ย! เธอทำอะไรรึเปล่ามิโยชิ”
เธอส่ายหัวอย่างเเรง “เปล่า ฉันเเค่กำจัดมอนสเตอร์เอง”
หลังจากนั้น เธอก็เริ่มสืบสวนสาเหตุที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้
ในขณะเดียวกัน ผมก็เริ่มตั้งสมมุติฐาน “อาจจะเป็นเพราะเวลา หรือเพราะกำจัดมอนสเตอร์พิเศษ หรือเพราะกำจัดมอนสเตอร์ตามจำนวนที่กำหนด หรือบางทีเราอาจจะถูกส่งไปอีกสถานที่นึง เเต่ก็ไม่น่าจะใช่….หรือว่าจะเป็นภาพลวงตา”
มิโยชิส่ายหน้า “ฉันไม่คิดว่าอย่างนั้นนะ ตัวเซนเซอร์ที่คอยสร้างเเผนที่ก็ยังมีปฏิกิริยาอยู่”
หรือก็คือ คฤหาสน์นั่นมีอยู่เเละมีตัวตนจับต้องได้จริงๆ – ถึงมันจะอยู่ดีๆก็โผล่มาก็เถอะ
“ฉันไม่เจอความเชื่อมโยงกันระหว่างเวลาที่คฤหาสถ์ปรากฏขึ้นกับวงโคจรของดวงจันทร์เลย ก่อนหน้านี้ มอนสเตอร์ตัวสุดท้ายที่กำจัดไปก็น่าจะเป็นซอมบี้ ดูเเล้วไม่ใช่มอนสเตอร์พิเศษ” ระหว่างที่มิโยชิพูด เธอก็ย้อนไปดูคลิปที่ถูกอัดจากกล้องวงจรปิด “พูดถึงจำนวน…ก่อนที่คฤหาสน์จะโผล่ออกมา ฉันฆ่าซอมบี้ไป373ตัวในชั้นสิบ”
เดี๋ยวก่อน 373ตัว! มากขนาดนั้นเลยหรอ เเต่เรื่องที่มีซอมบี้มากขนาดนั้นก็น่าตกใจเหมือนกัน
“มันอาจจะเป็นตัวเลขพิเศษอะไรก็ได้ อย่างเลข 666 งี้”
“หืมมม 300 กับ 73 เป็นจำนวนเฉพาะพาลินโดรม”
“อะไรล่ะนั่น”
“เป็นจำนวนเฉพาะที่อ่านจากซ้ายหรือขวาก็เหมือนกัน”
“เเต่เลขพวกนั้นก็มีเยอะเเยะนี่”
11, 111, 131 ก็เป็นเเบบนี้เหมือนกัน
“ถ้านับจากเลขที่น้อยที่สุด 373 เป็นจำนวนเฉพาะพาลินโดรมลำดับที่ 13” มิโยชิพูด “รุ่นพี่พูดบ่อยๆนี่ว่าดันเจี้ยนเอาเเบบมาจากวัฒนธรรมบนโลกน่ะ”
“เรากำลังอยู่บนเขากอลกอธารึไง”
มิโยชิหัวเราะ “สเกลเลตันเยอะมากเลยนะ”
กอลกอธาเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน คำนี้มาจากภาษาอรามาอิก เเละในภาษากรีกมันเเปลว่าหัวกะโหลก
ผมเป็นนักสำรวจเเรงค์Gเเละยืนอยู่บนเขากอลกอธา เดี๋ยวจะมีตัวเอกจากกอลโก13โผล่มาเเล้วยิงผมด้วย อาร์มาไลท์ M-16รึเปล่าเนี่ย
“ตอนนี้มีคฤหาสน์ตะวันตกตั้งอยู่กลางสุสาน ถ้าตามธรรมเนียม เดี๋ยวเราน่าจะได้เจอกับกลุ่มเเวมไพร์”
จะว่าไป เเวมไพร์นั้นยังไม่ถูกพบในดันเจี้ยน เเต่ว่ามีมนุษย์หมาป่านะ เเต่พวกมันไม่ได้เเปลงร่างเป็นมนุษย์ คิดว่านี่คงไม่มี อินุกามิ อากิระหรอก อย่างน้อยก็ตอนนี้น่ะนะ
“เเล้ว เราจะทำยังไงกันดีล่ะ ไม่รู้ด้วยว่าคฤหาสน์นั่นจะอยู่ตรงนั้นไปถึงเมื่อไร”
คฤหาสน์นั่น – อาจจะ – ปรากฏขึ้นมาหลังจากฆ่าซอมบี้ไป 373ตัวในหนึ่งวันงั้นหรอ เเถมมอนสเตอร์ทั้งหมดในบริเวณนั้นก็หายไปหมดเลยด้วย อย่างกับว่ามันกำลังเชิญชวนพวกเราให้เข้าไปอยู่ยังไงอย่างงั้น…
“ฉันไม่มีกระสุนเงิน น้ำมนตร์ หรือว่ากระเทียมหรอกนะ ไม่ต้องพูดถึงไม้กางเขนหรอก” ผมพูด “เเต่ถึงขั้นนี้ เราน่าจะลองไปดูนะ”
“ดีเลย!”