ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 23 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (13)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 23 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (13)
รปปงหงิ
ผมเข้าไปยังชั้นหนึ่งของตึกอาร์คฮิลเซาท์ทาวเวอร์ ที่มุมของร้านชุน ชุ่ยตัง ผมไปเจอกับมิโยชิที่พึ่งออกมาจากลิฟท์
“เหวอ มิโดริไม่ได้ใส่เสื้อเเลปโค๊ตหรอเนี่ย”
มิโยชิกำมือเเละพูดขึ้นมา “ฉันเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน”
“หา นายเป็นเฟติชสาวเเว่นใส่เสื้อเเลปรึไง”
“ไม่ใช่เเน่นอน”
“เเล้วจะทำเป็นเรื่องใหญ่ทำไมเล่า!”
ระหว่างที่ผมกับมิโดริคุยกันอยู่ มิโยชิก็คุยกับมิตสึรุกิที่ยืนอยู่ข้างผม
“สวัสดี ยินดีด้วยที่ผ่านการออดิชันนะ”
“ขอบคุณนะ ฉันถือวิสาสะมาด้วยในวันนี้”
“รุ่นพี่ชวนเธอมาไม่ใช่หรอ เขาน่ะไม่ค่อยเข้าหาผู้หญิงเเบบนี้เท่าไรหรอกนะ”
“อย่ากล่าวหากันนะ ฉันชวนเธอมาในฐานะพรรคพวกล่าสไลม์เท่านั้นเอง”
“มาเถอะ เข้าไปในงานกัน”
โธ่ ไม่สนใจกันซะเเล้ว
ที่สุดทางที่ดูเหมือนจะเป็นทางตัน มีทางเดินไปยังด้านซ้าย พอเดินผ่านประตูอัตโนมัติไป พวกเราก็พบกับสถานที่จัดงาน
ถ้าไม่ใช่พนักงานหรือลูกค้า ผมไม่คิดว่าเขาจะให้เราเข้าไป
“โยชิมูระ มิโยชิ ขอบคุณที่มา ครอบครัวของเราติดหนี้พวกเธอสองคนครั้งใหญ่เลย” อาเหม็ดกล่าว
พอเราเดินไปถึง อาเหม็ดที่ยืนอยู่หน้าร้านอาหาร ก็กางเเขนมากอดพวกเราสองคน
ว้าว เขาเเรงเยอะชะมัด ทำเอาผมหายใจไม่ออกเลย
“ไม่ใช่เเค่พวกเรานะคะ นารุเสะจากJDAก็ช่วยอำนวยความสะดวกให้หลายๆอย่างอยู่ทั้งหลังฉากเเละหน้าฉาก”
“เเน่นอน ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากจากความช่วยเหลือของเธอ เเล้วสุภาพสตรีเหล่านี้คือใครกันล่ะ”
“นี่คือ มิโดริ เป็นน้องสาวของนารุเสะค่ะ เธอเปิดบริษัทอุปกรณ์การวัดสมรรถภาพร่างกาย พวกเราทำงานร่วมกันในบางครั้ง”
“โอ้ เธอเป็นเจ้าของบริษัทสตาร์ทอัพงั้นหรอ”
“ใช่ค่ะ”
มิโดริพยักหน้าให้อาเหม็ด “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉัน นารุเสะ มิโดริ ขอบคุณที่ยินยอมให้เข้าร่วมปาร์ตี้ถึงเเม่ว่าจะได้ไม่ชวนโดยตรงนะคะ”
“เเน่นอน พี่สาวของเธอช่วยฉันไว้มาก ตามสบายเลยนะ”
“ขอบคุณมากค่ะ”
พอเห็นอย่างนี้ มิโดริดูเป็นหญิงสาวมากความสามารถอยู่ เเถมชุดสูทที่เธอใส่ก็ดูดีด้วย
“มิโดริ ถ้าเธอทำตัวอย่างนี้ตลอดจะดูเท่มากเลย”
“ไม่เห็นต้องพูดตรงขนาดนั้นเลยนี่ เเต่ฉันก็คิดเเบบนี้เหมือนกันนะ” ผมพูด
“เเละนี่คือ มิตสึรุกิ ฮารุกะ เธอเป็นนางเเบบที่กำลังน่าจับตามองในตอนนี้ ในปีหน้าเธอกำลังจะเซ็นสัญญาส่วนตัวกับเเบรนด์ฟิเวอซิตี้”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
“ยินดีด้วยนะ” อาเหม็ดตอบ “ฉันเข้าใจที่เธอพูดดีไม่มีปัญหาอะไร เธอเป็นเเฟนสาวของโยชิมูระรึ?”
“ถ้าเป็นเเบบนั้นก็ดีสิครับ” ผมหัวเราะ “เเต่น่าเสียหายที่เธอเป็นเเค่เพื่อนร่วมงานของผม”
มิตสึรุกิดูเขินนิดหน่อย
“อ้อ เธอเป็นนักสำรวจเหมือนกันหรอ” อาเหม็ดถาม
“เป็นมือใหม่น่ะค่ะ”
“มีประโยชน์ในสายงานของเธอไหม”
“มากๆเลยค่ะ”
อาเหม็ดหัวเราะเเละเดินเข้าไปในร้านอาหาร “พวกเธอเป็นเพื่อนร่วมงานกันจริงๆด้วย”
ร้านอาหารนั้นค่อนข้างเล็ก มีเคาเตอร์ที่เป็นรูปตัวเเอลอยู่ เหมือนกับว่าจะมีห้องส่วนตัวด้วย เเต่พวกเราไม่ได้ใช้มันวันนี้
“เคโกะ!!” อาช่าทัก
“สวัสดี ขอบคุณที่เชิญมานะ”
มิโยชิยื่นกล่องอัญมณีให้ผม “เอ้า นี่”
“อ๊ะ จริงด้วย โอเค”
ผมยื่นของขวัญให้อาช่า ที่เเต่งตัวเหมือนกับที่มิโยชิพูดเอาไว้ไม่ผิด ใช่ ดูถูกลางสังหรณ์ของเธอไม่ได้เลย
“นี่เป็นของขวัญเเสดงความยินดีที่เธอรักษาตัวหายสำเร็จจากพวกเราสองคน”
“จริงหรอ ขอบคุณมากค่ะ ฉันขอเปิดเลยได้ไหม”
“เเน่นอน”
“พระเจ้า เป็นต่างหูที่น่ารักมาก เเย่จังที่ฉันใส่มันตอนนี้ไม่ได้”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ไว้เธอค่อยไปเจาะหูทีหลังได้ เเต่วันนี้ เธอใช้จี้นี่เเทนไปก่อนนะ”
อาช่ามองไปที่เครื่องประดับชิ้นที่สอง “โอ้ ช่วยสวมมันให้ฉันได้ไหมคะ”
“ตราบเท่าที่เธอต้องการ”
“รุ่นพี่” มิโยชิกระซิบกับผมเป็นภาษาญี่ปุ่น “ไปหัดใช้ภาษาอังกฤษเเบบนั้นมาจากไหนเนี่ย”
“ฉันพึ่งหาในเนตเมื่อวานนี้” ผมพูดเสียงค่อยๆ “ฉันพูดผิดรึเปล่า”
“ก็ดีนี่ เป็นประโยคพื้นฐานอยู่เเล้ว”
อาช่าหันหลังเเละรวมผมยกขึ้น ผมใส่สร้อยรอบคอของเธอเเละเกี่ยวตะขอด้วยนิ้วของผมที่กำลังสั่น พอเสร็จเเล้วเธอก็เอาผมลง หันกลับมาอีกครั้ง ทับทิมสีเเดงที่ประดับด้วยเพชรรอบๆนั้นส่องประกายอย่างสวยงามบนอกเธอ
“ดูเหมาะมากเลยล่ะ”
“ขอบคุณนะคะ ฉันจะใส่ไว้ตลอดเลย”
หลังจากที่นั่งกันเรียบร้อยเเล้ว พวกเราก็เริ่มทานอาหาร ผมติดใจกับมิโดริที่สุด
“ตับปลาอังกิโมะนี่มัน ซู๊ดดดยอดจริงๆ” เธอพูดพร้อมซดสาเกในมือเเละขอเติมเพิ่ม ผมไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนที่ดื่มหนักขนาดนี้
“ตับปลาอังกิโมะนั้นจะเริ่มอ้วนขั้นในเดือนธันวาคม เเต่ช่วงหลังมานี้พวกเราสามารถหามาได้ก่อนฤดูของมัน ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ตับปลาอร่อยที่สุดเลยล่ะครับ” เชฟอธิบาย
นารุเสะคนพี่ที่พึ่งมาถึงช้ากว่าคนอื่น พยายามทำเป็นไม่เห็นมิโดริเเละคุยอยู่กับมิโยชิเเละอาเหม็ด
ผมที่โดนประกบหนีบอยู่ระหว่างอาช่าเเละมิตสึรุกินั้น ไม่มีคืนไหนที่ดีไปกว่านี้อีกเเล้ว
ในขณะที่อาช่า ที่เป็นชาวต่างชาตินั้นพูดภาษาญี่ปุ่น มิตสึรุกิที่เป็นคนญี่ปุ่นกลับพูดภาษาอังกฤษ ถึงจะดูเเปลกเเต่เหมือนสถานการณ์เเบบนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยพอควร
“เคโกะ นี่อร่อยนะ อ้าปากสิ” อาช่าพูด
“อาช่า” มิตสึรุกิเเทรก “การถือตะเกือบขึ้นเเบบนั้นเเล้วบอกให้อ้าปากหมายถึงการปิดนะ”
“เธอบอกว่าปิดหรือผิดนะ”
“ฉันจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างนะ” มิตสึรุกิเปลี่ยนไปใช้ภาษาญี่ปุ่น “โยชิมูระ อ้ามมม”
“เห้ ดะ-เดี๋ยวก่อน-”
“หมะ-มีผู้หญิงมาชอบรุ่นพี่ด้วยหรอเนี่ย!”
“เหมือนว่าพวกเธอจะใช้เขาเป็นของเล่นมากกว่านะ เเถมพวกเธอก็เมาเเล้วด้วย” นาุเสะสังเกตพร้อมกระดกสาเกเเก้วใหญ่จนหมด
เหมือนนารุเสะคนพี่ก็ดื่มเก่งเหมือนกันนะ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนนึงก็สวยพอที่จะเป็นดาราบอลลิวูดเลยนะ ส่วนอีกคนก็เป็นนางเเบบดาวรุ่งของเเบรนดัง”
“พอเอามาพูดเเบบนั้นก็ฟังดูไม่น่าเชื่อจริงๆด้วย” นารุสะเสริม
“ปาปารัสซี่ต้องตามหาตัวรุ่นพี่ไปทั่วเเน่ๆ”
เรื่องนี้น่ากังวลอยู่นะ
สิ่งที่น่ากลัวของมิโยชิก็คือ ผมบอกไม่ได้ว่าเธอพูดเล่นหรือพูดจริงนี่เเหละ
***
“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”
“เคโกะ” อาช่าเรียกผม
“ดูเเลตัวเองนะ เข้าใจมั้ย”
พอผมพูดเเบบนั้น อาช่าก็เข้ามากอดทันที
คนอินเดียนี่ถึงเนื้อถึงตัวกันเเบบนี้เป็นปกติรึเปล่า
ระหว่างที่ผมลนลาน อาช่าก็ถอยออกมา “เเล้วเจอกันนะคะ” เธอพูด
“อื้อ เเล้วเจอกัน”
พวกเราพูดกันเหมือนเพื่อนที่สามารถมาเจอกันใหม่ได้
“ตอนนี้โลกมันเเคบลงเยอะนะ” อาเหม็ดพูดพลางหัวเราะ “มันเป็นไปได้เสมอถ้าพวกเธออยากจะเจอกันอีก”
ผมต้องเห็นรอยยิ้มนั่นในฝันร้ายเเน่ๆ พ่อที่ตามใจลูกนี่มันน่ากลัวจริงๆ
“ถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือล่ะก็ ติดต่อฉันมาได้เลย ฉันจะช่วยเท่าที่จะทำได้”
“ขอบคุณมากครับ”
อาเหม็ดยื่นนามบัตรที่ดูหรูหราให้เเละจับมือผมอย่างเเรง สุดท้ายเราก็บอกลาทั้งสองคนเเละเเยกกันไปคนละทาง
คืนนี้มิโดริจะค้างกับมิโยชิ พวกเราเลยนั่งรถที่เช่ามาด้วยกันทั้งหมด ตอนที่จะส่งมิตสึรุกิกลับเข้าบ้าน ผมก็ยื่นของขวัญที่ซื้อมาให้เธอ
ตอนที่ผมถามร้านเรื่องต่างหูไข่มุก พนังงานก็เลือกอันที่เป็นรูปตัวเอ็มที่ดูทันสมัยให้ ตอนเธอกำลังออกจากรถ มิตสึรุกิที่ดูกำลังเมานิดหน่อยก็เข้ามาจูบผม เเน่นอนว่าที่เเก้มนะ
พอมิตสึรุกิออกจากรถไป มิโยชิก็เเซวขึ้นมา “รุ่นพี่พยายามดึงดูดปาปารัสซี่ตั้งเเต่เธอยังไม่ได้เดบิวอีกหรอ”
“พวกนั้นไม่ว่างขนาดมาตามสตอคใครก็ไม่รู้หรอก”
ถึงผมจะพยายามไม่เเสดงอาการ เเต่ตอนนี้ผมมีความสุขชะมัด
18 พฤจิกายน 2018 (วันจันทร์)
วันรุ่งขึ้น พวกเราก็ไปที่ห้องวิจัยลับของมิโดริอีกครั้ง
“ห้องวิจัยลับหรอ นายทำเหมือนฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอะไรเเบบนั้น”
“นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอีกคนมานั่นไง” มิโยชิพูด
พอเธอพูด ก็มีชายอีกคนนึงโผล่มาพร้อมกับเเบกปึกเกระดาษมาด้วย
เขาชื่อนาคาจิมะใช่ไหมนะ
“วันนี้ พวกเราจะได้ค้นพบความลับของออร่าเเล้ว เมื่อคืนฉันตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับเลย” มิโยชิพูด
“ออร่าที่เธอพูดถึงไม่มีอยู่จริงสักหน่อย เเล้ววันนี้จะวัดเหมือนครั้งที่เเล้วไหมล่ะ” มิโดริพูดพร้อมเอานิ้วโป้งกับนิ้วชี้ถูขมับ
“ใช่ วัดทั้งหมดเลย”
“จะว่าไป รายงานครั้งที่เเล้วของนายเขียนดีเลยนะ ขอบใจ เเล้วครั้งนี้ก็จะวัด 43 ครั้งอีกหรอ พวกเธอสองคนนี่ประหลาดจริงๆ”
นาคาจิมะส่ายหัว ดูเขาประทับใจจริงๆ “ค่าทดสอบจะประมาณ 100 ล้านเยน ถ้าเรามีทุนมากขนาดนั้นก็ดีสิ”
“เอาน่า เริ่มได้เเล้ว” มิโดริพยายามไม่สบตาใคร ตัดบทนาคาจิมะเเละดันตัวผมเข้าเครื่องวัดเหมือนครั้งที่เเล้ว “อย่ามัวเสียเวลาเลย”
ผมเปิดเมคกิ้งขึ้นมา
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 1118.856
HP : 61.00
MP : 52.00
STR : 24 [+]
VIT : 25 [+]
INT : 28 [+]
AGI : 20 [+]
DEX : 26 [+]
LUC : 24 [+]
ผมจะเริ่มด้วยการทำสเตตัสให้เท่ากันก่อน ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมกำจัดสไลม์ในโยโยกิไปได้ประมาณสองพันตัว เเต่เพราะผมทำติดต่อกันเลยได้SPเเค่ห้าเท่านั้น ถ้าด้วยความเร็วเท่านี้ ผมจะได้ SP 60 ภายใน 1 ปี เเละ 180 ภายในสามปี
ถ้าเเบ่งเท่าๆกัน สเตตัสของนักสำรวจเเนวหน้าน่าจะประมาณ 30 ทุกค่า ถึงจะนับเคสที่สุดโต่งเเล้ว อย่างมากก็น่าจะมีเเค่ 60 เเต้มเท่านั้นเเต่ผมก็ไม่มีหลักฐานหรอกนะ เพราะพอลงไปลึกในดันเจี้ยนเรื่อยๆ มอนสเตอร์ก็จะให้ค่าประสบการณ์มากขึ้น ถ้าผมเพิ่มค่าประสบการณ์ที่ผมคิดไว้เป็นสองเท่า นักสำรวจเเนวหน้าก็จะมีค่าสเตตัสทุกค่าอย่างละ 60 ถ้าเป็นเเบบนั้น ระดับสูงสุดน่าจะมีสเตตัสเฉลี่ยราว 120
ก่อนหน้านี้ มิโยชิกับผมได้คุยกันว่าจะเอายังไงเรื่องสเตตัส เเทนที่จะเพิ่มค่าใดค่าหนึ่งให้สูงไปเลย ผมน่าจะเพิ่มทุกค่าให้เท่ากันเเล้วค่อยให้มิโดริวัด เพราะโดยทั่วไปไม่น่าจะมีใครที่มีสเตตัสใดสเตตัสหนึ่งที่สูงโดดมากกว่าค่าอื่น เพราะผมตั้งใจจะเพิ่มให้ทุกค่าเป็น 100 อยู่เเล้ว ผมเลยจะเพิ่มทุกค่าพร้อมกันไปเลย
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 1085.856
HP : 75.00
MP : 57.00
STR : 30 [+]
VIT : 30 [+]
INT : 30 [+]
AGI : 30 [+]
DEX : 30 [+]
LUC : 30 [+]
“เอาล่า เริ่มวัดครั้งเเรกได้เลย”
“เริ่มเเล้วนะ”
ผมเริ่มรู้สึกเจ็บจากเข็มที่ทิ่มเข้ามาที่เเขนซ้าย เเละเหมือนครั้งที่เเล้ว เสี่ยงฮึ่มๆของเครื่องCTเเสกนก็ดังมาเข้าหู อีกไม่กี่นาทีหลังจากนั้นมิโดริก็ประกาศจบการวัดครั้งที่หนึ่ง ถ้าวัดครั้งนึงใช้เวลา 5 นาที ทั้งหมดก็น่าจะประมาณ 4 ชั่วโมง
ก็นะ นี่เป็นมาราธอน ไม่ใช่การสปริ๊น
พอค่าSTRถึง100 ก็เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 715.856
HP : 235.00
MP : 171.00
STR : [-] 100 [+]
VIT : 90 [+]
INT : 90 [+]
AGI : 90 [+]
DEX : 90 [+]
LUC : 90 [+]
“นี่มันอะไรเนี่ย”
ค่าSTRของผมตอนนี้มีสัญลักษณ์ [-] ด้วย
“มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่ ไม่มีอะไร เเต่รอสักเเปปนึงก่อนนะ”
หรือหมายความว่าผมสามารถเอาเเต้มที่ใช้ไปเเล้วกลับเข้ากลายเป็น SP ได้กันนะ ถ้าเป็นเเบบนั้นผมน่าจะสามารถลองเพิ่มค่าใดค่านึงให้สูงๆดู เเต่ว่าในเกมส่วนมากการทำเเบบนี้จะมีบทลงโทษด้วย อย่างเช่นถ้าจะได้เเต้มกลับมา 1 เเต้ม จะต้องใช้ 2 เเต้ม
ผมกดปุ่ม [-] อย่างกล้าๆกลัวๆ
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 715.856
HP : 235.00
MP : 171.00
STR : [-] 99 [+] [1]
VIT : 90 [+]
INT : 90 [+]
AGI : 90 [+]
DEX : 90 [+]
LUC : 90 [+]
ดูเหมือนว่าเเต้มที่ใช้ไปจะไม่กลับไปยังSP เเต่ผมน่าจะสามารถตั้งค่าได้ว่าจะให้ใช้เเต้มเท่าไรสำหรับสเตตัสนั้นๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอก เเต่คิดว่าถ้าสเตตัสเพิ่มขึ้นจนเกิดระดับของมนุษย์ ผมจะสามารถใช้มันเพื่อกดพลังของผมเอาไว้ได้
เรื่องนี้น่าจะทำให้ผมปกปิดสเตตัสของผมได้ด้วย เเต่ถ้าไม่มีใครสามารถเห็นสเตตัสได้ เรื่องนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ หรือว่ามันมีสกิลที่ทำให้มองเห็นสเตตัสของคนอื่นได้
เเถมถ้าผมสามารถปกปิดสเตตัสได้ มันน่าจะมีประโยชน์กับการทดลองของมิโยชิ …เเต่ว่าตอนนี้ผมไม่ควรจะทำอะไรที่ไม่จำเป็นก่อนดีกว่า
“เริ่มครั้งต่อไปได้เลย” ผมพูดพร้อมกับเปลี่ยน STR ให้เท่าเดิม
หลังจากผ่านไป 5 ชั่วโมง ตอนนี้สเตตัสของผมก็คือ
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 665.856
HP : 250.00
MP : 190.00
STR : [-] 100 [+]
VIT : [-] 100 [+]
INT : [-] 100 [+]
AGI : [-] 100 [+]
DEX : [-] 100 [+]
LUC : [-] 100 [+]
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะรุ่นพี่” มิโยชิพูด
ผมเดินออกจากเครื่องเเละยืดเเขนยืดขา “เห้อ ทำติดต่อกัน 43 ครั้งนี่เหนื่อยน่าดู”
“ขอบคุณมาก” มิโดริพูดเเละยื่นเเก้วกาแฟให้ผม “น่าจะอีกสักพักกว่าจะได้ผล ระหว่างรอก็ดื่มนี่สิ”
“ขอบคุณมาก” ผมหยิบเเก้วมา เเต่พอผมจับที่หูจับเเก้ว นิ้วของผมก็บดมันกลายเป็นผง
“เอ่อ อะไรเนี่ย”
หูจับมันไม่ได้เเตก เเต่มันถูกบดจนกลายเป็นผง เเน่นอนว่าเเก้วนั้นตกลงพื้น กาเเฟกระจายไปทั่ว
“เเย่ละ ข-ขอโทษที”
“นายเป็นอะไรไหม ไม่มีโดนลวกใช่ไหม ถ้ามีล่ะก็ ไปล้างที่ห้องน้ำตรงนั้นสิ”
“ขะ-ขอบคุณ”
ผมปล่อยให้มิโยชิเก็บกวาดเเก้วที่เเตกเเละหนีมาที่ห้องน้ำ เเน่นอนว่าผมจับกลอนประตูให้เบาที่สุด ระหว่างที่เปิดน้ำอยู่ที่อ่างล่างหน้า ผมก็หยิบเหรียญสิบเยนออกมาจากกระเป๋าเเละบีบมันด้วยนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ ผมค่อยๆใส่เเรงมากขึ้นเรื่อยๆจนเหรียญหักครึ่งอย่างง่ายดายราวกับว่ามันทำจากยาง
“ล้อกันเล่นรึเปล่า ผมไม่รู้ว่าจะควบคุมเเรงตัวเองยังไงด้วยซ้ำ”
ถ้าการเพิ่มSTRทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดขนาดนี้ การวิ่งเหยาะๆของผมอาจจะมองเห็นเป็นการวาร์ปของคนอื่นก็ได้ ถ้าผมลูบหัวสุนัข หัวมันอาจจะระเบิดได้เลย นักสำรวจเเนวหน้านั้นจะค่อยๆเพิ่มความสามารถทางร่างกายทีละนิด ทำให้ร่างกายเคยชินกับการเปลี่ยนแปลง เเต่ว่าผมไม่ใช่
“เอาล่ะ เข้าใจเเล้วว่าเครื่องหมายลบนั่นเอาไว้ทำอะไร”
ผมคิดเเละลดค่าสเตตัสของตัวเองลง
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 665.856
HP : 250.00
MP : 190.00
STR : [-] 30 [+] [70]
VIT : [-] 30 [+] [70]
INT : [-] 30 [+] [70]
AGI : [-] 30 [+] [70]
DEX : [-] 30 [+] [70]
LUC : [-] 100 [+]
ถึงค่า LUCกับINT จะไม่น่ามีผลอะไรมากในชีวิตประจำวัน เเต่ผมก็ลดค่าINTไปด้วยเพราะกลัวว่าเวทย์น้ำผมจะกลายเป็นอาวุธร้ายเเรงเกินไป เเต่ในอีกเเง่ การมีค่าLUCมากก็ไม่น่าจะไปทำอันตรายใครได้ใช่ไหมล่ะ
ระหว่างที่ผมกำลังคิดอยู่นี้ โทรศัพท์ผมก็สั่น พอผมเอาออกมาจากกระเป่าดูว่าใครโทรมาคนที่โทรมาทำให้ผมเเปลกใจเล็กน้อยเเต่ก็เป็นเรื่องดีล่ะนะ
“มิตสึรุกิหรอ”
ผมกดปุ่มรับสายเเละพูดตอบ “โยชิมูระพูด”
“สวัสดี นี่มิตสึรุกินะ”
“ขอบคุณที่มาด้วยกันเมื่อวันก่อนนะ มีอะไรรึเปล่า”
“เอ่อ อืมม เรื่องนั้น..”
เหมือนว่าเธออยากจะขอบคุณที่ผมชวนไปงานเมื่อวาน เเต่เพราะจูบที่เเก้มนั่นเธอเลยเขิลเเละไม่กล้าโทรมา
“เเต่เพราะอะไรก็ไม่รู้เหมือนฉัน อยู่ดีๆฉันก็รู้สึกอยากโทรหานายตอนนี้”
เป็นเพราะค่าLUCรึเปล่านะ
“จะว่าไป การฝึกในดันเจี้ยนของฉันดูจะได้ผลดีมากเลย ตามที่ครูฝึกบอกนะ ฉันเหมือนเป็นนางเเบบมืออาชีพที่สูญเสียความทรงจำเลย”
ถึงเธอจะไม่เคยเรียนรู้เทคนิคอะไร เเต่ร่างกายของเธอก็สามารถเคลื่อนไหวได้ตามที่สอน จะให้ความรู้สึกว่าเป็นเเบบนั้นเเน่ๆ
“เเล้วก็นะ คาบเรียนของฉันก็ดำเนินไปได้เร็วกว่าที่คิดเอาไว้เยอะเลย ตอนเเรกจะต้องเข้าคลาส 5 ครั้งต่อสัปดาไปจนถึงสิ้นปี เเต่ตอนนี้เหลือเเค่ 3 ครั้งเเล้วล่ะ”
“เเสดงว่าเธอจะเริ่มทำงานเเล้วหรอ”
“ยังหรอก งานจริงๆจะเริ่มปีหน้า ตอนนี้ก็เลยมีเวลาเหลือเฟือเลย ฉันเลยคิดว่าจะชวนไปลงดันเจี้ยนด้วยกันตามที่สัญญากันไว้เมื่อวันก่อน”
หือ เธอกำลังชวนผมไปเดทงั้นหรอ
เเต่ถึงอย่างงั้นก็เถอะ ดันเจี้ยนคงเป็นที่ๆโรเเมนติคน้อยที่สุดในโลกเเน่
“ดีเลย ตั้งเเต่วันที่ 27 ของเดือนนี้ฉันจะไม่อยู่ เเต่นอกจากนั้นก็ยังไม่มีเเผนอะไรสำหรับเดือนธันวาคม ไว้เธอบอกมาได้เลยว่าว่างวันไหน เดี๋ยวฉันจะจัดการตารางเอง”
“ขอบคุณนะ งั้นฉันจะส่งอีเมลล์เวลาว่างให้เร็วๆนี้ ขอโทษที่โทรมารบกวนตอนยุ่งๆด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไร ไว้คุยกันใหม่”
ผมกดวางสายเเละมองดูตัวเองในกระจก เงาสะท้อนที่มองกลับมานั้นดูเหมือนเด็กๆที่พึ่งได้รับของขวัญเซอร์ไพรซ์ เเน่นอนถ้าผมเล่าให้มิโยชิฟัง เธอต้องกัดไม่ปล่อยเเน่ๆ
พูดถึงมิโยชิ เธอคุยเรื่องการสร้างเครื่องวัดกับมิโดริไปเเล้ว การวัดค่าสเตตัสนี้มีทั้งเรื่องดีเเละไม่ดีคู่กันไป เราไม่รู้ว่าสังคมจะนำมาเรื่องนี้ไปในทืศทางไหน เเต่อย่างไรก็ตามนักวิจัยอย่างเราก็ต้องทำเรื่องที่เราทำได้ คนที่จะมาใช้เทคโนโลยีนี้ในอนาคตต้องเป็นคนตัดสินใจเอาเอง
บทส่งท้าย
หลายวันหลังจากนั้น
ที่งานพบปะสังสรรค์ระดับสูงเเห่งหนึ่ง
“สาวสวยคนนั้นใครกัน ไม่เคยเห็นเธอมาก่อนเลย”
หญิงสาวคนดังกล่าวสวมชุดเดรสสีเขียวเเละกำลังเดินอยู่ในงาน ความงามของเธอนั้นอยู่ระหว่างความเป็นเด็กหญิงเเละความเป็นหญิงสาว ส่วนโค้งเว้าที่ชุดเดรสนั้นเน้นขึ้นมาให้เห็นนั้นเข้ากันดีกับต่างหู จี้ทับทิมเเละรอยยิ้มของเธอ
“อ้อ เธอคือลูกสาวของอาเหม็ด”
“อาเหม็ดจากมุมไบหรอ ไม่ใช่ว่าห้ามพูดถึงลูกสาวของเขางั้นเรอะ ไม่ยักรู้ว่าก่อนว่าเธอมีพี่น้องด้วย”
“ไม่ จากที่ฉันได้ยินมา เขามีลูกสาวเเค่คนเดียว”
“อะไรนะ!”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ทั้งคนพ่อเเละลูกสาวเดินทางไปยังญี่ปุ่น เเละพอกลับมา เธอก็เป็นเเบบนั้นเเล้ว มีข่าวลือในวงการชนชั้นสุงกระซิบกันไปทั่วว่าเธอฟิ้นตัวได้อย่างกับมีปาฏิหารย์”
“ไม่เห็นได้ยินเธอ เธอไปเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมมารึไง”
“ถ้ามีหมอคนไหนที่จะทำให้อวัยวะงอกมาใหม่ได้ คนๆนั้นต้องทำสัญญากับปิศาจเเน่ๆ”
“ถ้างั้นก็เป็นการปลูกถ่ายร่างกาย”
“การหาร่างกายที่สวยเเละเข้ากันนั้นทำได้ยากมาก นี่ยังไม่พูดถึงใบหน้านะ ถ้าทำได้จริงอาเหม็ดคงทำไปนานเเล้ว เเถมถ้าเป็นการปลูกถ่ายจริง เธอจะฟื้นตัวได้ภายในพริบตาเลยรึไง อย่างน้อยก็ต้องฟื้นฟูร่างกายเป็นปีสิ ว่าไหม”
“อาจจะเป็นโพชั่นก็ได้”
“พวกเขาเคยใช้โพชั่นนะ เเต่ไม่ได้ผล”
“งั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันเเน่”
ทันใดนั้นเอง ชายที่มีหนวดสวยงามก็มาร่วมสนทนากับชายสองคนนี้ด้วย
“ฉันไปเจอจอมขมังเวทย์ที่ญี่ปุ่นมา”
เขาคือ อาเหม็ด ราอุล จาอิน หนึ่งในบุรุษที่ร่ำรวยที่สุดในอินเดีย
“อาเหม็ด! ขอโทษด้วยครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันไม่ถือสาเรื่องซุบซิบนินทาหรอก ทุกวันนี้ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีเเต่คนพูดถึงลูกสาวฉันทั้งนั้น”
“ขอรบกวนถามนะครับ จอมขวังเวทย์ที่ว่านี่คือคำเปรียบเปรยหรือว่า…”
“ไม่ล่ะ ไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมจะอธิบายเขาอีกเเล้ว วันนั้นเป็นวันที่เหลือเชื่อมากจริงๆ”
“อะไรกัน ลูกสาวของคุณฟื้นตัวได้ภายในวันเดียวเลยหรอ”
อาเหม็ดหยักหน้า “อย่างน้อยก็ร่างกายล่ะนะ”
“ผมไม่อยากจะเชื่อ”
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เเละหัวใจของเธอก็ฟิ้นตัวด้วย ต้องขอบคุณต่างหูทับทิมเเละจี้นั่น”
เครื่องประดับของอาช่าที่ส่องประกายเวลาโดนเเสงไฟ เเน่นอนว่ามันสวยงาม เเต่ว่าก็เป็นของทั่วไป ไม่ใช่ของชั้นสูงเเต่อย่างใด
“ถ้าผมดูไม่ผิดน่าจะเป็น แฮรี่ วินสตัน ถึงมันจะสวยก็จริง เเต่ว่าคุณน่าจะสามารถหาอัญมณีที่โดดเด่นเเละเป็นเอกลักษณ์กว่านี้ได้ไม่ใช่หรือครับ”
“เเน่นอน” อาเหม็ดหัวเราะ “เเต่เครื่องประดับพวกนั้นมีเวทมนตร์ที่ส่งผลอย่างอื่นด้วย”
เขาโบกมือเเละเดินไปหาเเขกคนอื่นๆ
“นายคิดว่าไงเรื่องนี้” ชายคนนึงถาม
“ถ้าคุณบังเอิญเจอจอมขมังเวทที่ญี่ปุ่น คุณสามารถเอาอวัยวะที่สูญเสียไปเเล้วกลับมาได้ เเล้วก็ยังมีอัญมณีที่มีเวทมนตร์เยียวยาหัวใจที่เเตกร้าวด้วย”
“อาเหม็ดก็บอกเราอย่างนี้ไม่ใช่รึไง”
“เเล้วจะให้ฉันพูดอะไรล่ะ มันอธิบายเป็นอย่างอื่นไม่ได้อยู่เเล้วนี่ ต้องเป็นเวทมนตร์เเน่ๆ”
“ถ้ามันมีจริง พวกชนชั้นสูงที่สูญเสียความงามหรือร่างกายไปเเล้วต้องพากันไปที่ญี่ปุ่นเเน่ๆ นักกีฬา นางเเบบ นักเเสดง หรือเเม้เเต่ทหาร”
ชายตัวเล็กที่ฟังชายทั้งสองคุยกันอยู่สักพักได้พูดขึ้นมา “เอาจริงๆ ฉันได้ยินข่าวลือที่น่าสนใจมา”
“ว่าไงล่ะ”
“ก่อนที่อาเหม็ดจะไปญี่ปุ่น มีการประมูลเเปลกๆเกิดขึ้นที่ประเทศนั้น”
“การประมูล? จัดโดยคริสตี้หรอ”
“ไม่ใช่” ชายร่างเล็กตอบ “เพราะการประมูลนี้ไม่ได้ถูกจัดขึ้นโดยบริษัทประมูลยักษ์ใหญ่ ทำให้คนที่อยู่นอกวงการไม่ค่อยรู้เรื่องนี้”
“พูดตรงๆเลยดีกว่า อย่ามัวเล่นตัวอยู่เลย”
“การประมูลถูกจัดมาเเล้ว 2 ครั้ง ในเเต่ละครั้งมีของ 4 อย่างถูกนำมาประมูล เเต่ทว่า..”
“ว่า…”
“ผู้ประมูลได้เงินไปกว่า 200ล้านดอลล่า”
“เดี๋ยวก่อน ของที่มีราคา 25ล้านดอลลาต่อชิ้นถูกประมูลเเถมไม่ได้จัดโดยบริษัทใหญ่งั้นหรอ ฉันสงสัยว่ามีคนกล้าเข้าร่วมด้วย”
“บริษัทประมูลทั่วโลกน่าจะยอมเเลกเเขนสักข้างเพื่อที่จะได้จัดการประมูลของนั่น เเต่ว่าพวกเขาไม่มีทางทำได้”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะพอของนั่นอยู่บนโลกเป็นเวลาครบ 23 ชั่วมง 56นาที 4 วินาที มันจะหายไปน่ะสิ”
“หรือว่า..”
“ใช่ บริษัทนั่น หรือพูดให้ถูกคือเวปไซต์นั่น ประมูลสกิลออร์บ อีกทั้งยังให้เวลาประมูลถึงสามวันด้วย”
“บ้าไปเเล้ว”
“เเน่นอนว่าทุกคนคิดว่ามันคือการต้มตุ๋น เเต่เจ้าของเวปไซต์นั่นมีใบอนุญาตของWDA ”
“เเสดงว่าเขาซื้อขายกันจริงๆหรอ”
“ถ้าเราเชื่อ WDA ล่ะก็นะ”
“คุณบอกว่าการประมูลนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เเต่ถ้าเป็นเรื่องจริง บรรดาคนที่สามารถซื้อออร์บได้ต้องพากันกรูเข้าไปในเวปไซต์นั่นเเน่”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้น เเถมผู้ซื้อนั้นเกี่ยวข้องกับทหารทั่วโลก ทุกคนกำลังรอดูอยู่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องทั้งหมดนี่จะให้เชื่อก็ยากพอดูนะ”
“ใช่”
“เรื่องราวจะเริ่มน่าสนใจตรงนี้เเหละ” ชายตัวเล็กพูดต่อ
“ว่าไงนะ ยังมีอีกหรอ”
“เชื่อผมสิ คุณต้องอยากได้ยินเรื่องนี้ ตอนการประมูลครั้งที่สองที่พึ่งผ่านมาไม่นาน มีสกิลออร์บที่ไม่มีใครรู้จักถูกนำมาประมูลด้วย”
“มันคืออะไรล่ะ”
“ชื่อของมันคือ การฟื้นฟูสุดยอด เเละมีการประกาศผู้ชนะการประมูล 2 วันหลังจากที่อาเหม็ดเดินทางไปญี่ปุ่น น่าบังเอิญไหมล่ะ”
ชายสองคนที่คุยกันก่อนหน้านี้มองตากัน สุดท้ายชายตัวสูงก็หันไปทางชายตัวเตี้ย
“เรื่องของคุณมันก็น่าสนใจอยู่หรอกนะ เเต่ลูกสาวของอาเหม็ดน่ะประสบอุบัติเหตุก่อนที่ดันเจี้ยนจะโผล่มาเสียอีก”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอจะมีดี-การ์ดได้ยังไง คุณคิดว่าเธอจะกำจัดมอนสเตอร์ได้ด้วยสภาพเเบบนั้นงั้นหรอ”
ชายร่างเล็กดูร้อนรน “ใช่ นี่เป็นจุดบอดเดียวของเรื่องนี้”
หลังจากใช้เวลาหลายปีบนรถเข็น คนที่ไม่มีมือทั้งสองข้างเเละมีเเขนข้างเดียวจะสามารถกำจัดมอนสเตอร์ได้ไหมน่ะหรอ ให้เธอว่ายน้ำข้ามช่องเเคบโดเวอร์ยังฟังดูเป็นไปได้มากกว่า
“จอมขมังเวทย์ชาวญี่ปุ่นนั่นน่าจะหาทางช่วยเธอจนได้” ชายร่างเล็กกล่าว
“เป็นเรื่องราวที่วิเศษไปเลย จะว่าไป…”
หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนมาคุยเรื่องเบรกซิทกัน