ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 21 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (11)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 21 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (11)
สำนักงานใหญ่JDA, อิจิกายะ
“นี่คือคุณอาเหม็ด ผู้ชนะการประมูล” ชายคนที่น่าจะพ่อบ้านกล่าว เขาเป็นชายกลางคนรูปร่างผอมเพรียวที่ดูเหมือนมีเชื้อสายอังโกลเเซกซอน
ชายที่ชื่ออาเหม็ดอายุประมาณสี่สิบ สวมเสื้อสูทราคาเเพง มีหนวดเคราดูสวยงามเกือบเต็มหน้า เขาหันมาทางมิโยชิกับผมเเละก้มให้เงียบๆ มีผู้หญิงที่นั่งอยู่ในเก้าอี้วีลเเชร์อยู่ข้างๆเขา กำลังก้มหน้าต่ำ เธอใส่หน้ากากที่ดูเหมือนหลุดมาจากเดอะเเฟนทอมออฟเดอะโอเปรา
เหมือนว่าลางสังหรณ์ของมิโยชิจะถูกอีกเเล้วระ
พอนึกขึ้นได้ ผมก็สงสัยขึ้นมา ถ้าผู้หญิงคนนี้ได้รับบาดเจ็บเเค่ภายนอกก็ใช้เเค่โพชั่นก็พอรึปล่าว ไม่ต้องมาเสี่ยงกับออร์บเลยด้วยซ้ำ
นารุเสะนั้นทำหน้าที่เป็นคนกลางเช่นเคย ทำให้การซื้อขายดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หลังจากที่นารุเสะประกาศว่าการซื้อขายเสร็จสิ้นเเล้ว พ่อบ้านคนนั้นก็พูดขึ้นมา
“คุณอาเหม็ดมีเรื่องอยากจะขอร้องพวกคุณ”
ผมรู้สึกสงสัยจึงหันไปมองนารุเสะ “เรื่องขอร้องหรอ?”
เธอส่ายหัวเพื่อบอกว่าเธอก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน หลังจากนั้นเธอก็พูดว่า “การซื้อขายได้จบลงเเล้ว มีปัญหาอะไรหรือคะ”
พ่อบ้านพูดปรีกษากับอาเหม็ดอย่างรวดเร็ว
“มิโยชิ รู้ไหมว่าภาษาอะไร”
“น่าจะเป็นฮินดีนะ เเต่ฟังดูเเล้วเหมือนมีอะไรบางอย่างไม่เหมือน”
ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนวีลเเชร์ที่เงียบมาตลอดทางตอบคำถามของเรา
“ภาษามาราตีค่ะ”
“โอ้ เธอเข้าใจภาษาญี่ปุ่นด้วยหรอ” ผมถาม
“เเค่นิดหน่อยค่ะ” หลังจากนั้นเธอก็เปลี่ยนมาพูดภาษาอังกฤษ “เเต่ฉันถนัดภาษานี้มากกว่า”
มิโยชิกำลังกูเกิ้ลภาษามาราตีอยู่ เธอบอกว่า “มาราตีเป็นหนึ่งในภาษาทางการของอินเดีย มีคนใช้อยู่ประมาณ 90ล้านคน”
เเน่นอนว่าเธอเก่งภาษาอังกฤษมากกว่าญี่ปุ่น ก็มันเป็นภาษากึ่งทางการของอินเดียนี่นา
“เเต่ฉันถนัดพูดภาษาญี่ปุ่นมากกว่า” ผมตอบ
“ไม่ต้องเดาก็ทราบค่ะ” เธอตอบเป็นภาษาญี่ปุ่น
“เเล้ว เขากำลังคุยอะไรกันอยู่”
“ดันเจี้ยน… อยากให้พาไป”
“หือ?”
เธอคิดว่าผมไม่เข้าใจ เลยพูดอีกทีเป็นภาษาอังกฤษ “พ่อของฉันอยากให้คุณพาฉันไปที่ดันเจี้ยนค่ะ”
อะไรนะ?
“มิโยชิ เธอได้ยินเหมือนที่ฉันได้ยินรึปล่าว”
“เเย่หน่อยที่ฉันก็ได้ยินเเบบนั้นเหมือนกัน”
ให้พาคนพิการไปในดันเจี้ยนหรอ ไปขอร้องพวกทหารจะดีกว่าเเละก็ปลอดภัยกว่าไหม
“ทำไมพ่อของเธอถึงอยากจะทำอย่างนั้นล่ะ”
“ง่ายๆเลยคือฉันไม่มีดันเจี้ยนการ์ดค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้พวกเราพูดไม่ออกเเน่นอนว่าอาเมห็ดจะให้ลูกสาวของเขาใช้ออร์บฟื้นฟูสุดยอด เเต่ปัญหาคือเธอยังไม่มีดี-การ์ด
“รอเดี๋ยวก่อนนะ” ผมพูด
ผมดึงมิโยชิมาที่มุมห้อง พ่อบ้าน อาเหม็ด กับนารุเสะกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกันอยู่
**** ใส่รูป
“มิโยชิ เธอคิดว่าไง”
“เรื่องที่พ่อเธออยากจะขอให้เราช่วยให้เธอมีดี-การ์ดภายใน24ชั่วโมงนี้น่ะหรอ เป็นไปไมไ่ด้หรอก”
“ฉันก็คิดเเบบนั้น”
“เเต่เขาเอาเรื่องี้มาพูดหลังจากซื้อขายเสร็จเเล้ว เขาอาจจะมีความคิดอะไรบางอย่างก็ได้”
“จะว่าไป เธอว่าคนที่ดูเหมือนพ่อบ้านนั้นดูหยิ่งๆยังไงรึปล่าว”
“คิดเหมือนกัน นี่เเค่เดานะ เเต่ว่า…”
“ว่า…”
“ไม่ใช่ว่าเขาดูเหมือนพวกเจ้าหน้าที่จากองค์กรรัฐที่มาจากอังกฤษไม่ก็อเมริกาหรอ”
“จากสำเนียงเเล้วก็ที่พูดภาษามาราคีได้ น่าจะมาจากอังกฤษนะ”
“เป็นไปได้ เรายังไม่เคยบอกใครเรื่องเทคโนโลยีการเก็บรักษษออร์บใช่ไหมล่ะ”
“ไม่เคย ฉันบอกตลอดว่าบังเอิญเจอมาทั้งหมด”
“รุ่นพี่ก็พูดซะเหมือนเป็นเรื่องคนอื่น เเต่ว่าพวกเขาเห็นเวลาที่เหลืออยู่บนออร์บเเล้ว ถ้าเรารับคำขอนี้เเล้วส่งมอบออร์บในอีก 24 ชั่วโมงถัดไป ก็จะกลายเป็นการยืนยันว่าพวกเรามีเทคโนโลยีการเก็บรักษาออร์บจริงๆ”
น่าจะเป็นเเบบนั้น ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเเผนนี้มันน่าตลกหรือว่าฉลาดล้ำลึก เเต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ต้องขอชมเรื่องที่พยายามจะพิสูจน์ความสามารถของพวกเรา เเน่นอนว่าถ้าเราไม่ยอมรับคำขอนี้ พวกเขาก้จะพิสูจน์อะไรไม่ได้
“เธอคิดว่าอาเหม็ดมีส่วนกับเเผนนี้ไหม” ผมถาม
“ถึงเขาจะมีส่วน ฉันก็มั่นใจว่าเขาต้องอยากรักษาลูกสาวของเขาเเน่ๆ”
ผมมองไปที่อาเหม็ด ที่กำลังโต้เถียงอยู่กับนารุเสะ เเละมองไปที่หญิงสาวบนวีลเเชร์ พอมองเเบบนั้น ผมก็มั่นใจว่ามิโยชิคิดถูก
“มีทางเลือกที่ดีกว่าคือ เราปล่อยให้ออร์บนี้หมดอายุไป เเล้วค่อยขายเขาอีกลูกทีหลัง”
“หือ ไม่ใช่ว่าเราใช้ลูกสุดท้ายของเราไปเเล้วเมื่อวันก่อนหรอ”
“คูลดาวน์มันเเค่ 12 วันเอง ลูกถัดไปน่าจะอีกไม่นาน”
มิโยชิมองไปทางหญิงสาว “ก็เป็นอีกทางนึง เเต่ยังไงรุ่นพี่ก็ต้องช่วยเธอให้ได้ดี-การ์ด คิดว่าทำได้ไหม”
นักสำรวจจะได้รับดี-การ์ดหลังจากกำจัดมอนสเตอร์ตัวเเรก นี่เป็นกฏเดียวที่มีเเละเข้มงวดมากด้วย คุณต้องกำจัดมอนสเตอร์นั้นคนเดียว เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์มาเเล้วจากทัวร์ดันเจี้ยนที่มีขึ้นเพื่อให้ลูกทัวร์ได้รับดีการ์ด
ส่วนใหญ่ทัวร์พวกนี้จะเเจกปืนให้กับลูกทัวร์เเละให้พวกเขายิงมอนสเตอร์จากที่ไกลๆ เเต่ว่าถ้าผืนนั้นติดอยู่กับอะไรสักอย่างหรือมีคนช่วยจับ นักสำรวจนั้นก็จะไม่ได้ดีการ์ด ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือให้คนอื่นเป็นคนบรรจุกระสุนให้ก็ไม่ได้เช่นกัน หรือให้คนไปล่อมอนสเตอร์มาเเล้วยิงก็ยังถือว่าไม่ได้
เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองตั้งเเต่ต้นจนจบ ถ้าใช้กับดักก็จะมีผลเเค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เเต่ยังดีที่ไม่ต้องถึงกับทำตัวกับดักเองด้วย
ดูผิวเผินเเล้ว ข้อจำกัดพวกนี้อาจจะดูยาก เเต่สำหรับคนที่มีร่างกายครบ32เเล้วนั้นมันไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะดันเจี้ยนเองก็มีมอนสเตอร์ที่อ่อนแออยู่เต็มไปหมด
เเต่ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้…
ผมกลับไปหาเธอเเละถามคำถาม
“ร่างกายของเธอเป็นอะไรหรอ”
เธอดุตกใจไปชั่วขณะ เเต่ก็ตอบกลับมาได้ว่า “ที่เป้นคือซีกขวาของร่างกาย ฉันไม่มีขาขวาเเละเเขนขวา ขาซ้ายยังดีอยู่ เเขนซ้ายเหลือเเค่หน้าเเขน โชคยังดีที่หน้าฝั่งซ้ายยังดีอยู่”
“เพราะอุบัติเหตุหรอ?”
“ประมาณนั้น”
“ถ้าพ่อของเธอสามารถใช้เงินขนาดนี้ซื้ออร์บได้ ทำไมถึงไม่ใช้โพชั่นล่ะ”
“เหมือนว่าโพชั่นจะไม่สามารถรักษาเเผลที่หายดีได้เเล้ว..”
“เเสดงว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้นมานานเเล้ว…นี่อาจจะดูโหดร้ายไปหน่อยนะ เเต่ว่าเธอสามารถเฉือนเนื้อส่วนนั้นออกเเล้วค่อยใช้โพชั่นก็ได้”
“โพชั่นสามารถต่อชิ้นส่วนที่ขาดจากกันได้ เเต่ไม่สามารถทำให้งอกเเขนขามาใหม่ได้ ถึงจะมีจริงๆเเต่ก็ไม่มีให้สำหรับพลเรือนหรอก”
เงินสามารถซื้อได้เกือบทุกอย่างบนโลกใบนี้ เเต่ถึงจะมีเงินเท่าไร เเต่ก้ไม่สามารถซื้อของที่ไม่มีอยู่จริงได้ ตอนที่มีการใช้โพชั่นครั้งเเรกในโลก มันเเค่ทำการรักษาร่างกายของทหารคนนั้นเท่านั้น
“จะว่าไป เธอชื่ออะไรล่ะ ฉันชื่อโยชิมูระ เคโกะ”
“ฉันขื่ออาช่า ดูย้อนเเย้งใช่ไหม”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะอาช่าเเปลว่า ความหวังน่ะสิ”
พอได้ยินเธอพูดเเบบนั้น ผมก็ตัดสินใจได้
“นี่มิโยชิ”
“ว่าไง”
“ฉันจะพาเธอไปที่โยโยกิ”
“อือ ฉันคิดไว้อยู่เเล้วล่ะ รุ่นพี่ใจดีกับผู้หญิงสวยตลอดเลยนี่นา”
สวยหรอ พอมองดูดีๆ หน้าฝั่งซ้ายก็เธอนั้นดูสวยคม ทำให้นึกถึง คาทริน่า คาอิฟตอนสาวๆ บางทีเธออาจจะเป็นลูกครึ่งก็ได้
พออาช่าได้ยินที่เราพูด เธอก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เเล้ว จะให้เธอฆ่ามอนสเตอร์ได้ยังไงล่ะ” มิโยชิถาม
“เราให้เธอใช้หลอดที่มันยาวๆหนาๆก็ได้ เเล้วก้ให้ใส่รองเท้าบูทที่มีเเผ่นเหล็กหนาๆติดอยู่ที่ส้นเท้า”
“ก็ได้ ถ้ารุ่นพี่ต้องการอย่างนั้น เดี๋ยวฉันจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้แหละ”
พอพูดเสร็จ เธอก็แอบออกจากห้องไปโทรศัพท์
“คุณจะรับคำขอนี้จริงๆหรือคะ ทั้งๆที่ทางกองทัพอังกฤษกับอินเดียก็ยังปฏิเสธเลยแท้ๆ”
กองทัพอังกฤษหรอ เหมือนเราจะเดาถูกเเฮะ
แต่ก็เเน่นอนเเหละที่พวกเขาจะปฏิเสธ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา อาช่าอาจะตายได้ เเล้วยังทำให้คนอื่นตกอยูในอันตรายด้วยเพราะไม่มีใครเเตะต้องมอนสเตอร์เป้าหมายได้ จะใช้ยาสลบกับมอนสเตอร์ก็ไม่ได้อีก
“ปล่อยให้พวกเราจัดการเถอะ พวกเรามีหนทางเเน่นอน”
“เข้าใจเเล้วค่ะ”
เหมือนเมื่อกี๊เธอยิ้มรึปล่าวนะ
เอาล่ะ ทีนี้ก็ต้องเเข่งกับเวลาเเล้ว
“เเต่ว่าตอนนี้เราเหลือเวลาไม่มากเเล้ว ต่อจากนี้ไปขอให้คุณทำตามที่ผมสั่ง ไม่ว่าผมจะบอกอะไร”
“ถึงคุณจะสั่งให้ถอดเสื้อผ้าให้หมดแล้วอ้าขาออกก็ต้องทำหรือคะ” อาช่าถามตรงๆแบบหน้าตาย
“เอ่อออ ก็ต้องทำแหละ เเต่ถึงฉันจะสั่งแบบนั้นจริงๆ…อืมม น่าสนใจ เเต่พวกคนที่คุยกันอยู่ตรงนั้นคงฆ่าผมก่อนนั่นเเหละ เพราะฉะนั้นผมจะหุบปากไว้ละกัน น่าเสียดายนะครับ”
“ฉันจะเชื่อคุณค่ะ เคโกะ”
“ขอบคุณครับ”
หลังจากนั้น ผมก็เดินไปหานารุเสะเเล้วถาม “มีอะไรรึปล่าว”
“อ๊ะ โยชิมูระ อยู่นี่นี่เอง คือว่าคนพวกนี้อยากจะให้เธอพาผู้หญิงคนนั้นไปที่ดันเจี้ยนน่ะ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการซื้อขายออร์บ ฉันเลยอธิบายให้พวกเขาฟังว่าจะไปบังคับพวกคุณไม่ได้ เเต่พวกเขาก้ยืนกรานจะให้พาไปท่าเดียว”
“เข้าใจเเล้ว” ผมนึกถึงคำศัพท์ภาษาฮินดีง่ายๆที่มิโยชิพึ่งสอนเมื่อกี๊ ผมนึกถึงคำว่า คุณ ถึงจะไม่รู้ว่าออกเสียงถูกไหมก็เถอะ
“ชริอาเหม็ด” ผมพูด
อาหเม็ดเลิกคิ้วและมองมาที่ผม
“คุณโยชิมูระ” ชายที่ดูเหมือนพ่อบ้านพูดแทรก “ผมจะเป็นตัวเเทนพูดให้เข-”
“การซื้อขายจบเเล้ว งานของคุณก็หมดเเล้วล่ะ ผมจะคุยกับคุณอาเหม็ดโดยตรงเอง ขอบคุณมาก” ผมตัดบท
“ว่าไงนะ เเบบนั้นผมไม่อนุญาต”
“นารุเสะ เราขอใช้ห้องประชุมเล็กข้างๆนี่ได้ไหม”
“หือ อ้อ ได้ค่ะ ทันทีเลย”
ที่เคยคุยกับนารุเสะเอาไว้ ห้องประชุมเล็กของJDAทุกห้องจะมีการป้องกันคลื่นวิทยุเพื่อป้องกันการดักฟัง ผมคงทำอะไรไม่ได้กับการแอบบันทึกเสียง เพราะเเค่มีมือถือก็ทำได้เเล้ว เเต่ว่าเราขอใช้ห้องนี้ทันที โอกาศที่จะมีการเตรียมการเเบบนั้นเอาไว้ก็น่าจะน้อยลง
“เอาล่ะ งั้นไปกันเถอะ คุณอาเหม็ด”
ผมจูงเก้าอี้ของอาช่าไปด้วยเพื่อบังคับให้พวกเราเปลี่ยนห้องคุยไปยังห้องข้างๆ นารุเสะยืนกันที่ประตูทางเข้าเพื่อไม่ให้พ่อบ้านคนนั้นตามเข้ามา ผมเลยปิดประตูเอาไว้ให้ในห้องเหลือกันเเค่สามคนคือ ผม อาเหม็ดกับลูกสาวของเขา
“คุณอยากให้พวกเราพาลูกสาวของคุณไปที่ดันเจี้ยนเพื่อที่จะได้ดีการ์ดใช่ไหม”
“ถูกต้อง” อาเหม็ดพูดกับผมเป็นครั้งเเรก
“คุณเข้าใจใช่ไหมว่าเรื่องนี้มันยากขนาดไหน”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายออร์บ นี่เป็นคำขอใหม่ที่จะให้พว-”
“ผมไม่รู้นะว่าล่ามคนนั้นมาจากไหน เเต่คุณก็รู้นี่ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน”
สีหน้าของมาเหม็ดเปลี่ยนจากนักธุรกิจไปเป็นสีหน้าของคนเป็นพ่อที่ห่วงลูกสาว
“ใช่ ผมเข้าใจ”
“ผมพูดตรงๆเลยนะ พวกเราจะช่วยลูกสาวคุณเอง”
“จริงหรอ”
“เเต่ผมก็ไม่การันตีหรอกนะว่าจะทำได้ภายในยี่สิบสี่-ไม่สิ ยี่สิบชั่วโมง”
“ผมก็กังวลเหมือนกัน”
“ถ้าเป็นเเบบนั้น ออร์บที่คุณจ่ายเงินมหาศาลซื้อมา ก็จะเสียปล่าวนะ”
“ทำไมล่ะ พวกคุณมีเทคโนโลยีเก็บรักษาออร์บไม่ใช่หรอ”
“ล่ามนั่นบอกคุณเเบบนั้นหรอ”
“ใช่”
“ของสะดวกเเบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอกนะ”
“แต่คุณก็หาออร์บที่มีตัวเลขต่ำกว่าหกสิบมาได้ตามที่ตกลงกันไว้จริงๆนี่”
ผมยกนิ้วชี้มาเเตะที่ริมฝีปาก
“เป็นเเค่เรื่องบังเอิญน่ะครับ”
“เรื่องบังเอิญงั้นหรอ”
“นานๆทีพระเจ้าก็ทำเรื่องเเบบนี้เหมือนกัน”
มุมปากของอาช่าขยับขึ้นเล็กน้อย
“ผมจะพยายามทำให้ทันเวลา เเต่ถ้าไม่ทัน ผมจะเริ่มหาออร์บสุดยอดฟื้นฟูลูกใหม่ทันที”
“อะไรนะ?”
“เเต่ว่ามันไม่ฟรีหรอกนะครับ”
“ฉันรู้อยู่เเล้ว เเล้วฉันต้องจ่ายเท่าไร ที่ให้เธอพาลูกสาวฉันไปที่ดันเจี้ยนน่ะ”
“ขนาดทหารหลายๆชาติยังปฏิเสธ ถ้าเป็นเเบบนี้มันจะต้องเเพงมากเลยนะครับ”
“บอกราคามาเลย”
“งั้น ถ้าลูกสาวของคุณได้รับดี-การ์ดอย่างปลอดภัย ผมขอพาเธอไปทานข้าวเย็นได้ไหมครับ เเน่นอนว่าคุณต้องเป็นคนจ่ายนะ”
อาเหม็ดขมวดคิ้ว ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“ขอโทษที…ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับมุกของญี่ปุ่นเท่าไร”
“ไมไ่ด้ล้อเล่นครับ เเต่ว่าชาวฮินดูเป็นมังสวิรัติใช่ไหมครับ”
“ก็เเล้วเเต่ ครอบครัวของเราทานปลาได้ ส่วนเนื้อ เราจะกินเนื้อสัตว์ที่มาทำร้ายคนหรือพืชผลที่ปลูกเอาไว้ เเต่ก็เเค่บางครั้งเท่านั้น”
ก็เป็นศาสนาฮินดูเเหละนะ พวกเขาก็เปิดกว้างอยู่พอควร คงสรุปคำสอนทั้งหมดของพวกเขาสั้นๆไม่ได้หรอก
ผมยื่นมือขวาออกไป “ตกลงไหมครับ?”
หลังจากลังเลนิดหน่อย อาเหม็ดก็ยื่นมือมาจับมือกับผม ด้วยเหตุนั้น เราจึงได้ตกลงกันเรียบร้อย
พวกผมออกจากห้องประชุมเล็ก ล่ามคนนั้นไม่อยู่เเล้ว มิโยชิวิ่งเหยาะๆมาหาผมเพื่อรายงานสถานการณ์ในตอนนี้
“รุ่นพี่ ฉันเช่าห้องประชุมในโยโยกิเเล้ว กำลังให้อุปกรณ์กับเสื้อผ้าที่จะใช้ส่งตรงไปที่นั่น ทุกอย่างน่าจะพร้อมในอีก 1 ชั่วโมงนี่เเหละ”
“ถ้าเป็นไปได้ ขอให้เอาเเปลหามไปส่งที่นั่นด้วยได้ไหม เเบบที่มีที่วางเเละสายรัดให้เอาคนขึ้นนั่งเเล้วเเบกไปได้ พวกที่ใช้ในภารกิจช่วยชีวิตทำนองนี้”
“เข้าใจเเล้ว รุ่นพี่จะเเบกอาช่าไว้บนหลังหรอ”
“คิดไว้เเบบนั้น ถ้าใช้วีลเเชร์มันอาจจะมีอะไรไปติดก็ได้ เเถมในดันเจี้ยนน่าจะเดินทางลำบาก”
“เหมือนเรากำลังอยู่ในหนังสปายเลย น่าตื่นเต้นดีจัง”
“เอาจริงๆ ฉันไม่อยากทำตัวเด่นเกินไปเลย เฮ้่อ..”
“ใกล้สิ้นฤดูใบไม้ร่วง…
ใจหวนห่วงวันวานที่ผันผ่าน
วันที่เราว่างเว้น ไม่เร่งราน
คิดถึงกาลเก่าก่อน ที่แสนดี”
“เอ่อ..นี่เธอเเต่งกลอนเรอะ”
“ใช่ เจ๋งไปเลยใช่ไหม”
“ประโยคสุดท้ายมันไม่คล้องจองนะ ถ้าเปลี่ยนเป็น “ฤดูร้อนที่เเสนดี‘ น่าจะดีกว่า”
มิโยชิทำเเก้มป่องเเละเตะขาผม
“ฉันพูดเป็นสิบรอบเเล้วนะ เพราะเเบบนี้เเหละรุ่นพี่เลยหาเเฟนไมไ่ด้สักที!”
***
สามชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเรารวมตัวกันอยู่ที่ห้องประชุมของโยโยกิดันเจี้ยน ที่จริงอาเหม็ดอยากจะมาด้วย เเต่ผมให้เขารออยู่ในห้องวีไอพี เขาก็ยังอยากจะให้บอดี้การ์ดตามเข้ามาด้วยเเต่ผมก็ยังปฏิเสธไป พูดตามตรงเลยคือมันเกะกะ
“อาช่า ถ้าเป็นไปได้ ขอให้เธอถอดอวัยวะเทียมหรืออย่างอื่นที่ใส่ไว้ออกไปให้หมดด้วยนะ เเล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดที่เราเตรียมเอาไว้ให้” ผมพูด
“ทุกอย่างหรอ? ชุดชั้นในด้วยหรอคะ?”
“ใช่ ทุกอย่าง”
เธอเเก้มเเดง ก้มหน้างุด “เเบบนี้มันไม่ต่างจากให้ถ่างขาเลยนี่นา”
“มิโยชิ ฝากด้วยนะ”
“ได้ เเต่เรื่องถ่างขานี่ยังไงนะ”
“เอ่อ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้าสงสัยก็ลองถามเจ้าตัวดูสิ”
มิโยชิเลิกคิ้ว
พอปิดประตูออกจากห้อง ผมก็เจอนารุเสะรออยู่ ผมตัดสินใจให้เธอทำอะไรบางอย่างที่ออกจากยากสักหน่อย
“นารุเสะ พอพวกเขาเข้าดันเจี้ยนเเล้ว ฝากเธอปิดทางเข้าไว้สัก 5 นาทีได้ไหม จะไมไ่ด้ไม่มีใครเข้ามา”
“อะไรนะคะ คุณอยากให้ปิดดันเจี้ยนงั้นหรอ”
“เเค่บอกว่าประชาสัมพันธ์รู้สึกไม่ค่อยดีเท่านั้นเเหละ ได้ไหม”
“เหมือนฉันกำลังใช้อำนาจในทางที่ผิดเลย”
“เธอกำลังจะป้องกันอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้นนะ ไม่เป็นไรหรอก ถ้ามีชาวต่างชาติตามพวกเรามา จะมีปัญหาหลายอย่างเลยนะ”
“เข้าใจเเล้วค่ะ” เธอถอนหายใจ
“ขอบคุณมาก”
“ฉันตรวจสอบดูเเบบเร็วๆเเล้ว ภายในสามชั่วโมงก่อนหน้านี้ ไม่มีนักสำรวจต่างชาติเข้ามาในโยโยกิ เเต่มีบางกลุ่มเข้าไปก่อนหน้านั้น”
“เข้าใจเเล้ว”
เรื่องอำนวยความสะดวกนี่ฝากนารุเสะได้เลย ผมกับมิโยชิตัดสินใจจะลงดันเจี้ยนเมื่อสามชั่วโมงก่อน ถึงพวกเจ้าหน้าที่ของหน่วยข่าวหรองอังกฤษจะเก่งเเค่ไหน การจะหาคนญี่ปุ่นมาสะกดรอยตามเราภภายในเวลาเท่านั้นก็คงยากอยู่ดี
***
หลังจากนั้นประตูห้องประชุมก็เปิดเเง้มออก มิโยชิโผล่หน้าออกมาบอกว่า “พวกเราเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้ว”
“ดี งั้นไปกันเลย”
พวกเราให้อาช่านอนอยู่บนเปลหามเเละผมก้เเบกเปลขึ้นหลัง พวกเราสามคนก็ลงไปยังโยโยกิดันเจี้ยน
“ว้าว ข้างในดันเจี้ยนเป็นเเบบนี้เองสินะคะ”
“ประมาณนี้เเหละ เเต่อย่างที่บอกไป อย่าบอกใครเด็ดขาดเรื่องที่เห็นในวันนี้” ผมย้ำ
“เข้าใจเเล้วค่ะ”
พวกเราเดินตรงเข้าไปอยู่ไม่กี่นาทีตามทางเดินที่ยาวเเละเเคบ พอสุดเทางพวกเราก็เลี้ยว
อ๊ะ เจอเเล้ว
มิโยชิเอาเบาะไปวางบนพื้นไม่ให้สไลม์รู้สึกตัว
“พอพวกเราเอาตัวเธอวางลงบนเบาะ ให้ใช้หลอดนี่ดูดของเลวขึ้นมา เเล้วก็พ่นใส่สไลม์ให้สุดเเรง เข้าใจนะ”
“หา เเค่นั้นหรอคะ?”
“เเค่นั้นเเหละ พยายามอย่ากลืนของเหลวนั้นหรืออย่าให้มันเข้าตาล่ะ เเต่ถ้าเเค่นิดเดียวก็ไม่เป็นไร”
ผมคิดอยู่เหมือนกันว่าจะให้เธอลองใช้ขวดสเปรย์ดู เเต่การเตรียมกระป๋องนั้นอาจจะเหมือนกับการบรรจุกระสุนปืนก็ได้ สุดท้ายพวกเราจึงเลือกใช้วิธีโบราณ ถึงสารละลายนั้นจะเข้าปากไปนิดหน่อย ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“มิโยชิ เธอไปเฝ้าตรงโค้งนั้นได้ไหม ดูว่ามีใครมารึปล่าว”
“ไม่มีปัญหา”
อาช่าใส่เเว่นป้องกันตาเเละนอนหงายอยู่บนเบาะ เธอเงยคอขึ้นมาเพื่อให้เห็นสไลม์ เธอใช้ขาข้างนึงยันตัวขึ้นมาเพื่อขยับเข้าไปใกล้สไลม์ ผมเฝ้ามองอยู่ข้างๆเผื่อเธอต้องการความช่วยเหลือ
“ตรงนี้น่าจะได้นะ ช่วยส่งหลอดมาให้ได้ไหมคะ”
ผมเอาหลอดยาวๆไปไว้ที่ปากเธอเงียบๆ จากตรงนี้ไปเธอต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เธอหอายใจเข้าด้วยจมูกเฮือกใหญ่เพื่อดูดของเหลวเข้ามาในหลอดเเละเป่าออกไป นำลายเอเลี่ยนพุ่งไปโดนสไลม์ตรงกลางตัวเข้าอย่างจัง ตัวสไลม์นั้นระเบิดออกเเละหายไปทันที ส่วนคอร์ของมันนั้นร่วงเเละกลิ้งไปตามพื้น อาช่าที่กำลังเงยคอขึ้นมาอยู่ทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
“สารนี่คืออะไรกันคะ!”
“สุดยอดใช่ไหมล่ะ เราเรียกมันว่าน้ำลายเอเลี่ยน”
อาช่าหัวเราะออกมา “เป็นชื่อที่เเย่จริงๆเลยนะคะ”
“ต่อไปเธอเค่ต้องทำลายคอร์ของมัน เจ้าลูกเเก้วที่อยู่บนพื้นนั่นเเหละ กระทืบมันด้วยส้นเท้าให้สุดเเรงเลย”
“เข้าใจเเล้วค่ะ”
เธอใช้เท้ายันตัวเองเพื่อเปลี่ยนมาเป็นท่านั่ง เล็งด้วยขาซ้ายเเละกระทืบลงมาสุดเเรง ถึงจะโดนคอร์เเต่มันยังไม่ถูกทำลาย
“รุ่นพี่ มีคนกำลังมาจากอีกฝั่ง”
“อีกครั้งนึง เร็วเข้า!”
“ค่ะ!”
เธอกระทืบเท้าลงใหม่อีกครัั้ง ครั้งนี้เเผ่นเหล็กนั้นกระเเทกใส่คอร์เต็มๆ ทำให้คอร์เเตกสลายไปกลายเป็นเเสงสีดำเล็กๆเหมือนทุกที เหลือไว้เพียงเเค่การ์ดสีเงินเท่านั้น
ผผมหยิบการ์ดนั้นมาเอาใช้ไอช่าดู “ยินดีด้วยนะ”
“ข-ขอบคุณค่ะ ตอนนี้ฉันใช้ออร์บได้รึยังคะ?”
“ใช้ได้เลย”
เธอกอดคอผมเเละพูดขอบคุณซ้ำๆ
ผมได้ยินเสียงพูดภาษาอังกฤษอยู่ข้างหลังผม “พวกเธอสามคนเป็นอะไรไหม”
“มีธุระอะไร” มิโยชิถาม
“เปล่าๆ พวกเราเเค่เห็นคนเลยมาดูน่ะ อยากให้พวกเราพาพวกเธอออกไปไหม” ระหว่างที่พูดอยู่ ชายที่ดูเสเเสร้งก็มองมาที่ผมกับอาช่า “โอ้ เหมือนพวกเธอกำลังทำอะไรกันอยู่”
“ขอบคุณที่เสนอเเต่พวกเรากำลังจะกลับเเล้ว” ผมตอบ “พวกคุณสำรวจต่อไปเถอะ”
ผมอุ้มอาช่าไปวางไว้ที่เปลเเละเเบกขึ้นหลัง ในระหว่างนั้นมิโยชิก็รีบเก็บเบาะรองกับหลอด
“เธอบาดเจ็บรึเปล่า” ชายที่ดูเสเเสร้งถาม
“ไม่ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา ลาละ”
ผมกับมิโยชิจึงวิ่งเหยาะๆหนีชาวต่างชาติสองคนนี้มา
“เหมือนพวกเขาจะตามเราอยู่” มิโยชิพูด
“ใช่ น่าจะนะ ว่าเเต่เธอเอาไอนั่นมาใช่ไหม”
มิโยชิเอาออร์บสุดยอดฟื้นฟูขึ้นมาให้ดูเเทนคำตอบ พ่อของอาช่าฝากออร์บนี้ไว้กับพวกเรา
“เค้าบอกกันว่าถ้าใช้ออร์บในดันเจี้ยนจะมีประสิทธิภาพมากกว่า อยากลองไหม?”
อาช่าคิดสักพักเเล้วจึงหยักหน้า เธอสัมผัสออร์บที่มิโยชิยื่นมาด้วยแขนซ้ายที่ไม่มีมือของเธอ อาช่าหลับตา สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ทันให้นั้น ออร์บก็กลายเป็นเเสง ล้อมรอบตัวเธอเอาไว้
“อืมมม…อ๊าา” เธอคราง
ถ้ามีใครสักคนที่เเต่ยินเเต่เสียงครางของอาช่าเเละไม่เห็นภาพสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขาจะต้องเข้าใจผิดเเน่ๆ ผมเลยรีบไปที่ถนนข้างๆเเละวางเธอลง มิโยชิกับผมเฝ้ารอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้น
“อ๊า…อ๊ะ อ๊าาาา!”
หน้าของผมเริ่มร้อนเมื่อมองอช่ากำลังบิดตัวไปมาอยู่บนพื้น เหมือนมิโยชิจะขยะเเขยง เธอเลยกระทุ้งศอกเข้ามาที่ข้างท้องผมจนน้ำตาไหล
ร่างกายส่วนที่หายไปของอาช่าค่อยๆบวมขึ้นเเละกลายเป็นมือเเละเท้า ส่วนร่างกายที่อยู่ด้านขวาก็ส่องเเสงสว่างจางๆ
“อ๊าาาาาาห์”
ใบหน้าของอาช่ามีเหงื่ออกเต็มไปหมด เธอส่งเสียงครางดังครั้งสุดท้ายเเละซบลงที่อกของผม
“ระ-รุ่นพี่ เธอ…”
หน้ากากที่เธอใส่อยู่นั้นหลุดออกมา เผยให้เห็นผมดำหนาสวยร่วงลงมาปรกหน้าของเธอที่ถูกรักษาเรียบร้อยเเล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเเค่ผู้หญิงสวยที่กำลังหอบหายใจอย่างรุนเเรงนั่งอยู่บนพื้น เหมือนที่ผมคิดไว้ เธอหน้าตาคล้าย คาทรินา คีฟในวัยสาวมาก
“ว้าว พลังของออร์บนี่มันสุดยอดจริงๆ”
“เห็นด้วยสุดๆ”
ในระหว่างที่พวกเรากำลังทึ่ง ก็มีเสียงฝีเท้าเเว่วเข้ามาในหู ต้องเป็นชาวต่างชาติสองคนก่อนหน้านี้เเน่ๆ ผมส่งสัญญาณหามิโยชิด้วยสายตา อุ้มอาช่าขึ้นเเละเริ่มเคลื่อนไหว
“อ๊ะ ฉันลืมเปลเอาไว้” ผมนึกขึ้นได้
“ไม่เป็นไรหรอก มันไม่มีอะไรในเปลนี่ เเถมถ้าสองคนนั่นหยุดสำรวจเปลก็จะถ่วงเวลาพวกเราไปได้อีก”
ถึงผมจะอุ้มอาช่าอยู่ เเต่กล้ามเนื้อเเขนของผมก็ไม่รู้สึกล้าสักนิด ตอนที่ไปทดสอบร่างกายเมื่อวันก่อน ผมใส่ 10 เเต้มลงไปในค่า STR น่าจะเพราะเเบบนั้นเเหละ ถ้าผมเอาเเต้มที่เหลือไปลงสเตตัสให้หมด ผมจะละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปจริงรึเปล่านะ น่าเป็นห่วงชะมัด
พอประตูเข้าห้องวีไอพีของโยโยกิดันเจี้ยนเปิดออก ก็มีหญิงสาวที่งามราวกับอัญมณีเข้ามาในห้อง พอเห็นดังนั้น อาเหม็ดถึงกับลุกไม่ขึ้น มองไปที่ลูกสาวของเขาโดยไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอน่าจะดูเหมือนภรรยาของเขาตอนที่พบกันครั้งเเรก
ถึงผมกับมิโยชิจะไม่เข้าใจสิ่งที่อาช่าพูด มันฟังดูคล้ายคำว่า ‘พิต้า’ ซึ่งน่าจะมีความหมายเหมือนกับคำว่า ‘พ่อ’ เพราะอาเหม็ดนั้นไม่สามารถลุกขึ้นมาจากโซฟาได้ด้วยความตกใจ อาช่าจึงรีบไปหาอาเหม็ดเเละกอดเขาเเละร้องไห้ด้วยกันสองพ่อลูก ผมกับมิโยชิส่งสายตากันเเละออกจากห้องไปเงียบๆ
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะคะ มีชาวอังกฤษสองคนเข้าไปในดันเจี้ยนหลังจากพวกคุณประมาณ 5 นาที ทุกอย่างโอเคไหมคะ” นารุเสะพูด
“อ้อนั่น เราเจอเขาเเล้วล่ะ ทั้งสองคนนั้นดูเสเเสร้งชะมัด” มิโยชิตอบ
“สองคนนั่นตามพวกเราอย่างกับเป็นสตอคเกอร์ เเต่ก็ไม่ได้เข้ามาทำอะไรพวกเรานะ”
“เเต่ว่านะรุ่นพี่ โยโยกิดันเจี้ยนมันใหญ่มาก สองคนนั้นหาพวกเราเจอได้ภายในห้านาทีนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“เเถมปกติก็ไม่มีใครมาที่ตรงนั้นด้วยสิ หรือคนอังกฤษพวกนั้นมีอาวุธลับที่ใช้ตามรอยคนในดันเจี้ยนได้กันนะ”
“หรือพวกเขาทำงานกับ Q?” มิโยชิถาม
“ไม่รู้สิ เเต่ว่าที่จริงในนิยายของบอนด์น่ะ Qไมไ่ด้โปล่มานะ มีเเค่พูดถึงสาขาของQเฉยๆ”
มิโยชิงอนอีกครั้งเเละบ่นกลับมาว่า “จะให้บอกรุ่นพี่กี่ครั้งเนี่ย นี่เเหละเป็นสาเหตุที่ทำให้รุ่นพี่ไม่มีเเฟนสักที!”
“อะไรกัน ในดันเจี้ยนเมื่อกี้ก็เหมือนจะมีผู้หญิงคนนึงสนใจฉันอยู่นะ”
“อ๊ะ มีอะไรเกิดขึ้นหรอคะ” นารุเสะเเทรกขึ้นมา
“เธอต้องไม่เชื่อเเน่ๆ รุ่นพี่อุ่มอาช่าด้วยท่าเจ้าหญิงด้วยเเหละ!!”
“อุ๊ยตายเเล้ว!”
อย่าน่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย
นารุเสะเปลี่ยนกลับมาเป็นโหมดทำงานอีกครั้ง “จะว่าไป โยชิมูระ”
“ว่าไง”
“ที่อาช่าฟิ้นตัวได้เป็นผลมาจากออร์บสุดยอดฟิ้นฟูหรอคะ”
“ฉันไม่มั่นใจนะ เเต่พอเธอใช้ออร์บ ร่างกายของเธอก็รักษาตัวเองเลย”
“รบกวนบอกให้ละเอียดกว่านี้ได้ไหมคะ”
“เธออยากเอารายละเอียดสกิลไปใส่ในฐานข้อมูลของWDAงั้นหรอ”
“ใช่เเล้วค่ะ”
ผมมองไปที่ประตูห้องวีไอพี อาช่ากับพ่อของเธอยังไม่ออกมา
“บางทีรายละเอียดบางอย่างก็ไม่ควรจะถูกเผยเเพร่นะ ฉันคิดว่าการเปิดเผยเรื่องที่พวกเราเจอมาจะเป็นการประตุ้นความโลภของมนุษย์เข้า”
ตอนเรื่องโพชั่นถูกเปิดเผยครั้งเเรก โลกทั้งโลกก็ตกอยู่ในความโกลาหล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าออร์บฟิ้นฟูสุดยอดจะทำให้เรื่องมันบานปลายมากไปกว่านั้น
“เธอเป็นอมตะหรอคะ”
มิโยชิรีบพยายามพูดกลบเกลื่อนคำถามเมื่อครู่
“ไม่ๆ ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอก ฟิ้นฟูสุดยอดก็เเค่ทำให้ร่างกายเเข็งเเรงขึ้นหน่อย เเบบว่าสามารถทำงานโต้รุ่งได้โดยไม่เหนื่อยไง”
“หือ?”
“เเล้วก็บาดเเผลเล็กๆจะหายไปในทันทีเลย ถ้าจะไไปรายงานว่าสกิลมันทำอะไรได้ เเค่นี้ก็น่าจะพ-”
“เดี๋ยวก่อนนะคะ”
“หือ?”
“มิโยชิ…เธอใช้ออร์บฟื้นฟูสุดยอดไปเเล้วหรอคะ?”
“เอ่อ”
ผมเอามือวางบนหน้าผากเเละมองขึ้นเพดาน…
ทำตัวเองเลยนะ มิโยชิ
“ก็…เอ่อ…ใช่ ก่อนที่จะขาย เราก็ต้องทดลองก่อนสิ ถูกไหม”
มิโยชิ ยัยบ๊องเอ๊ย…
“เเสดงว่าเธอมีออร์บอื่นๆที่ยังไม่มีใครเคยค้นพบอีกงั้นหรอคะ!”
มิโยชิไม่ยอมมองตานารุเสะ “หมะ-ไม่ใช่ทั้งหมด โอเคนะ?”
ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
“เเต่ยังไงก็เถอะ เรายังไม่รู้ว่าสุดยอดฟิ้นฟูทำอะไรได้บ้าง” ผมพูดเเทรก “ไม่ควรไปคิดเอาเองนะ”
นารุเสะพยักหน้าถึงเเม้จะมองผมด้วยสายตาสงสัย
“เราไม่รู้ด้วยว่าสกิลนั้นจะมีประสิทธิภาพไปจนถึงเมื่อไร โดยทั่วไปเเล้ว ใช้ไปหนึ่งครั้งสกิลก็น่าจะหมดสภาพเเล้วรึปล่าว”
เพื่อที่จะทำการฟื้นฟู ร่างกายจะต้องการพลังงานมาจากที่ไหนสักเเห่ง ด้วยคอมมอนเซนส์ตรงนี้ ก็ทำให้เราคาดเดาได้เพราะร่างกายมีพลังงานจำกัด เเต่ไม่รู้ว่าหลักการนี้จะใช้กับกันเจี้ยนได้ไหมนะ
“ขนาดกิ้งก่าที่ถูกตัดหางยังต้องใช้เวลาสักพักกว่ามันจะงอกใหม่ได้เลย ฉันไม่เชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่จะอยู่เป็นอมตะหรือไม่เเก่เฒ่าได้ง่ายๆ เเต่เดี๋ยวก่อนนะ…”
“อะไรหรอคะ”
ผมหันไปหามิโยชิ “ตอนนี้ดี-การ์ดของอาช่าขึ้นว่ายังไงอยู่”
“จริงด้วย มันอยู่กับฉันนี่นา เเต่จะดีหรอที่ไปดูการ์ดของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ”
“พวกเรารู้ข้อมูลอยู่เเล้วนี่นา ไม่น่ามีปัญหาหรอก เเถมนี่เป็นเรื่องฉุกเฉินด้วย จริตธรรมเอาไว้ก่อนละกัน”
“ถ้าพูดอย่างงั้นก็ได้ นี่ไง”
ชื่อ : อาช่า อาเหม็ด จาอิน
เเอเรีย : 12
เเรงค์ : 99,728,765
สกิล : [ฟื้นฟูสุดยอด]
มิโยชิดูการ์ดอย่างสงสัย
“ทำไมชื่อสกิลถึงเป็นภาษาญี่ปุ่นล่ะ”
“สกิลจะเเสดงด้วยภาษาเเม่ของคนที่กำลังดูดี-การ์ดอยู่ค่ะ”
“อะไรนะ ทำไมล่ะ”
“ไม่รู้ค่ะ”
“พูดอีกเเง่คือเราไมไ่ด้เห็นตัวหนังสือบนดีการ์ดด้วยสายตาผ่านการสะท้อนของเเสงสินะ เเต่ว่า ฉันเห็นข้อเเตกต่างด้วยล่ะ”
“มีวงเล็บอยู่รอบสกิลเเถมตัวหนังสือก็ดูจางๆด้วย”
“อืมมม ถ้าให้เดานะคะ เธอน่าจะไม่สามารถใช้สกิลไปได้อีกสักพักนึง”
“น่าจเป็นเเบบนั้นนะ เเต่ว่าจะกลับมาใช้ได้หลังจากรอไปสักพัก หรือว่าจะใช้ไมาได้อีกเลย เรื่องนี้เรายังไม่รู้
“ต้องไปอธิบายอาช่ากับอาเหม็ดอีกทีด้วย”
“ฉันเห็นด้วย เพราะมีประเทศงี่เง่าบางที่ที่พยายามจะยืนยันผลของสกิลล่ะนะ”
“รุ่นพี่ หรือจะหมายความว่า…”
“ไม่ต้องห่วงหรอก เเค่ความเป็นไปได้เท่านั้นเอง”
ผมไม่อยากจะคิดว่าอาช่าจะถูกลักพาตัวเเละถูกสับเป็นท่อนๆเหมือนหนูทดลองหรอกนะ ถ้ามีคนรู้เรื่องมิโยชิ เธออาจจะมีอันตรายเเบบเดียวกันก็ได้ ผมน่าจะต้องทำอะไรสักอย่างกับเรื่องนี้เร็วๆนี้เเหละ
ชีวิตอย่างสงบสุขของผมดู0tห่างไกลไปทุกทีเเล้วสิ เห้ออ…