ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น - ตอนที่ 16 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (6)
- Home
- ดี-เจเนซิส : สามปีหลังจากดันเจียนปรากฏขึ้น
- ตอนที่ 16 เล่ม 1 : D-Powers, เริ่มทำงานได้ (6)
7 พฤจิกายน 2018 (วันพุธ)
เอโดงาวะ
“ที่นี่หรอ?” ผมถาม
“ใช่”
ที่นี่ดูเหมือนโรงงานร้างเล็กๆเเห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ใกล้เเม่น้ำเอโดะ รอบๆมีหญ้าเงินจีนที่กำลังสั่นไปมาเพราะลมฤดูใบไม้ร่วง
“ตรงนี้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่นอกโตเกียวเลย”
“ก็อิจิคาวะมันอยู่อีกฝั่งนึงของเเม่น้ำนี่นา”
โรงงานร้างนี้ดูสภาพยังดีอยู่ก็เพราะพึ่งปิดกิจการไปเมื่อไม่นานนี้ ในที่จอดรถของโรงงานนั้นมีตึกอีกตึกหนึ่งตั้งอยู่ ตึกนี้มีรูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสรูปร่างเหมือนเอาตู้คอนเทนเนอร์สีขาวมาตั้งต่อๆกัน
“เหมือนว่าโรงงานร้างนี้เคยเป็นของครอบครัวมิโดริมาก่อนนะ”
“ว้าว.. ตอนเธอพูดถึงการวัดสมรรถภาพร่างกาย ฉันนึกถึงตึกที่มันดูทันสมัยกว่านี้นะ”
“ไม่มีใครถามความเห็นเธอสักหน่อย” เสียงผู้หญิงที่ไม่คุ้นหูดังขั้น
“สวัสดีมิโดริ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
“อาซึสะ! ขอบคุณที่มานะ ฉันอยากจะขยี้หัวเธอจะเเย่อยู่เเล้ว”
มิโดริไว้ผมทรงบ๊อบ ผมหน้าปัดไปทางด้านข้าง เธอเป็นสาวสวยใส่เเว่นหน้าคม
ช่วงนี้ผมเจอเเต่ผู้หญิงผมสั้นนะเนี่ย หรือว่านี่เป็นโชคชะตา?
เเน่นอนว่าเธอสวมเสื้อเเล็บโค๊ตตามธรรมเนียม แต่จะว่าไป เธอดูหน้าตาคุ้นๆอยู่เหมือนกัน
“เอาล่ะ เธออยากจะวัดอะไรกันเเน่” มิโดริถาม
“ก็… ตามที่บอกไปในอีเมลล์เลย อยากจะวัดทุกอย่างเเล้วก็ทุกเเบบที่เป็นไปได้”
“เป็นคำขอที่กว้างมากเลยนะ ถ้าจะวัดทุกอย่างจริงๆราคามันจะสูงมากเลย ฉันอยากจะให้ส่วนลดเธอเป็นพิเศษอยู่หรอก เเต่ตอนนี้เราไม่มีเงินเเล้ว จะล้มละลายเมื่อไรก็ไม่รู้”
“ล้มละลายหรอ เกิดอะไรขึ้นล่ะ”
มิโดริมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เหมือนเธอกำลังโกรธอะไรบางอย่าง
“ธนาคารทุกที่ในญี่ปุ่นจะไม่ยอมให้กู้เงินถ้าไม่มีคนค้ำประกันน่ะสิ ถึงจะให้กู้ก็ไม่มีใครมาลงทุนร่วมด้วยอยู่ดี”
พอนักวิจัยต้องมาบริหารเอง พวกเขาจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ไม่คุ้นเคยนัก เรื่องนี้ทำให้เสียเวลาเเละพลังงานมาก อย่างการหาคนมาลงทุนก็เป็นตัวอย่างนึง ธนาคารไม่ยอมลงทุนกับโปรเจคที่ไม่ค่อยชัดเจนหรอก
“การเก็บอารมณ์ไว้มันไม่ดีต่อสุขภาพนะ” ผมพูดออกไปโดยไม่คิดก่อน
มิโดริจ้องมาที่ผมเเละหันไปพูดกับมิโยชิ “อาซึสะ หมอนี่เป็นใครมาจากไหน”
“อ๋อ เขาเป็นคนที่จะมารับการตรวจวันนี้ไง”
“ผมโยชิมูระ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันนารุเสะ” มิโดริพูด “นายคงยังไม่ได้ทำอะไรอาซึสะใช่ไหม”
“นารุเสะหรอ” ผมสงสัย
“ใช่ นามสกุลฉัน มีอะไร”
อ๋อ ใช่เเล้ว เธอดูคล้ายสปายอาชีพของเรานี่เอง
“เอ่อ เธอมีญาติทำงานอยู่ที่JDAรึปล่าว”
“นายพูดถึง นารุเสะ มิฮารุหรอ เธอเป็นพี่สาวฉันเอง”
พอได้ยินตามนั้น กลับเป็นมิโยชิเองที่ตกใจ “จริงหรอ!! มาคิดๆดู พวกเธอดูคล้ายกันจริงๆด้วย”
โธ่ มิโยชิ เธอพึ่งจะรู้ตัวรึไง เธอรูุ้จักทั้งสองคนนะ
“เเต่ว่าตั้งเเต่จบจากมหาวิทยาลัย พวกเราก็ได้เจอกันเเค่ตอนกลับบ้านช่วงปีใหม่เท่านั้นเอง นายเป็นคนรู้จักพี่สาวฉันหรอ”
“มากกว่าคนรู้จักซะอีก” ผมตอบเเละเล่าเรื่องที่นารุเสะมาเป็นผู้ดูเเลเต็มเวลาของปาร์ตี้เราเเละเรื่องที่เธอช่วยพวกเรามากเเค่ไหนให้มิโดริฟัง
“อืม โลกกลมจริงๆนะ” มิโดริพูด
“ใช่เลย”
“เอาล่ะ พอเราเซ็นสัญญากันเรียบร้อยเเล้วก็มาคุยเรื่องรายละเอียดกันเถอะ”
“ดี”
***
“งั้น ถ้าเธอยากจะวัดทุกๆหมวด อยากจะวัดทั้งหมดกี่รอบล่ะ” มิโดริถาม
“ตอนนี้ก็30รอบก่อน” มิโยชิตอบ
“30รอบงั้นหรอ มันจะราคาประมาณ 60ล้านเยนเลยนะ ไม่เป็นไรหรอ”
“เเน่นอน คิดซะว่านี่จะช่วยเพิ่มกระเเสเงินให้บริษัทเธอก็เเล้วกัน”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก หลังจากหักค่าสารทำปฏิกิริยา ค่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์กับอื่นๆอีก ก็เเทบจะไม่เหลืออะไรเเล้ว ฉันยังรู้สึกโชคดีเลยที่ยังสามารถทำการทดสอบได้อยู่”
สำหรับผม ค่าทดสอบนี้ก็ยังเเพงอยู่ดี ผมเลยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ถ้าเกิดนำเทคโนโลยีการทดสอบสมรรถภาพนี้มาเป็นจุดขาย จะมีคนสนใจที่จะทำการทดสอบครั้งละ2ล้านเยนแบบนี้รึปล่าว”
“ฟังนะ ปกติเเล้วเราจะไม่ทำการทดสอบทุกอย่างเเบบนี้ เพราะมันไม่มีประโยชน์ เเล้วก็ที่ค่าทดสอบมันเเพงก็เพราะว่า การทดสอบเเบบนี้มันไม่มีใครต้องการน่ะสิ คนทั่วไปจะมาทดสอบเเบบนี้ไปทำไม จริงไหม”
สมมุติว่าการพัฒนานี้ต้องใช้เงิน 10000 เยน เเล้วมีคนต้องการใช้ 10000 คน ก็จะตกเเค่คนละ 1 เยน เเต่ถ้ามีคนอยากใช้เเค่คนเดียว คนๆนั้นก็ต้องจ่ายในราคา 10000 เยนเต็มๆ ผมล่ะประหลาดใจจริงๆที่มีบริษัทเลือกที่จะพัฒนาเจ้าเทคโนโลยีนี้
“มีเหตุผลอีกอย่างที่เราสามารถคิดเงินเเพงๆได้”
“อะไรล่ะ” ผมถาม
“ประกันสุขภาพไง”
จริงด้วย ประกันสุขภาพจงเจริญ
“เเต่ยังไงก็เถอะ เราไม่มีปัญหาในการจ่ายเงินจำนวนนี้อยู่เเล้ว ใช่ไหมมิโยชิ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
“อาซึสะ บริษัทเธอรวยขนาดนี้เลยหรอ”
“อ๋ออ นี่ไม่ใช่ของบริษัทหรอกนะ”
“หมายความว่ายังไง”
“โยชิมูระกับฉันจะจ่ายกันเองเเหละ”
“จริงหรอ!!”
“ก็คิดซะว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการวิจัยน่ะ”
มิโดริมองมาด้วยความอิจฉา “ว้าว ฉันอิจฉาจริงๆนะ เธอคิดถูกเเล้วเเหละที่ไม่ตอบรับคำชวนของฉันเมื่อตอนนั้น”
เธอส่ายหัวเเละเปิดประตูห้องทดสอบ มันเป็นห้องเล็กๆที่มีลายตารางเป็นระเบียบอยู่บนผนัง มีพ๊อดที่ดูเหมือนมาจากอนาคตตั้งอยู่กลางห้อง มิโดริให้ผมถอดเสื้อผ้าจนเหลือเเค่บ็อกเซอร์เเล้วไปนั่งในพ๊อดนั่น
“นี่เป็นเครื่องจักรที่เอาไว้อ้างอิงผล” มิโดริอธิบายพร้อมเอาเซ็นเซอร์หลายๆอย่างมาติดบนตัวผม “พอตอนวัด จะต้องมีการนำเลือดออกไปตรวจสอบด้วย อาจจะรู้สึกเจ็บๆนิดหน่อย เเต่ว่าไม่ต้องเป็นห่วง”
พอเทคโนโลยีนี้ถูกปรับปรุงจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ผมคิดว่ามันน่าจะง่ายขึ้นมาก
“เข้าใจเเล้ว”
“หลังจากนี้ฉันอยากจะฟังความรู้สึกของนายด้วยว่าถูกทดสอบเเล้วรู้สึกยังไง”
“ฉันจะเขียนรายงานให้เลยละกัน”
“ถ้างั้นก็ดีเลย” มิโดริหัวเราะ “เเต่ฉันไม่มีส่วนลดให้หรอกนะ”
“ว่าเเต่ว่า ฉันสามารถกำหนดเวลาการวัดในเเต่ละครั้งเองได้หรือปล่าว”
“หือ ได้สิ ไม่มีปัญหา”
“งั้นฉันจะส่งสัญญาณเริ่มวัดยังไงดี”
“พูดผ่านลำโพงก็ได้”
“เข้าใจเเล้ว”
พอมิโดริออกจากห้องไปจนเหลือเเต่ผมที่อยู่ในพ๊อด ผมก็เริ่มเปิดหน้าจอเมคกิ้งขึ้นมา
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 1178.307
HP : 36
MP : 33
STR : 14 [+]
VIT : 15 [+]
INT : 18[+]
AGI : 10 [+]
DEV : 16 [+]
LUC : 14 [+]
“เเล้วก็ผลการทดลองน่ะ ถ้าอยากให้เรียงลำดับตามจริงที่ทดสอบด้วยได้ไหม”
“ได้ มีเวลากำกับไว้อยู่เเล้ว”
“ถ้างั้นก็เริ่มกันเลย”
“เข้าใจเเล้ว กำลังเริ่มทำการทดสอบ”
พอเสียงของเครื่องCTเเสกนดังเข้ามาในหู เเขนผมก็รู้สึกถึงความเจ็บที่เข็มเเทงเข้ามา นอกจากนั้นก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายอะไร ผมผ่อนคลายเเละทิ้งตัวลงในพ๊อด ค่อยๆเพิ่มสเตตัสของผมขึ้นทีละค่า
ชื่อ : โยชิมูระ เคโกะ
เเรงค์ : 1
SP : 1176.307 (-2.0)
HP : 38 (+2.0)
MP : 33
STR : 16 (+2.0) [+]
VIT : 15 [+]
INT : 18[+]
AGI : 10 [+]
DEV : 16 [+]
LUC : 14 [+]
ผมเริ่มจากค่า STR ตั้งใจไว้ว่าจะเพิ่มทีละ 2
“ต่อไปได้เลย”
“เริ่มการทดสอบครั้งที่สอง”
เวลาผ่านไปสองชั่วโมงกว่าๆ การทดสอบครั้งที่ 30 ถึงจบลง
***
“ขอบคุณที่เหนื่อยนะครับ”
“เเล้ว ความรู้สึกที่ถูกวัดเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ฉันจะส่งรายงานให้ทีหลัง เเต่พอเลือดถูกสูบออกจากที่เดิมซ้ำๆ ไม่ว่าเข็มจะเล็กเเค่ไหน เเต่รู้สึกเหมือนว่าเเขนจะบวมอยู่ดี”
ผมต้องดูเหมือนพวกติดยาเเน่ๆตอนนี้
“ก็ปกติเราจะไม่สูบเลือกมาถึง 30 ครั้งติดต่อกันเเหละนะ นี่เป็นผลการทดสอบ”
เธอส่งเมมโมรี่การ์ดให้มิโยชิ ซึ่งรับมันไปเสียบใส่เเทปเล็ตของเธอทันทีเพื่อดูผล
“หือ ผลออกมาเเล้วหรอ”
“ความรวมเร็วนี่เป็นจุดขายของพวกเราเลยล่ะ”
“เเล้วเจออะไรเเปลกๆรึปล่าว” ผมถาม
“ไม่เลย ระบบของพวกเราจะตรวจสอบปัญหาอัตโนมัติจากค่าทางสรีระวิทยาอยู่เเล้ว ไม่เจออะไรที่เเปลกๆเลย นาคาจิมะ!”
“มาเเล้วครับๆ”
ชายคนที่ชื่อว่านาคาจิมะนำเอกสารปึกใหญ่มาจากอีกฝั่งนึงของห้อง
เป็นคนเเปลกชะมัด สมัยนี้ยังใช้เอกสารอยู่อีกหรอ
“ในการทดสอบทั้ง 30 ครั้งนี้ เราไม่เจออะไรผิดปกติจากค่าทางสรีระวิทยา” นาคาจิมะพูด “เอาจริงๆผมยังไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะทดสอบทำไมตั้ง 30 ครั้ง กำลังทดสอบค่าอะไรสักอย่างโดยใช้เวลาเป็นตัวแปรอยู่หรอครับ”
“อืมม อะไรประมาณนั้นเเหละ”
“เเต่อย่างไรก็ตาม ผมต้องพูดถึงคลื่นสมองของคุณ…”
“มีอะไรหรอ”
“พอเวลาในการทดลองผ่านไปเรื่อยๆ คลื่นสมองของคุณมันเพิ่มจังหวะเร็วขึ้นจากปกติ ถึงจะเเค่เล็กน้อยก็เถอะ”
“เพิ่มขึ้นหรอ” มิโดริถาม “ไม่ใช่ลดลง?”
“เพิ่มขึ้นครับ จังหวะของคลื่นสมองของคนนั้นจะขึ้นอยู่กับความสามารถของเมมเบรนในนิวรอนทาลามัส เเต่ว่าคลื่นสมองของคุณมันมีการเพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับการเพิ่มขึ้นที่เกิดจากการกระตุ้นทางสายตา เเถมพอเวลาผ่านไป ความเร็วของคลื่นสมองที่เพิ่มขึ้นยังเกิดขึ้นใน 6 ระดับที่ต่างกัน”
หกระดับ? นั่นมันหมายความว่า..
“เอ่ออ ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าคุณหมายถึงอะไร”
“พวกเราไม่ใช่หมอ เลยไม่สามารถบอกเป็นความคิดเห็นทางการเเพทย์ได้นะครับ ผมเเค่พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามตรง ก็คือ”
“คือ…”
“การเปลี่ยนเเปลงที่ว่านี้อาจะเป็นตัวบ่งชี้อาการทางจิต”
“อาการทางจิตหรอ ฟังดูรุนเเรงแฮะ” ผมตอบ
“เเต่ว่าอาการทางจิตส่วนมากจะทำให้คลื่นสมองนั่นช้าลง ไม่ได้เพิ่มขึ้น ผมเลยบอกเเบบเจาะจงไม่ได้ อีกทั้งคลื่นสมองเเบบนี้ก็ไม่ตรงกับโรคลมชักด้วย”
“อย่างนี้นี่เอง…”
“นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่- โอ้ อันนี้น่าสนใจ เเต่มันไม่เกี่ยวกับสรีระวิทยาเท่าไร”
“อะไรล่ะ”
“จะพูดยังไงดี เราพบถึงความผันผวนของคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า”
“จริงหรอ” ผมถาม “พวกนายวัดคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้าด้วยหรอ”
“ก็คุณอยากให้วัดทุกอย่างที่เป็นไปได้ เราเลยวัดคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้าผ่านกริดขั้นต่ำของห้อง”
“มันจะไม่มีผลกระทบกับเครื่องจักรกลในห้องหรอ”
“คิดว่าไม่มีนะครับ”
“เเต่ว่าอะไรคือกริดขั้นต่ำนะ”
“มันคือคำที่ใช้สำหรับ การวางเซ็นเซอร์ทั้วห้องทุกๆ 3 เซ็นติเมตรครับ”
“เเล้วความผันผวนที่ว่าเป็นยังไง”
“เป็นคำถามที่ดี มันเหมือนกับว่ามีพื้นที่สนามพลังถูกสร้างขึ้นมา”
“จากที่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจจะเป็นออร่าพลังเวทย์อะไรทำนองนั้น”
นาคาจิมะหัวเราะ เเต่ผมตกใจที่เขาอาจจะเดาถูกเผงเลยก็ได้
***
ในระหว่างที่นั่งรถไฟกลับบ้าน มิโยชิยังจ้องอยู่ที่ตัวเลขในเเท็ปเล็ต เเต่อยู่ดีๆเธอก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า “หรือว่าการเพิ่มสเตตัสจะมีผลต่อสิ่งที่อยู่ภายนอกร่างกายกันนะ”
ถ้าเราส่งเเรงเข้าไปในหมัดเเล้วต่อย หมัดของเราเองก็จะเจ็บด้วยตามเเรงนั้น เเต่ว่าพอสเตตัสเพิ่มขึ้นเเล้วดูจะไม่ใช่เเบบนั้น ตอนเเรกผมคิดว่าอาจจะมีการเปลี่ยนเเปลงระดับเซล เเต่พอไม่มีการเปลี่ยนเเปลงทางสรีระวิทยาเกิดขึ้นเลยก็จะอธิบายลำบาก เเต่ถ้าคิดว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างมาห่อหุ้มร่างกายอยู่ เรื่องราวก็จะลงล็อคมากขึ้น
“มันเเทบไม่มีการเปลี่ยนเเปลงทางสรีระวิทยาเกิดขึ้นเลย” มิโยชิพูด “ฉันเลยบอกไม่ได้ว่าเซลของรุ่นพี่เเข็งเเกร่งขึ้น”
ถ้าเซลมีการเปลี่ยนเเปลงจนสามารถผลิตเเรงออกมาเป็นสองเท่าได้ จำนวนพลังงานที่ให้การสร้างเเรงตรงนั้นก็จะต้องเพิ่มขึ้นด้วย ถ้ามันเกิดขึ้นในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เเน่นอนว่าค่าสรีระวิทยาจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเเน่นอน
“เเล้วเหมือนว่าค่าสมองของฉันมันผันผวนด้วย นาคาจิมะบอกว่ามันเกิดขึ้น 6 ระดับ ตัวเลขนี้ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญเเน่ๆ”
“มีเหตุผล”
“พูดอีกเเง่คือค่าสเตตัาที่ได้อาจจะเป็นความสามารถทางพลังจิต ประมาณมีพลังอะไรสักอย่างถูกสร้างขึ้นจากสมอง”
“ถ้าอิงตามผลตรวจเเล้วก็น่าจะใช่เเหละ”
พอพูดเสร็จมิโยชิก็กลับไปจดจ่อกับตัวเลขอีกครั้ง
9 พฤษจิกายน 2018 (วันศุกร์)
“ว้าว ที่นี่คือญี่ปุ่นสินะ!”
ชายหนุ่มรูปร่างดีที่เดินออกมาจากพาทริออตเอ็กเพรส(1) นั้นพูดด้วยความตื่นเต้น ผมของเขาเป็นสีน้ำตาล ตัดสั้นทรงครูวคัท เข้ากับดวงตาสีน้ำตาลที่ดูเป็นมิตร เเสดงให้เห็นว่าเป็นคนมีอารมณ์ขัน
ชายรูปร่างสูงเพรียว ผมสีขี้เถ้าอ่อนๆเเย้งขึ้นมาว่า “ไซมอน ไม่ใช่ว่าตอนอยู่ในฐานทัพจะยังถือว่าอยู่ในอเมริการึไง”
เขาคือโจชัว ริช ทำหน้าที่เป็นสเกาต์ของทีมไซมอน มีบรรยากาศรอบตัวเหมือนคนฉลาด
“เกอิชา เทมปุระ กับภูเขาไฟฟูจิอยู่ไหน?” ชายตัวหนาร่างใหญ่ถาม
เขาคือเมสัน กำลังก้มตัวเพื่อลอดผ่านประตูทางเข้า เเขนซ้ายของเขาเข้าเฝือกห้อยอยู่ที่คอ
“โธ่เพื่อน นี่ปี 2018เเล้วนะ ตอนนี้มันต้องเนื้อโกเบสิ เราอยู่ใกล้โกเบรึปล่าว?” ไซมอนพูด
ไซมอนที่ไม่เคยปฏิเสธโปรตีนถามนาตาลี ผู้หญิงคนเดียวของทีม
“เห้ออ พวกนาย” เธอถอนหายใจ “ภูเขาไฟฟูจิอยู่ไกลออกไปทางตะวันตก เนื้อโกเบกับเกอิชาของเกียวโตก็อยู่ในคันไซเหมือนกัน พูดตรงๆคือ ทุกอย่างทีพวกนายพูดถึงมันอยู่ไกล ไกลมาก พวกเราอยู่ที่โยโคตะนะตอนนี้”
ไซมอนส่งเสียด้วยความผิดหวังเเละยักไหล่ “เเย่ชะมัด เเต่จะว่าไป ที่นี่หนาวกว่าเนวาดาซะอีก ไม่ใช่ว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศเเถบชื้นหรอ”
“เเค่หน้าร้อนเท่านั้นเเหละ”
โจชัวที่ดูเป็นกังวลพูดขัดขึ้นมา “ไซมอน..”
“ว่าไง”
“นายเเน่ใจหรอว่าพวกเราควรมาที่นี่ พวกเบื้องบนอยากให้พวกเราไปหาออร์บเเปลภาษานั่นต่อ เหมือนจะหัวเสียมากตอนที่พวกเราออกมา หัวพวกนั้นอาจจะระเบิดได้เลยล่ะ”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่เอาด้วยกับเเผนโง่ๆนั่นเเน่ จะให้ฆ่ามอนสเตอร์สุ่มๆตัวไหนก็ไม่รู้เพื่อหาออร์บแปลภาษานั่นหรอ ไม่มีทาง”
มีมอนเสตอร์หลายตัวในดันเจี้ยนคียาส คูลเยแกนที่ได้รับการยืนยันเเล้วว่ามีที่อเมริกาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทีมสำรวจดันเจี้ยนทั่วอเมริกานั้นได้ถูกสั่งให้หาออร์บจากมอนเสตอร์พวกนั้น นี่ถือเป็นคำสั่งสูงสุด
“นายพูดถึงออร์บทำความเข้าใจภาษาต่างโลกใช่ไหมล่ะ” นาตาลีถาม “มีมอนเสตอร์กว่า20ชนิดที่คิดว่าสามารถดรอปออร์บนั่นได้”
“ต่อให้พวกเราลงดันเจี้ยนติดต่อกันสักหนึ่งปี เราก็น่าจะดรอปออร์บเเค่ 2 หรือ 3 ลูก อย่างมากเลยนะ” ไซมอนพูดต่อ “ฉันไม่รู้หรอกว่าทีมสำรวจมีกี่ทีม เเต่ถ้าใช้วิธีนั้นต่อไป เราไม่มีโอกาสหาออร์บนั่นเจอเเน่”
“ใช่ เเต่ว่าถ้าเราไม่ลงดันเจี้ยนเลย โอกาสก็จะเป็นศูนย์นะ”
“ไม่ต้องห่วงน่า นั่นเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่เรามาที่ญี่ปุ่นนี่เเหละ”
“นายหมายความว่าไง”
“จำเวปที่เราดูด้วยกันได้ไหม”
“จำได้ สุดยอดการประมูลนั่นใช่ไหม”
“นั่นเเหละ นายสามารถตามหาออร์บชนิดเดียวกันหลายๆลูกได้ไหม”
“ไม่มีทาง” โจชัวตอบทันที
“ฉันก็เหมือนกัน” ไซมอนเห็นด้วย “ฉันคิดว่าปาร์ตี้นั่นต้องมีวิธีหาออร์บที่ต้องการเเน่ๆ พวกนายคิดว่าไง”
“…ก็มีเหตุผลอยู่ ฉันไปคิดเเต่เรื่องการเก็บรักษาออร์บ เเต่ถ้าไม่มีออร์บให้เก็บเเต่เเรกก็ไม่มีประโยชน์”
“ตามนั้นเลย”
เมสันทำท่าลูบท้องเพื่อส่งสัญญาณ “เอาน่า อย่าพึ่งคิดเรื่องเล็กน้อยตอนนี้เลย ฉันหิวจะตายเเล้ว ไปกันเถอะ”
โจชัวกับไซมอนมองหน้ากันเเล้วยักไหล่
“พวกเราจะไปที่JDAพรุ่งนี้ใช่ไหม ถ้างั้นวันนี้ล่ะ”
“ก่อนอื่นก็ไปที่โรงเเรม” ไซมอนตอบ
“อ้อ เราไม่ได้จะพักที่ฐานงั้นหรอ โรงเเรมอะไรล่ะ” โจชัวถาม
“ที่ชินจูกุ ฉันจองไว้ที่พาร์คไฮแอด คิดซะว่ามาพักผ่อนละกัน”
โจชัวผิวปาก “ใจดีจังเลยนะ กัปตัน”
“เทียบกับออร์บที่เราพึ่งซื้อไป ค่าห้องนี่ก็เเค่เศษเงิน”
พอพูดเสร็จพวกเขาก็เดินไปที่ห้องควบคุมเพื่อพบกับผู้บัญชาการ
พลโทมาติเนซ ผู้บัญชาการของฐานทัพเเห่งนี้ กำลังทำหน้าเครียดมองออกไปนอกหน้าต่าง มือเขาไขว้อยู่ที่หลัง จากรายงานที่เขาได้รับ ตัวปัญหาสี่คนพึ่งมาถึงที่นี่ด้วยเเพทริออตเอ็กเพรส
“จริงอยู่ที่พวกเขามีความสามารถ…” มาติเนซพูดกับตัวเอง
การที่ทีมไซมอนนั้นพึ่งสามารถพิชิตอีเเวนส์ดันเจี้ยนนั้น เป็นหัวข้อการพูดคุยหลักของนักสำรวจส่วนใหญ่ในช่วงนี้ ในโลกของการสำรวจดันเจี้ยน พวกเขาได้ก้าวเข้าไปลึกเกินกว่ามนุษย์คนไหนจะไปถึง ตอกย้ำถึงความยิ่งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จนี้เทียบเท่าได้กับโครงการอพอลโลเลยก็ว่าได้ เเต่ทว่า…
“พวกเขาก็เหมือนกับกลุ่มอันธพาล”
พันโทมาติเนซมองไปที่เพดาน ทีมไซมอนนั้นสร้างปัญหาเอาไว้มากมาย สุดท้ายเเล้วนี้ก็เป็นเเค่พวกอันธพาลที่จะถล่มตึกทั้งหลังเพื่อที่จะปกป้องมันจากผู้ก่อการร้าย พอมีใครสักคนตำหนิพวกเขาในเรื่องนั้น พวกเขาก็จะตอบกลับมาว่า ‘พวกเราเป็นเเค่เครื่องมือของประเทศเท่านั้นเอง’ เหมือนว่าพวกเขาเป็นเเค่กระสุน ปัญหาอยู่ที่คนลั่นไก ผลลัพธ์นั้นทำให้พวกเขามีชื่อเล่นว่า เฮสเปอร์(2) ชื่อเดียวกับชื่อAIในนิยายไซไฟเก่าๆ พอทีมไซมอนเข้ามาเกี่ยวข้องทีไร ก็ต้องกังวลว่าพวกเขาจะทำอะไรเกิดเหตุทุกครั้ง
โชคไม่ดีที่หน่วยจู่โจมดันเจี้ยนนั้นขึ้นตรงกับท่านประธานาธิบดี สมาชิกส่วนมากนั้นจะถูกย้ายมาจากDEA, CIA, กระทรวงยุติธรรม หรือหน่วยงานลับต่างๆ มาติเนซไม่มีสิทธิที่จะออกคำสั่งโดยตรงกับพวกเขา
ตอนนั้นเองก้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นในห้อง
“เข้ามา”
“ขออนุญาติครับ”
คนสี่คนที่เเต่งตัวเหมือนนักท่องเที่ยวสะพายเป้ทั่วๆไปเดินเข้ามาในห้องผู้บัญชาการเเละทำท่าเเสดงความเคารพ
“ผม รองไซมอน เกิชวิน พร้อมกับลูกทีมอีกสามคน พึ่งมาถึงเเละต้องการขอเข้าพบกับผู้บัญชาการของฐานเเห่งนี้ครับ”
“ขอบคุณ เอาล่ะ พวกเธอมาที่ญี่ปุ่นทำไม”
“พวกเรามาพักผ่อนครับ”
“อย่างนั้นหรอ”
ตามรายงาน รองเกิชวินได้ชนะการประมูลสกิลออร์บ พวกเขาต้องมารับของเเน่โดยไม่ต้องสงสัยเลย เเต่ที่จริงเเล้ว นั่นไม่น่าจะเป็นเเค่เหตุผลเดียว
“งั้น พักร้อนที่ว่าจะนานขนาดไหนล่ะ”
“ครับ ตอนนี้พวกเรามีเเผนจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือน เเต่จากสถานการณ์เเล้วก็อาจจะเป็นไปได้ว่า ต้องอยู่เกินกว่านั้น”
ขึ้นอยู่กับสถาการณ์งั้นหรอ
“ฉันเตรียมที่พักไว้ให้พวกเธอเเล้ว ถ้ามีอะไรก็ติดต่อเลขาฉันก็เเล้วกัน”
“ขอบคุณครับ พวกเราขอตัวก่อนครับ”
พวกเขาทำความเคารพเเละออกจากห้องไป
ถ้าทฤษฎีทางผ่านดันเจี้ยนเป็นเรื่องจริง อันธพาลสี่คนนี้จะเป็นวีรบุรุษของมนุษยชาติงั้นหรอ…
พระเจ้าทรงโปรด ขออย่าให้พวกเขาไปสร้างเรื่องให้เกิดความขัดเเย้งกับญี่ปุ่นตอนผมยังอยู่ที่นี่เลยเถอะ
พันโท ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการหน่วยอากาศที่ห้าเเละเป็นผู้บัญชาการของUSJF นั้นสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า…
กลับสู่ด้านบน / ทั้งหมด / 1- / 50 ล่าสุด
กระดานสนทนา [เทพเจ้า?] ดี-พาวเวอร์ 1 [พวกหลอกลวงรึปล่าว]
1: นักสำรวจนิรนาม ไอดี : P12xx-xxxx-xxxx-0199 – อยู่ดีๆ ดี-พาวเวอร์ก็โผล่มาเริ่มทำการประมูลออร์บ จะเป็นนักต้มตุ๋น หรือว่าจะเป็นพระผู้มาโปรด
อ่านต่อที่ 930
11. นักสำรวจนิรนาม – ไม่น่าเชื่อ ออร์บพวกนั้นสุดท้ายก็ขายออกไปในราคา 2พันล้านเยน เเต่ใครเป็นคนชนะการประมูลกัน
12. นักสำรวจนิรนาม – ไม่มีใครรู้เพราะไอดีถูกซ่อนตอนสองวันสุดท้าย
13. นักสำรวจนิรนาม – ทำไมล่ะ!
14. นักสำรวจนิรนาม – ปกติในการประมูลก็ไม่ประกาศคนชนะอยู่เเล้ว เเต่การโชว์ไอดีตอนเเรกนี่มันบ้ามากๆ
15. นักสำรวจนิรนาม – นั่นเป็นเงินมหาศาลเลยนะ
16. นักสำรวจนิรนาม – ไอดีที่โชว์ตอนเเรกนั้นเป็นเพราะระบบขัดข้องรึปล่าว
17. นักสำรวจนิรนาม – บางทีพวกเขาอาจจะตั้งใจทำให้ดูเหมือนเป็นข้อผิดพลาด เเต่ที่จริงเเล้วตั้งใจ เพราะพอมีองค์กรใหญ่ๆมาร่วมประมูล คนก็ต้องคิดว่าเป็นของจริง เเต่ถ้าไม่มีใครเห็นไอดีคนร่วมประมูลเลย ผู้คนก็จะสงสัย
18. นักสำรวจนิรนาม – ถ้าไม่นับความหายากของออร์บ ก็ยังมีความลำบากในการขายอีก ในรายการรับซื้อนั้น เวทย์น้ำมีราคาเเค่ 80ล้านเท่านั้นเอง เเต่พอเอามาประมูลปัป ราคาก็พุ่งเลย ดี-พาวเวอร์สพิสูจน์เรื่องนี้เเล้ว
19. นักสำรวจนิรนาม – ใช่ เเต่การประมูลที่เเหละที่เป็นเรื่องลำบาก
20. นักสำรวจนิรนาม – เเต่ก็ไปขอให้ดี-พาวเวอร์จัดประมุลให้ก็ได้นี่
21. นักสำรวจนิรนาม – นายเป็นอัจฉริยะรึไง
22. นักสำรวจนิรนาม – เเน่นอน เเต่นายจะไปขอรึไง ที่จริงเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาเก็บรักษาออร์บได้จริงๆมั้ย
23. นักสำรวจนิรนาม – ถ้าทำไม่ได้เเล้วจะประมูลได้ยังไง
24. นักสำรวจนิรนาม – จะไปรู้เรอะ ความจริง ทั้งหมดนี่อาจจะเป็นละครหลอกตาให้คนมาหลงฝากออร์บไว้เเล้วก็ขโมยไปก็ได้นะ
25. นักสำรวจนิรนาม – จะบอกว่าพวกเขาเตี๊ยมให้คนมาประมูลออร์บที่ไม่มีอยู่จริงน่ะหรอ ถ้าจริงมันก็สุดยอดมากเลยนะ ทำเงินได้ตั้งเกือบหมื่นล้าน
26. นักสำรวจนิรนาม – เอาไปทำเป็นหนังได้เลย เเต่ว่าคนกลางเป็นJDAนี่ ถ้าไม่มีออร์บจริงๆต้องซวยเเน่
27. นักสำรวจนิรนาม – นี่พวกเรา! ทีมไซมอนตอนนี้อยู่ที่ชินจูกุ!
28. นักสำรวจนิรนาม – ไซมอนที่พิชิตอีเเวนส์ดันเจี้ยนน่ะหรอ ตาฝาดรึปล่าว
29. นักสำรวจนิรนาม – ดูรูปนี่สิ
30. นักสำรวจนิรนาม – เห้ย อย่าถ่ายรูปโดยที่เขาไม่ยินยอมเซ่!
31. นักสำรวจนิรนาม – ไม่ๆ เขาถ่ายรูปกับเเฟนๆ เป็นกันเองมากเลย
32. นักสำรวจนิรนาม – เห็นรูปเเล้ว หมอนี่จริงจังชะมัด
33. นักสำรวจนิรนาม – เเต่ทำไมถึงเอามาโพสในกระทู้นี้ล่ะ
34. นักสำรวจนิรนาม – ก็ดูจากเวลาที่มาญี่ปุ่น ก็น่าจะเกี่ยวกับการประมูลใช่ไหมล่ะ
35. นักสำรวจนิรนาม – โอ้
36. นักสำรวจนิรนาม – จริงด้วย
37. นักสำรวจนิรนาม – เป็นไปได้
38. นักสำรวจนิรนาม – คิดว่าพวกเขาจะไปสำรวจโยโยกิด้วยไหม ระหว่างที่อยู่ที่นี่
39. นักสำรวจนิรนาม – ที่ฉันไปถามมา เขาบอกจะอยู่ที่ญี่ปุ่นสักพัก งั้นก็อาจจะเป็นไปได้
40. นักสำรวจนิรนาม – ฉันอยากได้ลายเซ็นเขาชะมัด!
(1) Patriot express : เป็นเที่ยงบินเช่าเหมาลำที่ถูกจัดการโดยกองบัญชาการเคลื่อนย้ายทางอากาศสหรัฐ โดยเที่ยงบินนี้ปกติจะลงจอดที่ฐานทัพอากาศโยโคตะในวันศุกร์ตอนเช้า
(2) เฮสเปอร์ เป็นAIที่ปรากฏใน The two faces of Tomorrow ของ James P. Hogan บนพื้นผิวดวงจันทร์เฮสเปอร์ได้ถูกออกคำสั่งให้ทำให้หลุมบนดวงจันทร์เรียบ ผลคือมันใช้เครื่องยิงมวลเป่าภูเขาบนดวงจันทร์หายไป ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ