หร่วนซือซือกัดริมฝีปากไปมา เอ่ยปากพูดออกมานิ่งๆ ว่า “เขาพึ่งมาหาหนูไปเอง มีธุระต้องไปจัดการนิดหน่อย ก็เลยไปก่อนแล้ว”
ส่วนที่เกี่ยวกับความจริงของเรื่องนั้น เธอไม่ยอมบอกพ่อกับแม่ไป เพื่อที่พวกท่านจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลใจ แล้วยิ่งศาสตราจารย์หร่วนป่วยเป็นโรคหัวใจอีกด้วยแล้ว และถ้าได้รู้ความจริงนั้นเข้าอาจจะไปกระตุ้นให้อาการกำเริบขึ้นมาก็ได้ ถ้าอย่างนั้นสู้เธอปิดบังไม่พูดออกไปจะดีเสียกว่า
เมื่อได้ยินหร่วนซือซือพูดดังว่าคุณนายหลิวก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ก็นั่งลงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเธอ สุดท้ายยังมีการปอกแอปเปิ้ลแล้วก็รินน้ำอุ่นให้เธอดื่มอีก
เมื่อมองดูเวลาก็ทราบว่าเป็นเวลาทานอาหารแล้ว คุณนายหลิวและศาสตราจารย์หร่วนยังไม่คิดที่จะจากไปไหน หร่วนซือซือจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ ว่า “พ่อ แม่ กลับไปกันก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวก็จะกินข้าวแล้ว”
คุณนายหลิวขมวดคิ้วยุ่ง เดิมทีตนคิดที่จะอยู่ดูแลลูก ใครจะทราบได้ว่าจู่ๆ ศาสตราจารย์หร่วนจะยกมือขึ้นห้ามเธอเอาไว้ “พวกเรากลับกันเถอะ อยู่ที่นี่ก็จะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของซือซือไปเปล่าๆ ”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ คุณนายหลิวจึงลุกขึ้นยืน
หร่วนซือซือกำมือแน่นอยู่ใต้ผ้าห่มที่เธอซุกนอนอยู่ แล้วจึงส่งยิ้มให้พวกเขา แสร้งทำเป็นพูดอย่างแน่วแน่ “พ่อแม่ สบายใจได้เลยนะ มีป้าหรงคอยดูแลหนูอยู่ที่นี่ หนูไม่มีปัญหาหรอก”
คุณนายหลิวพูดขึ้นมาอย่างเจ็บปวดใจ “พักผ่อนเยอะๆ นะลูก เดี๋ยววันหลังแม่จะตุ๋นแกงไก่มาให้กินนะ”
หร่วนซือซือพยักหน้า มองส่งพวกเขาออกไป
รอจนกระทั่งวินาทีที่ประตูนั้นปิดลง เธอจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เมื่อสักครู่ที่ได้จ้องมองคุณนายหลิวและศาสตราจารย์หร่วนแล้ว ความรู้สึกเศร้าโศกที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างไร้รูปร่างที่อยู่ในใจของเธอก็ดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด ไม่สามารถอดกลั้นอีกต่อไปได้ หยาดน้ำตาไหลทะลักพรั่งพรูออกมาจากดวงตาเธอ ถ้าหากว่าพวกท่านไม่จากไปล่ะก็ เกรงว่าเธอจะทนต่อไปไม่ไหวร้องไห้โอดครวญออกมาเสียงดังเป็นแน่
ความรู้สึกระทมทุกข์ที่เธอได้ประสบมา จวบจนวันนี้ก็มีเพียงแค่ตัวเธอคนเดียวที่รู้
ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากป้าหรงอยู่ไม่กี่วัน ในที่สุดหร่วนซือซือก็สามารถลุกออกจากเตียงได้แล้ว ตามร่างกายยังมีรอยแผลให้เห็นอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ยังเคราะห์ดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บที่หัว เธอยังขยับตัวไปมาได้อยู่
เพียงทว่าไม่กี่วันมานี้ อวี้อี่มั่วไม่เคยมาหาเธอเลยสักครั้งเดียว ความเกลียดชังที่มีต่อเขาก็ค่อยๆ คูณทบทวีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ป้าหรงคะ หนูจะออกไปเดินเล่นหน่อย ไม่ต้องตามมานะคะ”
ได้ยินหร่วนซือซือพูดเช่นนั้น ป้าหรงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ แต่เมื่อมองดูอารมณ์ที่แน่วแน่ของเธอแล้วก็เลยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก
ออกมาจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว หร่วนซือซือสูดหายใจเข้าลึกๆ เสียจนเต็มปอด ไม่กี่วันมานี้ เธอใช้ชีวิตผ่านไปแต่ละวันในห้องตลอด นานมากแล้วที่ไม่ได้เห็นพระอาทิตย์จากข้างนอกเลย
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูลิฟต์ หร่วนซือซือมองไปที่ป้ายคำโฆษณาที่ติดอยู่ข้างๆ ลิฟต์ จึงพึ่งได้รู้ว่าที่นี่ก็คือโรงพยาบาลจิงหวา
ก็คือโรงพยาบาลที่เธอเผลอไปรู้ความลับของอวี้อี่มั่วนั่นเอง และก็ยังเป็นโรงพยาบาลที่เย่หว่านเอ๋อพักอยู่ด้วย
เมื่อเข้าไปในลิฟต์ ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์อะไรของเธอที่ก่อตัวอยู่ลึกๆ ภายในใจ หร่วนซือซือกัดริมฝีปาก และกลับกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนแทน
เธออยากจะไปดูให้รู้ว่าเย่หว่านเอ๋อเป็นคนแบบไหนกันแน่ ที่สามารถทำให้อวี้อี่มั่วยอมใช้ทั้งแรงกายแรงใจในการปกป้องและเอ็นดูทะนุถนอมเธอเสียขนาดนี้
เขายอมแม้กระทั่งทิ้งลูกของตนเองไปได้ เพื่อไปช่วยเธอคนนั้น
ออกมาจากลิฟต์แล้วก็นึกย้อนความทรงจำที่มี หร่วนซือซือเดินไปเรื่อยๆ ไม่ไกลนัก ก็เห็นตู้เยี่ยยืนอยู่หน้าห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งอยู่
หัวใจของหร่วนซือซือบีบรัดแน่นขึ้น
จะเป็นไปได้ไหมว่า อวี้อี่มั่วก็จะอยู่ที่ด้วย
เธอกัดริมฝีปากแน่น เดินกำมือแน่นไปข้างหน้า
เมื่อตู้เยี่ยรับรู้ได้ถึงการมาของเธอ สีหน้าก็เข้มขึ้นมาเล็กน้อย “คุณหญิง ท่านมา…..”
หร่วนซือซือเดินไปข้างหน้าอย่างกะโผลกกะเผลก แสร้งทำทีท่าสงบนิ่งมองไปที่เขา หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาว่า “ฉันก็แค่มาดูเฉยๆ จะได้ไหม”
ตู้เยี่ยแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาเล็กน้อย “คุณหญิง”
หร่วนซือซือขมวดคิ้วเบาๆ “อวี้อี่มั่วอยู่ข้างในเหรอ”
ตู้เยี่ยตอบออกมาด้วยความสัตย์จริง “อื้ม”
เมื่อหร่วนซือซือได้ยินเช่นนั้น ในใจก็เคร่งขรึมขึ้นมาทีละน้อย
กลายเป็นว่า สำหรับเขาแล้วคนที่สำคัญที่สุดแล้วก็คือเย่หว่านเอ๋อ เธอและเย่หว่านเอ๋ออยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกัน เขาก็มาหาเธอแค่ตอนที่เธอฟื้นคืนสติแค่ครั้งเดียว เวลาที่เหลือนอกจากนั้นมาอยู่กับเย่หว่านเอ๋อที่นี่ ใครที่มีความสำคัญมากกว่า ในใจเธอล้วนแล้วแต่เข้าใจเป็นอย่างดี
“ฉันก็แค่มาดูอยู่ข้างนอกแบบนี้ ไม่เข้าไปหรอก” หร่วนซือซือกัดริมฝีปาก น้ำเสียงที่พูดออกไปหนักแน่น
เมื่อเห็นสายตาที่ลังเลของตู้เยี่ย หร่วนซือซือก็เข้าใจแล้ว เธอก้มหน้ามองดูร่างกายตัวเองที่เนื้อตัวถลอกเต็มไปด้วยรอยแผล ก็เอ่ยถามอย่างเบาๆ ว่า “คุณคิดว่าฉันที่เป็นแบบนี้ จะไปทำอะไรพวกเขาได้อย่างนั้นเหรอ”
ตู้เยี่ยพูดอะไรไม่ออก นิ่งไปไม่กี่วินาทีจากนั้นก็เริ่มก้าวเท้าขยับออกไปอย่างช้าๆ
หร่วนซือซือเดินไปที่หน้าประตูอย่างช้าๆ เงยหน้าขึ้นไปมองผ่านเข้าไปในกระจกหน้าต่างสี่เหลี่ยมบานนั้น
บนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างๆ หน้าต่างบานใหญ่นั้น อวี้อี่มั่วก้มหน้าลงเล็กน้อยพลางพลิกหน้ากระดาษของเล่มหนังสือที่วางอยู่บนหัวเข่า หญิงสาวที่มีใบหน้าซีดเซียว ก็ขดซุกตัวอยู่กับแผ่นอกเขา ทั้งสองคนกำลังอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่ด้วยกัน
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา แผ่แสงอันอบอุ่นปกคลุมลงบนตัวของทั้งสองคน ราวกับกับมีทวยเทพคอยโอบอุ้มอยู่ ช่างเป็นคู่ที่ดูเหมาะสมกันเสียเหลือกัน
เมื่อเห็นใบหน้าอันมีความสุขของอวี้อี่มั่ว ใจของหร่วนซือซือก็กระตุกวูบจากภาพที่ไม่คาดคิดตรงหน้าและพลันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
ในความทรงจำของเธอ อวี้อี่มั่วแทบจะไม่เคยมีท่าทีอบอุ่นแบบนี้กับเธอเลย
กลายเป็นว่าการรักและไม่ได้รักนั้น ก็สามารถสังเกตดูออกด้วยตาเปล่าได้
แล้วทำไมเขาต้องแต่งงานกับเธอด้วยล่ะ เพียงเพื่อไตอันนี้ที่สามารถเข้ากันได้กับเย่หว่านเอ๋ออย่างนั้นหรอกเหรอ
หร่วนซือซือรู้สึกได้ถึงความทรมานที่ถาโถมเข้ามา เธอกัดฟันกรอด ถอนสายตาออกมาแล้วจึงหมุนตัวเดินจากออกไป
เดินไปได้เพียงสองก้าว เธอก็พลันคิดอะไรขึ้นมาออก หมุนตัวกลับไปมองตู้เยี่ยอีกที พูดออกมาเบาๆ ว่า “ก่อนหน้าที่จะรู้จักฉัน พวกเขาก็รักกันมากใช่ไหม”
สายตาของตู้เยี่ยปรากฏความลังเลออกมา เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ ว่า “ขออภัยด้วยคุณหญิง ผมตอบคำถามนี้ไม่ได้”
สังเกตจับท่าทีเล็กๆ นั้นของเขาได้ หร่วนซือซือก็ยิ้มขึ้นมา ในใจก็รู้คำตอบขึ้นมาแล้ว
ดูท่าแล้วในชีวิตสมรสของเธอกับอวี้อี่มั่วนั้นไม่มีมือที่สามหรอก เพราะว่าคือเธอเองต่างหากที่เป็นมือที่สาม ที่เข้าไปแทรกอยู่ในความสัมพันธ์ของคนอื่น
โชคดีที่เธอยึดมั่นในหลักการของตนเองมาโดยตลอด เมื่อมาคิดดูตอนนี้แล้วก็ช่างน่าขันสิ้นดี
ในห้องพักผู้ป่วยระดับ VIP
อวี้อี่มั่วปิดหน้าหนังสือ พาเย่หว่านเอ๋อไปพักผ่อน เมื่อเห็นว่าเธอนอนหลับสนิทแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง
เมื่อเห็นเขาออกมา ตู้เยี่ยก็ทำสีหน้าลังเล “ประธานอวี้……”
ในดวงตาของอวี้อี่มั่วปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยล้า “มีอะไร”
“เมื่อสักครู่คุณหญิงได้มาที่นี่……”
ตู้เยี่ยบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสามสิบนาทีที่แล้วซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องราวแม้แต่น้อย
อวี้อี่มั่วขมวดคิ้ว นัยน์ตามีประกายความลุ่มลึกขึ้นมา พูดออกมาอย่างเรียบๆ ว่า “ฉันจะไปดูเธอหน่อย”
ระหว่างที่เอ่ยปากพูดก็สาวเท้าเดินออกไป
เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของหร่วนซือซือ อวี้อี่มั่วหยุดฝีเท้าลง เขามองดูร่างของหญิงสาวที่นอนนิ่งสนิทไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเตียง ในใจสับสนยุ่งเหยิงไปหมด
“คุณชาย มาแล้วเหรอคะ”
ป้าหรงเดินเข้ามาหาจากทางด้านข้าง
อวี้อี่มั่วพยักหน้า
ป้าหรงเหมือนจะกล่าวพูดอะไรออกมาแต่ก็หยุดชะงักลังเลว่าจะพูดออกไปดีไหม “ครั้งนี้ไม่เข้าไปหาหน่อยเหรอคะ”
หลายวันมานี้ อวี้อี่มั่วได้มาหาอยู่หลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้เข้าไป ล้วนแต่ยืนจ้องอยู่ที่หน้าประตูแล้วก็กลับไป
อวี้อี่มั่วลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ยื่นมือออกไปเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยนั้น เดินเข้าไปอย่างช้าๆ
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้น หร่วนซือซือก็ตอบสนองโดยการหันหน้าไปดู เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นเขา สายตาก็พลันขรึมขึ้นมาเอง
ตอนนี้ เธอไม่อยากจะเห็นหน้าเขาเลย
อวี้อี่มั่วขยับริมฝีปากถามออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “หลายวันมานี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง”
หร่วนซือซือตอบกลับอย่างทื่อๆ “ก็ดี”
อวี้อี่มั่วชะงักไป แต่ก็ถามขึ้นต่ออีกว่า “ได้ยินมาว่าพ่อตากับแม่ยายมาหลายครั้งแล้ว ทางพวกท่าน……”
หร่วนซือซือเปิดปากพูดขึ้นมาอย่างห้วนๆ “ฉันไม่ได้บอกความจริงกับพวกท่าน แล้วก็รับหน้าหาข้ออ้างให้แทนแล้ว คุณไม่ต้องกังวลไป”
สิ้นเสียงจบประโยคแล้ว อวี้อี่มั่วก็พูดอะไรไม่ออกขึ้นมา
หลังจากผ่านไปสักพัก เขาเดินขึ้นหน้ามาครึ่งก้าว ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด “ถ้าหากว่าอยากได้อะไร ก็บอกมาได้เลย”
เขาติดหนี้เธอ และจะค่อยๆ ชดใช้คืนให้เธอ
หร่วนซือซือได้ยินดังว่าก็ตัวชานิ่งค้างไปแบบนั้น จากนั้นเธอจึงหันหน้าไปมองดูอวี้อี่มั่วด้วยสายตาจริงจัง “ไม่ว่าฉันจะเอ่ยขออะไร คุณก็สัญญาว่าจะให้ได้ใช่ไหม”
อวี้อี่มั่วตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “อื้ม”
“ฉันต้องการหย่า”
MANGA DISCUSSION