ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1011ดูถูกศัตรู
พลังเสริมวิชาอ้านจิ้งที่ออกมาจากตัวดาบส่งผ่านค้อนไปจนถึงร่างกายของคนคนนั้น ถ้ามันเป็นแค่พลังอ้านจิ้งเพียงชั้นเดียว บางทีเขาอาจจะทนไหวก็ได้
แต่นี้ไม่รู้ว่ามีอ้านจิ้งอยู่กี่ชั้นแล้ว ร่างกายของเขาจึงไม่สามารถทนรับได้
“เอื๊อก!”
คนคนนั้นกระอักเลือดแล้วกระเด็นออกไป
บทสรุปแบบเดิมได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่ท่านดยุกได้เห็นภาพนี้ เขาก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา
ยอดฝีมือระดับที่หนึ่งอันน่าภาคภูมิใจของเขาแปดคน ก็ถูกไป๋ยี่เฟยจัดการไปแล้วครึ่งหนึ่ง แล้วจะไม่ให้เขาร้อนรนได้ยังไงล่ะ?
“นะ……นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” น้ำเสียงของท่านดยุกเริ่มสั่นเครือ “มันเป็นคนจากแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือไม่ใช่เหรอ? อายุแค่นี้ ทำไมถึงแกร่งได้ขนาดนี้ล่ะ?”
ยีหยุนที่เห็นแบบนั้นก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วเหมือนกัน “ท่านดยุกคะ พวกคุณจะขอความช่วยเหลือกับทางสหพันธ์วรยุทธมั้ยคะ?”
ท่านดยุกอึ้งและเงียบไป
ตอนแรกเขาตั้งใจจะจับไป๋ยี่เฟยด้วยความสามารถของตัวเอง จากนั้นก็เอาไปส่งให้ทางสหพันธ์วรยุทธ แบบนี้ผลงานที่ได้มันจะมากกว่าการแจ้งเบาะแสให้สหพันธ์วรยุทธเฉยๆ
แต่ว่า ความสามารถของไป๋ยี่เฟยนั้นเกินกว่าที่เขาคาดการไปมาก แค่ความสามารถของเขาคนเดียวไม่มีทางจับไป๋ยี่เฟยได้แน่ บางทีอาจถึงขั้นที่เขาต้องแลกด้วยชีวิตเลยก็ได้
ดังนั้น หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ท่านดยุกก็พูดออกมาว่า “รีบไปขอความช่วยเหลือ! เดี๋ยวนี้! ทันที!”
“ค่ะ!”
……
และในช่วงที่ทั้งคู่คุยกันอยู่นั้น ไป๋ยี่เฟยก็ได้ฆ่ายอดฝีมือระดับหนึ่งไปอีกคนแล้ว
ตอนนี้ จากแปดก็เหลือแค่สามคนแล้ว
สามคนที่เหลือ นอกจากชายวัยกลางคนคนนั้น อีกสองคนต่างก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ในขณะที่ร่างกายกำลังอ่อนแรงพวกเขาก็ไม่กล้าเข้าจู่โจมอีก
มีเพียงชายวัยกลางคนคนนั้นที่นับว่ายังสงบได้อยู่ และตาของเขาก็จ้องไปที่ดาบในมือของไป๋ยี่เฟยอยู่ตลอด
ไป๋ยี่เฟยเองก็สามารถรับรู้ได้ว่าชายคนนี้เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลาง เหมือนกับดาร์สในตอนนั้น
จู่ๆ ชายวัยกลางคนก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มลึกว่า “พวกนายไปปกป้องท่านดยุก เดี๋ยวฉันจัดการเอง!”
น้ำเสียงของเขาบ่งบอกถึงความผิดหวังในตัวของคนอื่นๆ และเขายังคิดอีกว่าต่อให้เข้าไปพร้อมกัน สองคนนั้นก็มีแต่จะเข้าไปตายเปล่าๆ
ที่สำคัญ เขาก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลางเหมือนกัน ตอนที่สู้กันก็ไม่มีเวลามาสนใจอะไรพวกนั้น ถ้าเกิดไปทำร้ายพวกตัวเองเข้า มันจะได้ไม่คุ้มเสีย
พอยอดฝีมือระดับหนึ่งสองคนนั้นได้ยินก็รีบพยักหน้าทันที เดินอ้อมไป๋ยี่เฟยแล้ววิ่งไปทางที่ท่านดยุกอยู่
ไป๋ยี่เฟยมองดูยอดฝีมือระดับหนึ่งคนเดียวที่เหลืออยู่ตรงหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”
ชายวัยกลางคนขำออกมาอย่างไม่ชอบใจ “เราสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลางด้วยกันทั้งคู่ ฝีมือพอๆ กัน แกคิดจะฆ่าฉันอย่างนั้นเหรอ? มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก!”
“อีกอย่าง ฉันว่าแกก็แค่มีอาวุธในมือนั่นเท่านั้น ถ้าไม่มีมัน ใครจะฆ่าใครก็ยังไม่แน่!”
“แต่ว่านะ มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว เพราะตอนนี้ท่านดยุกได้ขอความช่วยเหลือจากทางสหพันธ์วรยุทธไปแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นาน กำลังเสริมของสหพันธ์วรยุทธก็คงมาถึง”
“ดังนั้น สิ่งที่ฉันต้องทำไม่ใช่การฆ่าแก แต่เป็นการถ่วงเวลาของแกไว้ต่างหาก!”
“เมื่อไหร่ที่กำลังเสริมจากของสหพันธ์วรยุทธมาถึง แกก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว!”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินก็เงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ได้รู้ว่าบรรดาคนที่อยู่ตรงทางเดิน ได้มีคนหายไปคนหนึ่งจริงๆ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
แต่ทันใดนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ได้ถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจว่า “แกคิดว่าแกจะสามารถถ่วงฉันไว้ได้รึไง?”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” ชายวัยกลางคนถามกลับอย่างมั่นอกมั่นใจ “เราต่างก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ฝีมือไม่ได้ต่างกันมากยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังเป็นอาณาจักรของท่านดยุกด้วย!”
ไป๋ยี่เฟยมองเขาแล้วอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “แกไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหนกัน?”
“ฮึ!” ชายวัยกลางคนขำออกมาอย่างไม่ให้เกียรติทีหนึ่ง “ก็เพราะฉันเป็นคนของหนานเหมิน ส่วนแกก็เป็นแค่ลูกกระจ๊อกจากแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือยังไงล่ะ!”
“ที่แผ่นดินใหญ่ภาคเหนือของพวกแก ฝีมือของแกคงถือว่าไร้เทียบทานแล้วมั้ง? ฮึ แต่แกอย่าลืมนะ ว่าฝีมือระดับแกน่ะทางหนานเหมินของเรานั้นมีเยอะถมเถไป!”
“แกคิดว่าการที่ตัวเป็นผู้ไร้เทียมทานอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ภาคเหมือนแล้วจะไร้เทียมทานที่หนานเหมินเหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ที่สำคัญ ยังไม่มีใครสู้แกได้อีก ดูเหมือนประสบการณ์ในการต่อสู้ของแกคงน้อยจนน่าสงสารเลยสินะ?”
เมื่อได้เห็นท่าทางที่มั่นอกมั่นใจของเขาจู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ได้หัวเราะออกมา พร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย
จากนั้นก็กำดาบเล่มใหญ่ของตัวเอง ค่อยๆ เดินเข้าไปหาชายวัยกลางคนทีละก้าว
พอชายวัยกลางคนเห็นแบบนั้น ก็หรี่ตาลง ยกดาบโค้งของตัวเองขึ้นมาตั้งท่ารอรับการโจมตี
และในตอนนั้นเอง จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็หยุดเดิน จากนั้นก็เสียบดาบเล่มใหญ่ของเขาลงพื้น แล้วค่อยเดินไปทางชายวัยกลางคนต่อ
พอเห็นไป๋ยี่เฟยทำแบบนั้น ชายวัยกลางคนก็อึ้งไปแปบหนึ่ง แล้วยิ้มเยาะเย้ยออกมา “อยากตายนักใช่มั้ย?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันแค่อยากบอกแกอย่างหนึ่ง”
“ฮ่า!”
ทันทีที่พูดจบ ร่างกายของไป๋ยี่เฟยก็ขยับ แล้วพุ่งเข้าหาชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว
ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งขรึม กวัดแกว่งดาบโค้งฟันใส่ไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยนั้นแค่ยกมือขึ้นมาเบาๆ ก็สามารถปัดดาบของเขาออกไปได้อย่างง่ายดาย
“ต่อให้ฉันเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ต่อให้ฉันไม่ใช้ดาบใหญ่……”
ระหว่างที่พูด ไป๋ยี่เฟยก็ยกมือขวาขึ้นมาแทงศอกใส่อีกฝ่าย
พอชายวัยกลางคนเห็นแบบนั้น ก็จำเป็นต้องใช้มืออีกข้างมาป้องกันการโจมตีในครั้งนี้ของไป๋ยี่เฟย
จากนั้น ในตอนที่แขนของเขากับศอกของไป๋ยี่เฟยปะทะกัน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ใช้พลังอ้านจิ้งเลย แต่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานอันมหาศาลจากการโจมตีในครั้งนั้น ถึงขั้นสามารถเอาชนะพลังอ้านจิ้งของเขาได้
ชายวัยกลางคนถูกการโจมตีนั้นทำให้ถอยหลังไปหลายก้าวกว่าจะหยุดลงได้
ยังไม่รอให้เขาได้ทันตั้งหลัก ไป๋ยี่เฟยก็รีบตามเข้าไปซ้ำ จากนั้นก็ใช่ท่าแนบพิงตัวใส่เขา
“ฉันก็สามารถฆ่าแกได้เหมือนกัน!”
“เพราะว่า ฉันมันเติบโตมาจากการต่อสู้ที่ถึงแก่ชีวิตไงล่ะ!”
“ฉันไม่ได้ด้อยประสบการณ์เลยสักนิด!”
“อย่ามาอวดเบ่งต่อหน้าฉัน สายเลือดของฉันเป็นสิ่งที่แกไม่มีทางเทียบเคียงได้แน่นอน!” “ดังนั้น ไปตายซะ!”
ชายวัยกลางคนถูกไป๋ยี่เฟยกระแทกจนกระเด็นออกไป
ในเวลาเดียวกัน ไป๋ยี่เฟยก็ได้ชกกำปั้นออกไป ต่อยใส่หัวของชายวัยกลางคนอย่างจัง
“ตุบ!”
“เอื๊อก!”
ชายวัยกลางคนยังไม่ทันได้ลอยขึ้นมาก็ถูกไป๋ยี่เฟยชกลงไปกระแทกพื้นแล้ว แถมยังกระอักเลือดออกมาอีกมากด้วย
หลังจากที่ล้มลงพื้น เขายังพยายามที่จะลุกขึ้นมา แต่ไป๋ยี่เฟยก็ได้เหยียบไปที่หน้าอกของเขา ทำให้เขาขยับตัวไม่ได้
ไป๋ยี่เฟยมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาที่รู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชอบใจว่า “ฉัน โตมากับการต่อยตี!”
ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงแรงที่กดทับลงมา จนทำให้เขาเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้น
“มันเป็นไปได้ยังไง?”
เขาเชื่อไม่ลง ทั้งๆ ที่เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งชั้นกลางเหมือนกัน และไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ใช้ดาบที่แปลกประหลาดนั่น แล้วทำไมไป๋ยี่เฟยยังสามารถเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดายแบบนี้ล่ะ?
ไป๋ยี่เฟยมองดูสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อของเขา แล้วพูดออกมาอย่างไม่ชอบใจว่า “นี่มันก็เพราะพวกแกเป็นคนบีบบังคับเองไม่ใช่รึไง?”
“ฉันยอมรับ ว่าฉันมันไม่ใช่คนดีอะไร แต่ฉันก็ไม่ได้อยากฆ่าใครจริงๆ พวกแกนั่นแหละที่เป็นคนบีบให้ฉันต้องทำเรื่องเหล่านี้!”
“คนแก่ที่บริสุทธิ์ พวกแกบอกฆ่าก็ฆ่า”
“หมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน พวกแกบอกเผาก็เผา ผู้คนในหมู่บ้าน พวกแกก็ไม่ปล่อยไว้สักคน!”
“พวกแกรู้บ้างรึเปล่า ว่าตอนที่พวกเขาตายนั้นกำลังหวาดกลัวและสิ้นหวังแค่ไหน?”
พอไป๋ยี่เฟยนึกถึงเหตุการณ์เพลิงไหม้ในคืนนั้น คำพูดของเขาก็ชะงักลง
เขารู้ดี ว่าทุกคนในหมู่บ้านนั้น ได้ตายไปหมดแล้ว
และคนที่ก่อนเรื่องทั้งหมด ก็คือกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเขา
ชายวัยกลางคนรับรู้ได้ถึงไฟแห่งโทสะของไป๋ยี่เฟย เขารู้สึกกลัวแล้ว จึงอดไม่ได้ที่ต้องร้องของชีวิต “อย่าฆ่าฉันเลยนะอย่าฆ่าฉันเลย!”
ความมั่นใจกับความหยิ่งยโสของเขาที่มีเมื่อกี้ได้หายไปจนหมดแล้ว และสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็มีแต่ความหวาดกลัวเท่านั้น
เขากลัวตาย
“อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันยังมีแม่ต้องเลี้ยงดูอีก……”
“ตุบ!”