ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 483 ข้าเพียงมาคุยเล่นกับเจ้า
หลู่อ๋องพยายามอดทนต่อการไม่นำน้ำชาสาดไปที่อวี้จิ่น เขาแอบปลอบใจตนเองว่า จะลงไม้ลงมือกับน้องเจ็ดไม่ได้ เขากับน้องเจ็ดทะเลาะกันมาหลายหนแล้ว แต่ไม่เคยสู้ได้เลย
“พี่ห้าเดินทางมาทำไมหรือ” อวี้จิ่นไม่ได้มีท่าทางดีเท่าไรนักเมื่ออยู่ต่อหน้าหลู่อ๋อง จากนั้นนั่งลงไปบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วเอ่ยถามขึ้น
“สองพี่น้องเราอยู่ใกล้กันเพียงนี้ ข้ามมาหาเจ้าไม่ได้หรือ”
อวี้จิ่นยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบเบาๆ
ข้าเพิ่งจะกลับมาจากฝ่ายข้าราชการพลเรือน ยังไม่ทันจะได้ใกล้ชิดกับภรรยา เจ้าจะมาเยี่ยมข้าทำไม!
หลู่อ๋องขยับเข้ามาใกล้ ทำท่าทางและน้ำเสียงเหมือนกับคุ้นเคยกันอย่างดี “น้องเจ็ด เจ้าได้ยินเรื่องของเขาผู้นั้นแล้วหรือยัง”
อวี้จิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ผู้ใด”
หลู่อ๋องกระซิบว่า “ก็พี่รองอย่างไรเล่า บัดนี้เขาคือจิ้งอ๋อง มีตำแหน่งเท่าเทียมกับพวกเรา”
หึๆๆ ช่างสดชื่นเสียจริง
การที่พี่รองถูกปรับตำแหน่งลงมาเป็นอ๋อง นั่นหมายความว่าเขามีโอกาสที่จะทำความปรารถนาอันยาวนานของเขาให้เป็นจริงได้แล้วใช่หรือไม่
ความปรารถนาอันยาวนานของหลู่อ๋องนั่นก็คือการได้ต่อยองค์รัชทายาทให้หนัก จากนั้นก็ถอยหนีออกมา
โดยมีอวี้จิ่นซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เขาอยู่ข้างกาย หัวใจของเขาบัดนี้พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว
“ข้าไม่ชัดเจนนัก” อวี้จิ่นหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบา
พี่ห้าและคนอื่นๆ ได้เดินทางไปสักการะฟ้าดินกับพวกเขาด้วย ดังนั้นจึงได้เป็นพยานเห็นถึงการสิ้นพระชนม์ของอันจวิ้นอ๋อง คนที่ได้ยินเรื่องนี้มาจากภายนอก จะรู้ละเอียดเท่ากับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้อย่างไร
เมื่อหลู่อ๋องได้ยินอวี้จิ่นกล่าวดังนั้น ก็ได้รีบเล่าเรื่องเหตุการณ์บนภูเขาชุ่ยหลัวให้เขาฟังทันที
อวี้จิ่นจับจ้องไปที่ใบหน้าอันดูตื่นเต้นของหลู่อ๋องแล้วครุ่นคิดอยู่ในใจว่า เขาและพี่ห้าสนิทชิดเชื้อเช่นนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากที่ดื่มน้ำชาไปได้ประมาณสามถ้วย ในที่สุดหลู่อ๋องก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในตอนท้ายขึ้นว่า “ใครจะไปคิดว่าพี่รองที่อยู่แต่ในตงกงมาเนิ่นนานหลายปี จะรู้จักกับสาวงามที่แม่น้ำจินสุ่ย อีกทั้งยังปลงพระชนม์ท่านลุงอันอ๋องด้วย”
“หมายความว่า คดีนี้ใต้เท้าเจินเป็นคนรับผิดชอบหรือ”
มองดูแล้วเขาควรจะเดินทางไปทักทายที่ศาลาว่าการพระนครก่อนกำหนดเดิมสักหน่อย
หลู่อ๋องพยักหน้า “ใช่แล้ว โชคดีที่ใต้เท้าเจินอยู่ที่นั่นด้วย เจ้าเจ็ด เจ้าไม่รู้หรอกว่า ใต้เท้าเจินช่างน่าทึ่งถึงเหลือเกิน เขามองเห็นได้ภายในแวบเดียวว่าสีของแขนเสื้อองครักษ์จินอู๋คนหนึ่งแตกต่างไปจากคนอื่น ต่อมาองครักษ์จินอู๋อีกคนหนึ่งค้นพบเสื้อผ้าที่องครักษ์จินอู๋ผู้นั้นใช้เปลี่ยน จึงได้จับคนที่ลงมือได้ อ้อใช่สิดูเหมือนผู้ที่ได้รับผลงานนั้นคือพี่ชายภรรยาของเจ้า”
“เช่นนั้นหรือ” อวี้จิ่นมองไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
รายละเอียดเหล่านี้เขายังไม่ได้ทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“น่าเสียดายเหลือเกินที่เสด็จพ่อกำลังพิโรธ เกรงว่ายังคงนึกไม่ถึงเรื่องประทานรางวัลให้แก่พี่ชายภรรยาของเจ้า”
อวี้จิ่นยิ้มขึ้นอย่างแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอก เดิมทีพี่ภรรยาของข้าก็ไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ เขาเพียงแค่เป็นผู้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเท่านั้น”
คาดไม่ถึงว่าการที่พวกเขาเอ่ยเรื่องนินทาผู้อื่นอยู่ จะยังได้ยินคำชื่นชมพี่ภรรยาของตนออกมาจากปากของอวี้จิ่นได้ หลู่อ๋องได้แต่แอบกลอกตามอง
“น้องเจ็ด เจ้าว่าในครานี้พี่รองจบสิ้นแล้วหรือไม่”
“ข้าไม่กล้าเดาถึงความคิดของเสด็จพ่อหรอก”
หลู่อ๋องลูบไปที่จมูกของตน “ข้าเองก็ไม่กล้าคาดเดาความคิดของเสด็จพ่อ แต่รู้สึกว่ามันกะทันหันเกินไป จู่ๆ พี่รองก็ไม่ใช่องค์รัชทายาทอีกต่อไป เรื่องนี้ราวกับฝันไป…”
“ดังนั้นพี่ห้าเดินทางมาหาข้าเพื่อ…”
การที่พี่ห้าดูกระฉับกระเฉงเพียงนี้ เพราะต้องการจะสร้างแนวร่วมเพื่อขึ้นแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทหรือ
ใบหน้าของหลู่อ๋องแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ “เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คงต้องหาคนร่วมสนทนาด้วยสักหน่อยนะสิ”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าเจ็ด เขาเพิ่งจะต่อยพี่รองไป ดังนั้นเขาจึงเป็นคู่สนทนาที่เหมาะสมที่สุด
อวี้จิ่นชะงักลง ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มอันจริงใจปรากฏขึ้น
หากว่าพี่ห้าไม่มีความคิดจะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท เช่นนั้นก็สามารถสนทนากันได้
เรื่องที่องค์รัชทายาทถูกปลดนั้นรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ทำให้ผู้คนมากมายมีความคิดที่เปลี่ยนไปทันที
ตำแหน่งของบรรดาเจ้านายมีผลต่อการทำให้ผู้คนสงบสุขมั่นคงทางจิตใจ ดังนั้นตำแหน่งนี้จะปล่อยว่างไม่ได้ คาดว่าอีกไม่นานองค์จักรพรรดิก็คงจะเลือกหนึ่งในองค์ชายขึ้นเป็นองค์รัชทายาท
……
จวนจิ้นอ๋องและจวนฉีอ๋องก็ครึกครื้นขึ้นมาเช่นกัน
บุตรชายสืบทอดกิจการจากบิดา แต่ไหนแต่ไรมามักให้ความสำคัญกับทายาทสายตรงคนโต
ท่ามกลางบรรดาองค์ชายมากมาย องค์รัชทายาทนับว่าเป็นทายาทสายตรงอีกทั้งเป็นบุตรชายคนโตของจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาเป็นฉูจวินที่ถูกต้องตามกฎ ต่อให้ไร้ความสามารถสักเพียงใดก็ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าองค์รัชทายาทจะถูกปลด บัดนี้เมื่อองค์รัชทายาทถูกปลดจากตำแหน่งแล้ว ผู้ใดจะเข้ามาแทนที่ก็ยากที่จะกล่าว
องค์ชายใหญ่ฉินอ๋องเป็นโอรสบุญธรรมดังนั้นจึงไม่มีโอกาส
องค์ชายห้าและคนถัดๆ ไปอยู่ในตำแหน่งท้ายคาดว่าคงไม่มีโอกาส ดังนั้น โอกาสจึงตกอยู่ที่องค์ชายสามจิ้นอ๋องและองค์ชายสี่ฉีอ๋อง
นอกจากฉินอ๋องและองค์รัชทายาทที่เพิ่งถูกปลด จิ้นอ๋องคือองค์ชายคนโต คำว่า ‘คนโต’ นี้แน่นอนว่ามีโอกาสมากกว่า แต่ฉีอ๋องก็มีโอกาสเข้าแย่งชิงเช่นกัน
ทว่าข้อบกพร่องใหญ่สุดของจิ้นอ๋องนั่นก็คือพระมารดาเป็นนางใน มีศักดิ์สูงกว่าพระมารดาของเซียงอ๋องที่เป็นนางรำเพียงเล็กน้อย
ราชวงศ์ต้าโจวให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายเลือดของตระกูลทางมารดา ในรุ่นของจิ่งหมิงฮ่องเต้มีคู่แข่งมากมายที่โดดเด่น แต่ในที่สุดเขาก็ได้รับชัยชนะเนื่องจากเขาเป็นโอรสบุญธรรมของฮองเฮา จึงมีส่วนช่วยมาก
พระมารดาของจิ้นอ๋องมีฐานะตัวตนที่แสนธรรมดา จึงทำให้พวกเขารู้สึกถึงคำว่า ‘โอรสคนโต’ นี้ใช้ไม่เป็นผลนัก พวกเขาจึงได้มุ่งเป้ามาที่ฉีอ๋อง
พระมารดาของฉีอ๋องคือเสียนเฟย ถือกำเนิดในจวนอันกั๋วกง อีกทั้งเป็นผู้ให้กำเนิดมีองค์ชายสององค์ มีรากฐานที่ลึกล้ำ
อีกอย่างด้วยความสามารถของฉีอ๋องโดดเด่นกว่าจิ้นอ๋องมาก เขาได้รับชื่อเสียงว่ามีมารยาทและรู้จักกาลเทศะเสมอมา มองดูแล้วหากขึ้นนั่งในตำแหน่งนั้น คาดว่าคงจะเป็นเช่นเดียวกับองค์จักรพรรดิปัจจุบันที่มีความรักใคร่ประชาชนและขยันขันแข็งอย่างแน่นอน
……
ด้านในจวนฉีอ๋อง พระชายาฉีอ๋องเอ่ยถามฉีอ๋องด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ท่านอ๋องเพคะ ในวันนี้มีผู้คนมากมายส่งจดหมายมาขอเข้าเยี่ยม แต่ท่านไม่ประสงค์พบพวกเขาสักคนหรือ”
“ข้าไม่อยากพบ” ฉีอ๋องกล่าวออกมาโดยไม่ลังเล
แต่ก็เกรงว่าพระชายาฉีอ๋องจะไม่เข้าใจ ดังนั้นฉีอ๋องจึงอธิบายให้นางฟังอย่างอดทนว่า “แม้พี่รองจะตกต่ำเทียบได้กับดินโคลนที่ไม่อาจนำมาสร้างกำแพง แต่ในใจของเสด็จพ่อ สถานะของเขาไม่ธรรมดา บัดนี้เมื่อพี่รองเพิ่งถูกปลดจากตำแหน่ง คาดว่าเสด็จพ่อคงยังไม่มีพระประสงค์แต่งตั้งองค์รัชทายาทใหม่ ในเวลานี้หากทำให้เสด็จพ่อคิดว่าข้าต้องการจะเข้าแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท ก็คงหนีความโชคร้ายไม่พ้น”
พระชายาฉีอ๋องมองไปทางฉีอ๋องด้วยดวงตาชื่นชม “หากท่านอ๋องคิดได้ดังนี้ ข้าเองก็วางใจ”
ฉีอ๋องเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “แต่ช่วงนี้เจ้าควรจะทำดีต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องสักหน่อย”
เมื่อได้ยินฉีอ๋องกล่าวถึงเจียงซื่อ พระชายาฉีอ๋องก็ขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ “ท่านอ๋องเพคะ…”
เมื่ออยู่ต่อหน้าภรรยาที่เติบโตมาด้วยกัน ฉีอ๋องจึงไม่ได้ต้องการจะปกปิดความรู้สึกของเขา “ไม่ว่าเสด็จพ่อจะยินยอมหรือไม่ แต่ไม่ช้าก็เร็วตำแหน่งองค์รัชทายาทจะต้องถูกแต่งตั้ง พี่สามมีโอกาส ข้าเองก็มีโอกาส หากจะเทียบกันเรื่องของอายุแล้ว ข้าอาจสู้พี่สามไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องดูจากในมุมอื่น เจ้าควรเข้าวังไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ให้บ่อยขึ้น ความสัมพันธ์กับเจ้าห้าและคนอื่นๆ ก็ควรจะทำให้แน่นแฟ้นเอาไว้ สิ่งเหล่านี้ข้าเองไม่อาจจะทำได้ในบัดนี้เพราะจะดูโดดเด่น ดังนั้นจึงต้องพึ่งเจ้าสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับบรรดาพระชายาทั้งหลาย”
พระชายาฉีอ๋องทำสีหน้าดูอึดอัดใจ
พระชายาหลู่อ๋องเป็นคนขี้หึง นางดูไม่เข้าตา
พระชายาสู่อ๋อง ดูใบหน้าเยือกเย็น นางดูไม่เข้าตา
ส่วนพระชายาเยี่ยนอ๋อง…พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่เห็นนางอยู่ในสายตา…
เมื่อนึกถึงพระชายาทั้งสาม จู่ๆ พระชายาฉีอ๋องก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
“พระชายาหลู่อ๋องและสู่อ๋องไม่เท่าไร แต่ดูเหมือนพระชายาเยี่ยนอ๋องจะอคติกับข้า…”
“ข้าเองก็ต้องการจะกล่าวสิ่งนี้ น้องเจ็ดก่อปัญหาขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ท้ายที่สุดเสด็จพ่อก็ปล่อยเขาไปอย่างไม่คิด ข้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อปฏิบัติต่อน้องเจ็ดไม่ธรรมดา ดังนั้นเจ้าจึงต้องปฏิบัติดีต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องสักหน่อย เพื่อง่ายต่อการให้น้องเจ็ดเป็นแรงสนับสนุนพวกเรา” ฉีอ๋องกุมมือพระชายาเอาไว้แล้วกล่าวอย่างลึกล้ำว่า “ลำบากเจ้าด้วยนะ”
ดูเหมือนน้องเจ็ดจะมีอคติกับเขาเสมอมา หากเปรียบเทียบกันแล้ว ถ้าให้เขาสานสัมพันธ์กับน้องเจ็ดที่ค่อนข้างจะสนทนายาก การเข้าหาทางพระชายาน้องเจ็ดน่าจะง่ายกว่า
ดวงตาของเขาดูเย็นชา น้องเจ็ดให้ความสำคัญกับพระชายาของตนยิ่งนัก
“ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่เพคะ”
ในไม่ช้า พระชายาฉีอ๋องก็ได้ส่งจดหมายขอเข้าเยี่ยมไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง