ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ (จบบริบูรณ์) - ตอนที่ 298 คนไร้สัจจะ
ฉูฉู่ไม่อาจเชื่อว่าอวี้จิ่นจะช่วยนางด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เมื่อเป็นเช่นนั้นสาเหตุที่เขาช่วยนางคืออะไรกัน คงมิได้เป็นเพราะความงามของนาง?
ครั้นมองไปที่ใบหน้าคมคายหล่อเหลาของอวี้จิ่นแล้ว นางก็ได้แต่ลูบคางตนเอง
นางไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้นจริงๆ…
“แม่นางฉูฉู่คิดมากเกินไปแล้ว คงไม่อาจเรียกว่าเป็นการช่วยเจ้า ในเมื่อเจ้าพาปัญหามาให้ หากข้าไม่ขจัดให้สิ้นซากก็คงมิอาจวางใจได้ เอาล่ะ เรื่องข้อเสนอของข้า แม่นางฉูฉู่จะว่าอย่างไร”
“ข้ามีสิทธิ์ปฏิเสธด้วยหรือ”
อวี้จิ่นยกมุมปากพลางหัวเราะ “แน่นอนว่ามี ข้าดูเป็นคนไร้มนุษยธรรมขนาดนั้นเลยหรือ”
ฉูฉู่หัวเราะ ดูเหมือนว่านางยังคงไม่ปักใจเชื่อ
“ข้าตกลง”
มีเหตุอันใดที่จะไม่ตกลงเล่า เป็นเหยื่อล่อแล้วอย่างไร ตราบใดที่สามารถลากคอหมาบ้าพวกนั้นออกมาได้ ต่อให้ทำอะไรนางก็ยอมทั้งนั้น
“แม่นางฉูฉู่เป็นพวกถึงไหนถึงกันจริงๆ!” อวี้จิ่นปรบมือเชยชมพร้อมกับดวงตาเปื้อนรอยยิ้ม “ความลับนี้ห้ามให้คู่หมั้นข้ารู้โดยเด็ดขาด”
ฉูฉู่กระตุกมุมปาก ครั้นอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่น จำต้องยอมก้มหัว นางจะทน!
ฉูฉู่ออกจากตรอกซงจื่อในช่วงรุ่งสาง
ตามถนนหนทางเริ่มมีชีวิตชีวา มีรถม้าสัญจรไปมา เสียงโห่ร้องของพ่อค้าหาบเร่ดังขึ้นไม่ขาดสาย ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงยากจะหาที่ใดเปรียบได้
ฉูฉู่หยุดยืนอยู่ที่ริมถนน เฝ้ามองฝูงชนที่พลุกพล่านแล้วได้แต่นึกโกรธเคืองอยู่ในใจ
นางแสนจะโชคร้าย ถึงได้เข้าไปพัวพันกับปัญหายุ่งยากเช่นนี้
ไม่สิ ตั้งแต่เล็กจนโต นางเป็นพวกอับโชคมาตั้งนานแล้ว คนอื่นสร้างปัญหา นางต้องคอยตามเช็ดตามล้าง แม้คนอื่นมีโชค นางกลับมีเคราะห์…
ฉูฉู่สลัดความคิดร้ายๆ ในหัวออกไป แล้วเดินเข้าไปในฝูงชนท่ามกลางแสงแดดยามเช้า
ช่วงเวลารุ่งสางบริเวณริมฝั่งแม่น้ำจินสุ่ยเงียบสงบเป็นพิเศษ ราวกับว่านาวาเหล่านั้นกำลังเข้าสู่นิทรา แต่ละลำเอนกายแน่นิ่งอยู่ริมตลิ่ง มีเพียงผิวน้ำที่สะท้อนแสงตะวันเป็นประกาย ริ้วน้ำกระเพื่อมพลิ้วไหวเป็นระลอกคลื่นไปตามสายลมโชย บรรยากาศนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายสุดละเมียดละไม
ชายเคราครึ้มกระโดดออกมาจากเรือลำน้อยของหอฟู่ฟาง ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปในป่าเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากฝั่ง และหายตัวเข้าไป ไม่เหลือไว้แม้กระทั่งเงา
ชายเคราครึ้มหันซ้ายหันขวาก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนร้างเพื่อพบกับชายชุดคลุมยาว
“ว่าอย่างไรบ้าง”
ชายเคราครึ้มส่ายศีรษะ “ไม่สำเร็จ ปลาไม่กินเบ็ด”
“ไม่กินเบ็ดงั้นหรือ” ชายชุดคลุมยาวประหลาดใจ “เป็นไปได้อย่างไร”
ชายเคราครึ้มเล่าสิ่งที่ได้ยินจากชิงชิงให้คนตรงหน้าฟัง
ชายชุดคลุมยาวยกมือขึ้นนวดคิ้วที่ขมวดเป็นปม ใบหน้าเคร่งขรึมกล่าว “พิกล”
“มีสิ่งใดพิกลงั้นหรือ”
ชายชุดคลุมยาวมองอีกฝ่ายพลางถาม “เจ้าไม่คิดว่าปฏิกิริยาขององค์ชายเจ็ดดูเฉยเมยเกินไปหรือ หากเป็นเจ้า ได้พบสาวงามหน้าตาเหมือนนางที่รักอย่างกับแกะเช่นนี้ เจ้ายังนิ่งเช่นนี้อยู่ได้? หรือแม้แต่เมื่อเห็นนางถูกชายอื่นทำให้เสื่อมเสียเกียรติต่อหน้าต่อตา เจ้ายังเฉยอยู่ได้?”
ชายมีเคราครึ้มครุ่นคิดพลางพยักหน้าหงึกๆ “พิกลจริงด้วย บุรุษมิอาจทำเรื่องเช่นนั้น”
“ต้องมีบางอย่างผิดพลาดอย่างแน่นอน” ครั้นชายชุดคลุมยาวนึกขึ้นได้ ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที “เมื่อคืนหญิงนางนั้นหายตัวไป หรือว่านางพยายามหาทางติดต่อกับองค์ชายเจ็ด องค์ชายเจ็ดถึงได้รู้แผนของพวกเรา”
ชายเคราครึ้มปรบมือหนึ่งฉาด “เป็นไปได้! เมื่อคืนคนของพวกเราไล่ตามไปจนถึงแม่น้ำจินสุ่ย แต่ทว่าคลาดกับนาง หนำซ้ำองค์ชายเจ็ดก็ไปปรากฏตัวอยู่ที่นั่นพอดี”
“สมควรตายจริงๆ กว่าจะจัดฉากให้องค์ชายเจ็ดได้พบชิงชิงได้ นางทำเสียเรื่องแท้ๆ!” ใบหน้าชายชุดคลุมยาวพลันหมองคล้ำ
“ในกรณีนี้ หมากอย่างชิงชิงก็หมดประโยชน์แล้วหรือ”
ชายชุดคลุมยาวลุกขึ้นพลางบอก “ไม่ว่าจะยังไงรีบไปตามจับตัวสตรีนางนั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน รอบนี้จับเป็นเท่านั้น หากนางมิได้ติดต่อกับองค์ชายเจ็ด แผนนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่หากนางติดต่อแล้วไซร้ คงต้องมาวางแผนกันใหม่”
ชายชุดคลุมยาวและชายเคราครึ้มเดินลัดสนามหญ้ารกร้าง และแยกกันไปคนละทิศคนละทาง
แต่ทว่าในขณะนั้น ทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีชายหนุ่มอีกสองคนสะกดรอยตามพวกเขาอยู่
ไม่ช้าอวี้จิ่นก็ได้รับข่าวนั้น เขายืนอยู่ริมหน้าต่างบนชั้นสองของอาคารพลางครุ่นคิดเพียงลำพังก่อนจะหันไปกำชับเหลิงอิ่ง “อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น หารังพวกมันให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ศัตรูจำต้องกำจัดให้สิ้นซาก คิดจะมาเล่นงานคนอย่างเขา ย่อมมีราคาที่ต้องจ่ายเป็นธรรมดา
เหลิงอิ่งคำนับ แล้วถอยตัวออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ช่วงเวลาดำเนินมาใกล้ถึงยามอู่ หลงต้านเดินขึ้นไปยังชั้นบน “เจ้านายขอรับ ตอนนี้แม่นางฉูฉู่ตกเป็นเป้าแล้วขอรับ”
โถงด้านล่างเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ฉูฉู่นั่งกินอาหารอยู่ที่ริมหน้าต่างพร้อมสอดส่องสายตาอย่างระแวดระวัง
นางหวนนึกถึงคำพูดของอวี้จิ่น ‘เจ้าเคยลุกลี้ลุกลนฉันใด ก็จงแสดงต่อไปฉันนั้น เพราะท่าทีสงบนิ่งไม่แยแสจะบอกเป็นนัยว่า รีบเข้ามาเถอะ ข้ารอซุ่มโจมตีอยู่’
แม้ว่านางจะถูกสบประมาท แต่นางกลับรู้สึกว่าคำพูดของบุรุษผู้นั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่านางมิได้ช่ำชองในการเล่นละครตบตานัก
อีกฝ่ายจะติดเบ็ดหรือเปล่านะ
ฉูฉู่เริ่มอยู่ไม่สุข ทันใดนั้นหางตาของนางก็เหลือบไปเห็นคนสองคน หัวใจของนางสั่นระรัว
มาแล้ว!
ช่วงสามสองวันมานี้นางเป็นเหมือนนกที่ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา ถึงสัมผัสกลิ่นของคนพวกนั้นได้อย่างรวดเร็ว
มาแล้วก็ดี จะได้ให้คุณชายอวี๋จัดการให้สิ้นซาก และเมื่อเป็นเช่นนั้นนางก็จะเป็นอิสระเสียที
อวี้จิ่นจะแก้ปัญหาทั้งหมดได้เรียบร้อยหรือไม่นั้น ฉูฉู่ไม่คิดว่าเป็นปัญหา
ครั้นจะให้บอกเหตุผลก็คงเป็นเพราะ…ชายที่พาคู่หมั้นที่แต่งตัวเป็นบุรุษไปเที่ยวหอโคมเขียวได้ก็ต้องเป็นพวกมีของด้วยเหมือนกันจริงไหม
มีคนสองกลุ่มลุกขึ้นจากโต๊ะ และค่อยๆ เข้าไปประชิดตัวฉูฉู่ช้าๆ ในชั่วอึดใจนั้น ฉูฉู่เผลอบีบถ้วยชาในมือโดยไม่รู้ตัว
ในโถงใหญ่นั้นคึกครื้นเป็นปกติ แขกที่มาทานอาหารที่โรงเตี้ยมหัวเราะพูดคุยกันอย่างออกรส ลูกน้องในร้านตะโกนบอกรายการอาหาร ทั้งยังมีเสียงกระทะหม้อไหปนเสียงก่นด่าของพ่อครัวดังมาจากด้านใน
คนสองกลุ่มเข้ามาล้อมฉูฉู่ไว้พลางส่งสายตาให้กันไปมา หญิงสาวที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างกลายเป็นเหยื่อที่ไร้ซึ่งทางรอด
หึๆ แม่นางนี่คิดว่ามานั่งอยู่ในร้านคนเยอะๆ แล้วพวกเราจะไม่กล้าลงมืองั้นหรือ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง
ฉูฉู่วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ และสับเท้าวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
คนทั้งสองกลุ่มตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะรีบวิ่งตามไป
คนงานในร้านก็รีบวิ่งตามออกไปด้วย “เดี๋ยวๆ ยังไม่จ่ายเงิน…”
ฉูฉู่วิ่งออกไปด้านนอกได้ไม่นานก็ตกอยู่กลางวงล้อมของคนกลุ่มนั้น พวกเขารีบคล้องแขนเป็นวงเพื่อไม่ให้นางหนีรอดไปได้
เพราะนางถูกไล่ล่าอยู่หลายวันจึงมีบาดแผลตามเนื้อตัว บวกกับอีกฝ่ายมีมากกว่า อย่างไรเสียสองหมัดก็ยากที่จะสู้สี่มือ ไม่นานนางก็พ่ายให้แก่ฝ่ายตรงข้าม
แม้ว่ากฎหมายในเมืองหลวงจะอยู่ในขั้นพอใช้ แต่ก็มักจะมีเหตุทะเลาะวิวาทตามท้องถนนเกิดขึ้นเป็นระยะ หรือแม้แต่การที่สตรีถูกรุมลวนลามกลางวันแสกๆ ก็เป็นเรื่องที่หาพบได้ไม่ยาก เมื่อเจอเหตุการณ์ตรงหน้า บางคนจึงเลือกเดินหนีไปเพื่อเลี่ยงปัญหา แต่ทว่าคนส่วนใหญ่ มักจะยืนล้อมวงเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่อย่างนั้น มีน้อยนักที่จะใจดีรีบไปตามเจ้าหน้าที่ทางการ
“นายท่าน ให้คนฝั่งเราลงมือเลยไหมขอรับ ดูเหมือนแม่นางฉูฉู่จะสู้ไม่ไหวแล้วขอรับ”
อวี้จิ่นส่ายหัว “ไม่ต้อง ปล่อยให้พวกเขาจับตัวนางไปนั่นแหละ”
ฮะ?
หลงต้านมองอวี้จิ่นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
เจ้านาย…เหมาะสมแล้วหรือที่จะส่งหญิงไร้ทางสู้ไปตายเช่นนี้
อวี้จิ่นจับขอบหน้าต่างยืนดูเหตุการณ์นิ่งๆ “เจ้ายังดูไม่ออกอีกหรือว่าฝ่ายตรงข้ามไม่กล้าลงมือ คราวนี้พวกเขาตั้งใจจะจับเป็น”
“ฉะนั้นแล้ว?”
อวี้จิ่นมองหลงต้านด้วยสายตาเดียวกันกับยามที่มองคนโง่ “ฉะนั้นแล้วก็ปล่อยให้พวกนั้นจับแม่นางฉูฉู่ไป เราจะได้ตามเถาเพื่อไปเจอผลองุ่นอย่างไรล่ะ”
ที่ชั้นล่าง ฉูฉู่ที่พลาดท่าถูกปิดปากเอาไว้ นางครวญครางเสียงต่ำ แต่กลับไม่มีผู้ใดออกมาช่วย
สายตาของนางจ้องเขม็งไปที่โรงเตี้ยมพลางสบถอยู่ในใจ นางช่างโง่เง่าเสียจริง สู้นางยอมเชื่อว่าแม่หมูปีนต้นไม้ได้ ยังดีกว่าไปเชื่อคนไร้สัจจะพรรค์นั้น!