ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 224 ซื้อของเก่าที่หมู่บ้านสวีเจียวัน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 224 ซื้อของเก่าที่หมู่บ้านสวีเจียวัน
บทที่ 224 ซื้อของเก่าที่หมู่บ้านสวีเจียวัน
……….
บทที่ 224 ซื้อของเก่าที่หมู่บ้านสวีเจียวัน
เย่จื้อผิงได้ยินคำพูดนี้แล้วก็หันไปมองลูกสาว เอื้อมมือไปปกป้องลูกสาวทันทีด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง
การที่เย่โหย่วไฉพูดแบบนี้ แสดงว่าคนในครอบครัวต้องพูดแบบนี้ต่อหน้าเขาไม่น้อย
เย่ไฉกุ้ยพูดว่า “โอ๊ย นายไม่ได้โกรธฉันจริงๆ ใช่ไหม”
เซี่ยวเฟินฟางกลับรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนหน้านี้หล่อนก็พูดแบบนี้ไม่น้อย
“ลูกสาวฉันเป็นยังไง ฉันรู้ดีแก่ใจ”
“จิ่นเป่าคือดาวนำโชคของบ้านเรา ถ้าหล่อนเป็นตัวซวย บ้านเราจะอยู่ดีกินดีแบบนี้ได้ยังไง?”
เย่จื้อผิงก็ขี้เกียจจะเถียงกับพวกเขาแล้ว
แต่เย่เสี่ยวจิ่นยังไม่หายแค้น เธอชี้หน้าเย่โหย่วไฉ “ไหนพูดอีกครั้งสิ?”
เย่โหย่วไฉเป็นจอมเผด็จการตัวน้อยของบ้าน
เขารีบดิ้นหลุดจากอ้อมกอดของคุณย่า พุ่งเข้ามาจะผลักเย่เสี่ยวจิ่น
เธอกล้าดีอย่างไรมาพูดแบบนี้กับเขา?
ปกติทุกคนในบ้านต้องยอมตามใจเขาอยู่แล้ว!
“เพียะ ๆๆ”
เย่เสี่ยวจิ่นจับเย่โหย่วไฉแล้วตบหน้าซ้ายขวา ตบจนแก้มของเด็กน้อยแดงและบวม ฟันหน้าหักไปสองซี่
“แง้ ฮือๆๆ” เย่โหย่วไฉร้องไห้โฮเสียงดังโหยหวน
เขาพูดอะไรไม่ออก ล้มลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพเลือดกบปาก
“พระเจ้า!” เซี่ยวเฟินฟางตาแดงก่ำ ในวันแรกของเทศกาลปีใหม่แบบนี้ ลูกชายของหล่อนกลับถูกทำร้าย?
“เย่เสี่ยวจิ่น นังเดรัจฉานน้อย ฉันจะสู้ตายกับแก!”
เซี่ยวเฟินฟางพุ่งเข้าหา แต่โดนเย่จื้อผิงผลักจนเซถลาไป
เขาเอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า “เด็กๆ มันไม่รู้เรื่องหรอก เด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันทะเลาะกันนิดหน่อยเอง ทำไมผู้ใหญ่ต้องเดือดร้อนด้วย?”
เซี่ยวเฟินฟางทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮบนพื้น “ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันไม่อยู่แล้ว”
“กล้ารังแกคนแบบนี้ได้ยังไง ทุบตีลูกชายฉันขนาดนี้”
“วันนี้ฉันจะเอาหัวโขกกำแพงตายตรงนี้แหละ”
เย่เสี่ยวจิ่นหัวเราะเยาะ “งั้นวันนี้คุณก็เอาหัวโขกกำแพงตาย ๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องมาให้หนูเห็นเป็นตัวตลกทุกวัน”
“พวกไร้ประโยชน์ รู้จักแต่รังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ”
“พวกแกคอยดูเถอะ กรรมตามสนองแน่”
พูดจบ เย่เสี่ยวจิ่นก็หอบของขวัญที่พ่อซื้อมาให้ปู่ย่า วิ่งออกไปโยนทิ้งลงในท่อระบายน้ำ จากนั้นก็เดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว
เย่จื้อผิงก็เดินจากไปด้วยสีหน้าเย็นชาและโกรธจัด
หลิวต้าเม่ย ครอบครัวของลูกชายคนโต และครอบครัวลูกชายคนรองที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง
หลี่กุ้ยฮวาชิงพูดขึ้นก่อนว่า “พวกแกไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้บ้านน้องสามรวยขนาดไหน ยังจะมารังแกกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ”
“วันนี้พวกแกไปทำให้เขาโกรธแบบนี้ ระวังเขาจะจำฝังใจไปจนตายเลยล่ะ”
“หึหึ บ้านเขามีหัวหน้างานถึงสองคน แอบกลั่นแกล้งพวกแกลับหลังน่ะง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากซะอีก”
เซี่ยวเฟินฟางตาแดงก่ำ ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ
เย่ไฉกุ้ยถอนหายใจ “คุณไม่น่าไปมีเรื่องกับเขาเลย พวกเราเรียนวิธีเผาอิฐตั้งนาน ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย”
“ตอนนี้ครอบครัวเจ้าสามสร้างเตาเผาอิฐแล้ว”
“แล้วมันยังไงล่ะ? ถึงเขาจะสร้างเตาเผาอิฐ เขาก็ไม่ดึงพวกเราไปรวยด้วยหรอก” เซี่ยวเฟินฟางพูดจาเสียดสี “พวกเขารวยแล้วแบ่งเงินให้เราสักเฟินรึเปล่าล่ะ? ไอ้คนเนรคุณ!”
หลังเทศกาลปีใหม่ ทุกคนก็ว่างงาน
ผ่านพ้นวันที่แปดไป น้ำแข็งกับหิมะก็ละลายหมดแล้ว
เย่เสี่ยวจิ่นก็ไปที่หมู่บ้านสวีเจียวันพร้อมกับเย่ฉางอัน
สองปีมานี้ไม่มีคนอาศัยอยู่ในหมู่บ้านสวีเจียวัน แต่ก่อนหน้านี้เด็กๆ ชอบไปเล่นที่นั่น ในคูน้ำมักจะมีเศษกระเบื้องสวยๆ ถ้าโชคดีก็อาจจะเก็บเหรียญได้ในโคลน
สมัยก่อน หมู่บ้านสวีเจียวันมีแต่คนรวย ต่อมามีโจรปล้น ฆ่าคนตายเกือบหมด คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ตอนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนที่เหลืออยู่ของหมู่บ้านสวีเจียวัน
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งซ้อนท้ายจักรยาน เย่ฉางอันสวมเสื้อนวมหนา ปั่นจักรยานอย่างรวดเร็ว
ลมพัดปะทะใบหน้า แก้มของทั้งสองคนแดงระเรื่อ อากาศเต็มไปด้วยไอเย็นของฤดูใบไม้ผลิ
คนที่เห็นพวกเขาก็หยุดดูด้วยความแปลกใจ เพราะคนที่ขี่จักรยานได้มักจะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ จะเป็นเด็กหนุ่มทั่วไปได้อย่างไร
เมื่อถึงหมู่บ้านสวีเจียวัน เย่ฉางอันก็ถูมือ “หนาวไหม?”
“มือหนูแข็งไปหมดแล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นตัวสั่น “รีบไปหาบ้านใครสักคนผิงไฟกันเถอะ หนูจะแข็งตายแล้ว”
เย่ฉางอันพาเย่เสี่ยวจิ่นไปที่บ้านของเจียงเหอโหย่ว เพื่อนสมัยประถมของเขา
เจียงเหอโหย่วเป็นหัวหน้าห้องสมัยประถม ครอบครัวมีภูมิหลังไม่ดี เป็นลูกหลานของเจ้าของที่ดิน
เขาจึงยากจนเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามผู้คนในหมู่บ้านสวีเจียวันนี้ล้วนมีภูมิหลังทางชนชั้นที่ไม่ค่อยดีนัก
เจียงเหอโหย่วไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ตอนนี้ทำงานอยู่บ้าน
เมื่อเห็นเย่ฉางอันมา เขาก็ถูมือด้วยท่าทางประหม่าเล็กน้อย “ฉางอัน ทำไมนายถึงมาที่นี่ล่ะ”
“พวกเรามาทำธุระที่นี่ รู้สึกหนาวมาก เลยแวะมาผิงไฟที่บ้านนาย”
เจียงเหอโหย่วรีบหยิบขนมสือปาสองก้อนออกมาให้พวกเขาย่างกิน
“ไม่ต้องยุ่งยากหรอก พวกเราอยู่ไม่นาน แวะมาถามเรื่องบางอย่างหน่อยน่ะ”
เจียงเหอโหย่วมองเย่ฉางอัน ได้ยินคนพูดกันว่าตอนนี้ที่บ้านไอ้หนุ่มนี่รวยมาก
เขายังจำได้ว่าเมื่อก่อนพวกเขายังใส่กางเกงขาด ๆ ด้วยกันอยู่เลย
ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีแต่ที่บ้านของเขาเท่านั้นที่ยังคงเหมือนเดิม
“กินหน่อยสิ นี่ไส้ถั่วแดงนะ”
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? ฉันไม่ได้เจอนายนานแล้ว”
น้ำเสียงของเจียงเหอโหย่วแตกต่างจากตอนเด็กๆ ไปมาก “ก่อนหน้านี้ฉันเจอคนๆ หนึ่งที่ตลาด พวกเขาบอกว่าตอนนี้นายเก่งมาก”
“ฉันก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก เพิ่งจะดีขึ้นเมื่อปีนี้เอง ปีที่แล้วๆ มาก็เหมือนกับนายนั่นแหละ”
เจียงเหอโหย่วมีท่าทางอยากรู้อยากเห็น “นายทำได้ยังไง? จักรยานนายนี่ดูใหม่กริบเลยนะ ต้องแพงมากแน่ๆ”
“ปีนี้หมู่บ้านพวกเราเพิ่งได้เงินปันผลคนละ 29 หยวนเองนะ ใช้ชีวิตยังไม่พอเลย”
“ฉันอยากจะหาเงินได้แบบนี้บ้างจัง”
เย่ฉางอันกลับไม่มีช่องทางพาเขาทำด้วย เกาหัวพลางพูด “ฉันขายผักผลไม้ให้หมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านเลยให้เงินฉันมาเยอะหน่อย”
“แล้วที่หมู่บ้านพวกเรา ได้เงินปันผลต่อหัวตั้ง 70 หยวนเชียวนะ”
“ฐานะทางบ้านเลยดีขึ้นหน่อย”
“เฮ้อ ฉันได้ยินมาหมดแล้ว อิจฉาพวกนายจริงๆ” เจียงเหอโหย่วมองเย่ฉางอัน “ทั้งสิบลี้แปดหมู่บ้านนี่คงมีแต่หมู่บ้านชงเถียนของพวกนายเนี่ยแหละที่ชีวิตดีที่สุด”
“ถ้าพวกเราได้คนละ 70 หยวนก็คงไม่ต้องกลุ้มใจอะไรแล้ว”
เย่ฉางอันยิ้ม “ฉันมีเรื่องจะถามนายหน่อย”
“นายรู้ไหมว่าบ้านใครแถวนี้มีของเก่าบ้าง? พวกเรารับซื้อของเก่า”
“จะให้ราคาที่ยุติธรรม”
เจียงเหอโหย่วถึงกับชะงัก สีหน้าไม่ค่อยดีนัก พูดเสียงเบาว่า “สหาย นายทำแบบนี้มันผิดกฎหมายนะ”
“เอาของแบบนี้มาขายต่อ ถ้าถูกจับได้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
“ฉันเตือนนายแล้วนะ อย่าทำแบบนี้เลย ไม่งั้น…”
เจียงเหอโหย่วไม่พูดต่อ ถ้าโดนจับได้แบบนี้ ต้องติดคุกแน่
“พี่เข้าใจผิดแล้ว” เย่เสี่ยวจิ่นหยิบใบประกาศเกียรติคุณออกมาจากกระเป๋า “หนูเป็นพลเมืองดีที่อนุรักษ์โบราณวัตถุ ลองดูสิ นี่คือใบรับรองของหนู”
“ของเก่าที่หนูรับซื้อมา หนูจะจ่ายเงินเอง แล้วบริจาคให้กับรัฐบาลโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย”
เจียงเหอโหย่วไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ จึงเริ่มลังเล
“พวกเธอมอบสมบัติให้ชาติจริงๆ เหรอ เรื่องแบบนี้ ล้อเล่นไม่ได้นะ”
“ใครมาล้อนายเล่น ฉันก็ไม่ได้ขาดเงินค้าขายเล็กๆ น้อยๆ นี่” เย่ฉางอันตบบ่าเจียงเหอโหย่ว “ฉันเป็นคนยังไง นายยังไม่รู้จักอีกเหรอ”
“ฉันจะไปทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง แกไม่รู้เหรอไง ทั้งฉันและน้องสาวเป็นหัวหน้างานในหมู่บ้านนะ”
“เรื่องแบบนี้ พวกเรารู้กันอยู่แก่ใจ”
เจียงเหอโหย่วครุ่นคิด “งั้นพวกนายจะรับซื้อราคาเท่าไหร่ล่ะ”
“แล้วแต่ชิ้น” เย่เสี่ยวจิ่นจ้องมองเปลวไฟในกองไฟ รู้ว่าฟังจากน้ำเสียงแล้ว แสดงว่าคนผู้นี้ต้องมีของดีอยู่ในมือแน่ๆ
“พี่เอาออกมาให้หนูดูหน่อย หนูจะตีราคาให้ ถ้าพี่ตกลงก็ขายให้ฉัน”
เจียงเหอโหย่วก็เป็นเพราะที่บ้านไม่มีเงิน จึงอยากจะปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องของตัวเอง
ครู่ใหญ่ๆ ถึงได้เดินออกมาพร้อมกับ ไหเซรามิกสีดำสนิทใบหนึ่ง
เย่ฉางอันหัวเราะ “ไหแตกๆ ของพี่แบบนี้ บ้านฉันไม่ต้องพูดถึงสิบใบ อย่างน้อยๆ ก็หกเจ็ดใบแล้ว”
พี่เอาไหดองผักออกมานี่ ฉันดูแล้วไม่น่าจะใช่”
“ของแบบนี้ไม่ได้มีค่าอะไรหรอก”
เจียงเหอโหย่วก็ยิ้มแห้ง ๆ วางของลงบนพื้น “ฉันจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ”
เขาพูดพลางหยิบกล่องใบหนึ่งที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาจากข้างใน
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นลวดลายแกะสลักที่ประณีตบรรจงบนกล่อง ก็รู้ทันทีว่านี่ต้องเป็นของดีแน่ ๆ
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จิ่นเป่าลงมือโหดมาก นั่นเด็กสี่ขวบนะ
เจอของดีอะไรบ้างน้า จะได้ช่วยเพื่อให้พ้นจากความจน
ไหหม่า(海馬)
……….