ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 223 วาจาไร้เดียงสา
บทที่ 223 วาจาไร้เดียงสา
……….
บทที่ 223 วาจาไร้เดียงสา
ทุกคนต่างรู้สึกสะท้อนใจกับคำพูดของเย่จื้อผิง
เป็นความจริงที่ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในปีที่ผ่านๆ มา
ในที่สุดความทุกข์ยากก็ผ่านพ้นไปแล้ว
พี่น้องต่างก็น้ำตาคลอเบ้า
เย่ฉางอันยืนขึ้น “พ่อ แม่ วางใจเถอะครับ ต่อไปนี้ชีวิตพวกเราจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน”
“ตราบใดที่ผมเย่ฉางอันยังมีข้าวกิน ก็จะทำให้พี่น้องและน้องสาวมีชีวิตที่ดี”
เขาพูดจบก็เงยหน้าขึ้นกระดกแก้ว ดื่มเหล้าจนหมดในรวดเดียว
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเขา “ข้าวยังไม่ได้กินเลย ทำไมถึงดื่มเหล้าแล้ว แบบนี้ไม่ดีต่อกระเพาะนะ”
เย่ฉางอันหัวเราะออกมา “แม่ ผมเพิ่งกินแป้งย่างไปสองชิ้น”
เย่จวินพูด “ในเมื่อนายกินแป้งย่างไปสองแผ่นก่อนอาหารเย็น งั้นขาหมูนี่ก็ให้พวกเรากินกันเถอะ ยังไงนายก็กินไม่หมดอยู่แล้ว”
เย่ฉางอันเห็นพี่ชายคีบขาหมูแล้ว เขาก็ไม่เกรงใจ คีบขาหมูชิ้นใหญ่ใส่ชามตัวเอง “ท้องของผมใหญ่มาก ซาลาเปาสองอันแค่รองท้อง”
เขาพูดต่อ “พวกนายรีบกินดีกว่า ไม่อย่างนั้นฉันกินหมดนี่แน่”
เย่ฉางอันคิดว่าตอนนี้ไม่ควรพูดเรื่องชวนน้ำตาแตกอีก ในเมื่อเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ก็ควรจะมีความสุข
เย่จื้อผิงคีบเนื้อชิ้นหนึ่งใส่จานให้ลูกสาว “จิ่นเป่า ลูกเป็นเด็กดีที่สุดในบ้านแล้วนะ ถ้าลูกไม่รีบกิน พี่ชายใจร้ายของลูกต้องกินหมดแน่ ดูสิ ไม่เหลือไว้ให้ลูกเลย”
เย่ฉางอันแอบคิดในใจ เขาก็ตั้งใจคีบชิ้นที่ทั้งอ้วนทั้งเลี่ยนที่สุดให้ตัวเองอยู่แล้ว เนื้อดีๆ เขาก็อยากเก็บไว้ให้คนในครอบครัวทั้งนั้น แบบนี้เรียกว่าใจร้ายได้อย่างไรกัน?
“พ่อคะ อย่าพูดแบบนั้นสิ พี่รองน่ะรักหนูจะตาย”
เย่เสี่ยวจิ่นมองเย่ฉางอัน “ทุกครั้งที่พี่ชายออกไปทำงานหาเงินก็จะซื้อของฝากมาให้หนู นี่ไม่ใช่ว่าเขาคิดถึงหนูที่สุดเหรอ”
“พ่อพูดแบบนี้ไม่ได้ เดี๋ยวพี่ชายจะเสียใจ”
เย่เสี่ยวจินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดูอึดอัด กลับกันเธอกำลังปกป้องพี่ชาย ทำให้พ่อแม่หัวเราะออกมา
“ไม่ใช่แค่พี่ชายจะรักลูก ลูกยังรู้จักเป็นห่วงพี่ชายด้วย” หลี่ชุ่ยชุ่ยลูบหัวลูกสาว “ที่เขาว่ากันว่าลูกสาวเป็นเหมือนเสื้อกันหนาวตัวน้อย ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”
เย่ฉางอันคีบเนื้อวัวจำนวนมากให้ เย่เสี่ยวจินก็เริ่มกินข้าว
หนึ่งปีก่อน… เธอยังเป็นสาวออฟฟิศที่ทำงานหนักทุกวัน
หนึ่งปีต่อมา เธออาศัยอยู่ในบ้านไร่ธรรมดาๆ แห่งนี้ แม้แต่เดิมจะยากจนข้นแค้น แต่เธอก็ได้รับความสุข
แม้ว่าทุกคนในครอบครัวจะดูธรรมดา แต่เธอรู้สึกได้รับความรักที่จริงใจและไม่เห็นแก่ตัวมากที่สุดจากที่นี่
ทุกคนในครอบครัวกินอาหารเย็นส่งท้ายปีเก่าอย่างมีความสุข
เย่จวินและหลิวเยว่รีบไปนอนแต่หัวค่ำ พวกเขามีแผนจะไปไหว้ครอบครัวของหลิวเยว่ในเช้าวันรุ่งขึ้น
ส่วนเย่ฉางอันนั่งมองหิมะตกอยู่ใต้ชายคา เขาตั้งใจจะปั้นตุ๊กตาหิมะที่ใหญ่ที่สุด แต่นั่งได้ไม่นานก็รู้สึกง่วง
เขาหาวพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ไม่ไหวแล้วๆ ขอนอนก่อนแล้วกัน”
เย่เสี่ยวจิ่น นอนอยู่บนเตียง เธอครุ่นคิดถึงแผนการในปีหน้า ดวงตาเป็นประกายแวววาวท่ามกลางความมืด
เธอใช้มือข้างหนึ่งเท้าหมอนหนุนศีรษะไว้ ส่วนขาทั้งสองข้างก็ยกขึ้นไขว้ห้างแล้วแกว่งไปมา
“ปีหน้าต้องวางรากฐานทางการเกษตรของที่นี่ให้ดีก่อน ฉันต้องคิดให้ดีว่าจะทำยังไงถึงจะหาเงินได้มากขึ้น”
เย่เสี่ยวจิ่นลูบคาง ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในหัวของเธอ หนังสือที่เธอเคยอ่าน วัฒนธรรมที่เธอเคยเรียนรู้ ในตอนนี้ล้วนมีชีวิตชีวาอยู่ในหัวของเธอ
เย่หวายยังคงอ่านหนังสือใต้แสงไฟฉาย ข้างนอกหน้าต่างสว่างไสวไม่แพ้เวลากลางวัน
เขามองดูเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาปกคลุมผืนดินนี้ให้ขาวโพลนและสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ ผืนนาและทุ่งโล่งที่เคยสูงต่ำสลับกันไปมาในหมู่บ้านแห่งนี้ บัดนี้ดูราบลื่นและกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาภายใต้ผืนหิมะสีขาว
“หิมะตกหนัก หมายถึงปีนั้นจะอุดมสมบูรณ์” เย่หวายวางหนังสือในมือลง ก่อนจะถูมือทั้งสองข้างที่เย็นเฉียบเข้าหากัน “ปีหน้าจะต้องเป็นปีที่เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมากมายแน่ๆ”
วันปีใหม่ บ้านทุกหลังต่างประดับประดาด้วยกระดาษอวยพรสีแดงสดใหม่
ช่วงเทศกาลปีใหม่ ทุกบ้านต่างก็ติดกลอนคู่สีแดงใหม่เอี่ยม ประตูบ้านทุกบานเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม บนโต๊ะในห้องโถงมีเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงวางอยู่เต็มไปหมด
ชาวบ้านต่างไปเยี่ยมเยียนกัน นำของดีๆ ไปไหว้ญาติพี่น้อง และญาติพี่น้องก็จะให้เงินอั่งเปาเด็กๆ
จำนวนเงินไม่แน่นอน ปกติก็แค่ไม่กี่เหมา
เด็กๆ ที่ได้เงินไม่กี่เหมาก็ดีใจมาก เพราะเงินหนึ่งเหมาก็สามารถซื้อลูกอมนมได้สิบเม็ด เงินไม่กี่เฟินก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างสบายๆ
เย่จื้อผิงพาลูกสาวไปที่บ้านของหลิวต้าเม่ย
ปีนี้ฐานะทางบ้านของพวกเขาดี เย่จื้อผิงจึงตั้งใจซื้อเสื้อผ้าให้พ่อกับแม่คนละชุด และตั้งใจเอามาให้พวกเขา
พอเข้ามาในบ้าน ก็เห็นว่าบ้านพวกเขามีคนอยู่เยอะแล้ว เป็นญาติฝั่งพี่ชายคนโตและพี่ชายคนรองของเขา
ช่วงปีใหม่แบบนี้ ญาติพี่น้องของทุกครอบครัวก็กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้า
หลิวต้าเม่ยตั้งใจวางถั่วเปลือกแข็งที่ดูทันสมัยจากบ้านลูกชายคนโตไว้บนโต๊ะตรงตำแหน่งที่เห็นได้ชัดที่สุด
ทั้งเย่เหวินชางและเย่จู๋จากครอบครัวลูกคนโตต่างก็อยู่ที่นี่
เย่ว่านหยวนกับเย่กังจากครอบครัวลูกชายคนรองกลับมาแล้ว พวกเขายังอุ้มเด็กสี่ขวบคนหนึ่งไว้ในอ้อมแขน ดวงตากลมโตของเด็กน้อยมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น
เด็กคนนี้ป่วยหนักเมื่อต้นปี เซี่ยวเฟินฟางจึงโทษว่าเป็นเพราะเย่เสี่ยวจิ่นเป็นตัวซวยที่นำโรคภัยมาสู่ลูกชายของหล่อน
ดังนั้นหล่อนจึงส่งลูกชายไปเลี้ยงดูที่บ้านแม่ของหล่อนตั้งแต่ต้นปี
และเพราะเรื่องนี้ เย่เสี่ยวจิ่นจึงถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย เกือบถูกเย่ฉู่เฉียงปู่ของเธอฝังทั้งเป็น
เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามหลังพ่อ ใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม มีแต่ความเย็นชาและเฉยเมย
เธอรู้ดีแก่ใจว่าจิ่นเป่าตัวจริงนั้นถูกครอบครัวนี้ทำร้ายจนตายไปแล้ว ตัวเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่ลูกสาวที่แสนรักของครอบครัวเย่จื้อผิงอีกต่อไป
อันที่จริงแล้ว เย่โหย่วไฉหลานชายตัวอ้วนของพวกเขานั้นอายุสี่ขวบ แล้วตัวเธอเองก็อายุสี่ขวบเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ไม่รู้ว่าเย่เสี่ยวจิ่นได้รับอิทธิพลจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของร่างนี้หรืออย่างไร ถึงได้รู้สึกโกรธขึ้นมา
“โหย่วไฉ นี่พี่สาวของแก หล่อนเก่งมากเลยนะ”
“แกรีบไปอวยพรปีใหม่พี่สาวเร็ว ๆ ขอพรปีใหม่จากพี่สาวหน่อย” หลิวต้าเม่ยอุ้มเย่โหย่วไฉที่ตัวอ้วนกลมขึ้น
ตอนนี้หลานชายที่อายุยังน้อยที่สุดในบ้านก็คือเย่โหย่วไฉ และเขาก็เป็นหลานชายสุดที่รักของปู่ย่าด้วย
ในปีนั้น เพื่อให้โหย่วไฉเป็นคนมีการศึกษา พวกเขาจึงตั้งชื่อนี้ให้เขาโดยเฉพาะ นี่คือความหวังและความรักที่ปู่ย่าตายายมีให้เขา
เย่โหย่วไฉกลอกตาไปมา เขาจำเย่เสี่ยวจิ่นได้ และกระโดดลงจากอ้อมกอดของคุณย่า เดินอย่างมั่นคงไปหาเย่เสี่ยวจิ่นเหมือนเด็กซนทั่วไป “ฉันรู้จักเธอ ฉันจำเธอได้!”
“เธอคือตัวซวยของบ้านเรา คุณยายของฉันบอกว่าเป็นเพราะเธอที่ทำให้ฉันป่วยและต้องกินยาตลอด”
“ตัวซวยอย่างเธอทำไมยังอยู่ในบ้านเราอีก ฉันจะไปบอกคุณปู่คุณย่า ให้ไล่เธอออกจากบ้าน”
ทุกคนเงียบไปชั่วขณะ รู้สึกอึดอัด หลิวต้าเม่ยรีบอุ้มเย่โหย่วไฉขึ้นมาด้วยความรักใคร่ “จื้อผิง อย่าโทษโหย่วไฉเลยนะ เด็กเพิ่งจะสี่ขวบเอง จะไปรู้เรื่องอะไร”
“ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่พูดอะไรที่ไม่ควรพูดต่อหน้าเด็ก แน่นอนว่าไม่เกี่ยวกับตัวเด็ก”
“เด็กๆ ยังไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไร พวกเธอเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าไปถือสาเลย”
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รอดูนะคะว่าหลานชายสุดที่รักคนนี้ของคุณย่าจะโดนจิ่นเป่าปรับทัศนคติยังไงบ้าง เปิดตัวมาก็ปากชวนหาเรื่องแล้ว
ไหหม่า(海馬)
……….