ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 214 พี่ใหญ่เลิกงานกลับบ้าน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 214 พี่ใหญ่เลิกงานกลับบ้าน
บทที่ 214 พี่ใหญ่เลิกงานกลับบ้าน
…………….
บทที่ 214 พี่ใหญ่เลิกงานกลับบ้าน
ในรถเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน
แต่เย่ฉางอันก็ไม่กล้าประมาท เขาขับรถอย่างระมัดระวังมาก
เมื่อถึงหมู่บ้าน หยางอวี้เจินไปเยี่ยมย่าที่บ้านของหล่อนก่อน
เย่จื้อผิงและเย่ฉางอันกลับมาถึงบ้าน
หลี่ชุ่ยชุ่ยถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมถึงซื้อเนื้อวัวมาด้วยล่ะ? เมื่อวานก็เพิ่งเอาเนื้อหมูกลับมาไม่ใช่หรือ?”
“เดี๋ยวอวี้เจินจะมากินข้าวที่บ้านเรา” เย่จื้อผิงพูด “คุณยังจำอวี้เจินได้ไหม? หลานสาวตระกูลหยาง คนที่เรียนเก่งมากน่ะ”
หลี่ชุ่ยชุ่ยแค่นเสียง “รู้จักสิ พี่ชายของหยางฟู่กุ้ยสามีหยางเจวียนก็คือพ่อของอวี้เจินไม่ใช่หรือ?”
“พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน อวี้เจินก็เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับฉางอันของเรานี่นา?”
“คุณคิดว่าความจำฉันแย่ขนาดจำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”
เย่จื้อผิงไม่คิดว่าความจำของหล่อนจะดีขนาดนี้
“หล่อนมาที่นี่ คงจะมาเยี่ยมย่าของหล่อนใช่ไหม?”
เย่จื้อผิงพยักหน้า “ใช่ ได้ยินมาว่าแม่ของฟู่กุ้ยไม่ค่อยสบาย”
“ผมได้ยินจากหยางเจวียนว่าแม่สามีไม่สบายเมื่อเร็วๆ นี้ หมอประจำหมู่บ้านบอกว่าเป็นหวัดน่ะ”
“แต่แม่เฒ่ากลับบอกว่าตัวเองอาจกำลังจะตาย คงจะเป็นเพราะ…”
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น
เมื่อจะมีแขกมาบ้าน ก็ต้องรีบเตรียมอาหารกันแล้ว
เย่ฉางอันกระตือรือร้นไปฆ่าเป็ดตัวหนึ่ง
เป็ดรุ่นนี้ของบ้านเขานับว่าอร่อยที่สุด รสชาติดีมาก
เย่เสี่ยวจิ่นเห็นพวกเขายุ่งวุ่นวายอยู่ เธอจึงถือหนังสือไปนั่งเรียนกับเย่หวาย
ทั้งสองคนนั่งอยู่ใต้ชายคาบ้านตรงที่แสงแดดดี อาบแสงอาทิตย์ยามเย็น อ่านหนังสือด้วยกัน
เย่หวายถือกระดาษและปากกา กำลังเขียนบทความอยู่
ส่วนผู้เป็นน้องสาวกำลังเขียนประโยคตามความทรงจำ จนบนสมุดเต็มไปด้วยลายเส้นยึกยือราวกับไก่เขี่ย
เย่ฉางอันที่ถือเป็ดมารู้สึกสงสัยมาก “จิ่นเป่า นี่เธอเขียนอะไรน่ะ? ฉันดูไม่ออกเลยจริงๆ”
“ลายมือเธอไม่ค่อยสวยเลย ฉันพอจะเห็นตัวอักษรบางตัว แต่ที่เหลือมันดูเป็นนามธรรมไปหมด”
“ถ้าเธอเอาลายมือแบบนี้ออกไปข้างนอก คงไม่มีใครอ่านออกหรอก”
“นี่มันภาษาญี่ปุ่นนะคะ” เย่เสี่ยวจิ่นเอียงศีรษะมองพี่ชายรอง “แน่นอนว่ามันต้องไม่เหมือนภาษาจีน ถ้าพี่อ่านออกสิถึงจะแปลก”
สีหน้าของเย่ฉางอันเปลี่ยนไป “เธอเป็นบ้าหรือไง? เรียนตัวอักษรญี่ปุ่นทำไม?”
“เพื่อความสะดวกในการทำธุรกิจในอนาคตค่ะ” เย่เสี่ยวจิ่นกลับไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร
จากหลักสูตรที่ระบบเปิดให้เธอ ต่อไปเธอยังต้องเรียนภาษาย่อยต่างๆ อีกมากมาย
ภาษาญี่ปุ่นของเธอก็เรียนมาเยอะแล้ว
“เธอเรียนภาษาอังกฤษสิ ภาษาอังกฤษดีกว่าตั้งเยอะ ใช้คุยกับคนอเมริกันได้ แต่ดันไปเรียนภาษาญี่ปุ่น ไม่มีอนาคตเลย!”
“คนพวกนั้นล้วนเป็นคนเลว เธอเรียนภาษานี้มีแต่จะเกิดปัญหา”
เย่ฉางอันพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เย่เสี่ยวจิ่นวางปากกาลง “โธ่ ภาษาอังกฤษของฉันก็คล่องแคล่วดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ต้องเขียนบทความเชิงวิชาการ ระดับใช้งานพื้นฐานก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“พี่รีบไปจัดการเป็ดเถอะ อย่ามารบกวนการอ่านหนังสือของพวกเรา”
เย่ฉางอันเห็นน้องสาวดื้อดึงเช่นนั้น
จึงจำใจเดินจากไปก่อน
หลังจากนี้ค่อยให้พ่อแม่มาเกลี้ยกล่อมน้องสาวดีกว่า
เย่หวายกลับไม่รู้สึกว่าการเรียนรู้มีอะไรผิด เขามองทิวทัศน์อันหนาวเหน็บภายนอก พลางเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษ
แสงสีทองอำพันห่อหุ้มต้นไม้เปลือยเปล่าบนพื้นดิน สะท้อนไปทั่วทุ่งนาอันกว้างใหญ่ ดูมีความสงบและเคร่งขรึมอยู่บ้าง…
เย่เสี่ยวจิ่นเขียนประโยคเสร็จแล้วก็เอาคางยันมือมองพี่ชายทำงานเขียน
“จิ่นเป่า เธอเขียนบทความสอบได้ด้วยเหรอ?”
“หนูเขียนได้ แต่ไม่เหมือนของพี่หรอก” เย่เสี่ยวจิ่นอดขำไม่ได้ “พวกเราเขียนเรียงความตามรูปแบบที่กำหนดมา เคร่งครัดมากเลยนะ”
“หนูมักจะเขียนบทความแสดงความคิดเห็น โดยทั่วไปจะใช้โครงสร้างแบบบทนำ-เนื้อเรื่อง-บทสรุป บางครั้งก็ใช้แบบเรียงลำดับ”
“หนูชอบย่อหน้าแรกเป็นการเสนอมุมมอง ย่อหน้าที่สองยกตัวอย่างด้านบวก ย่อหน้าที่สามยกตัวอย่างด้านลบ ย่อหน้าที่ห้าสรุปด้วยการโต้แย้ง”
เย่เสี่ยวจิ่นไม่กล้าสอนพี่ชายเขียนบทความ เพราะเธอใช้กลวิธีการเขียนแบบเตรียมสอบ
ถ้าให้พี่ชายเขียนแบบนี้ จะไม่เป็นการทำลายพรสวรรค์ของเขาหรอกหรือ?
เย่หวายกลับรู้สึกประหลาดใจกับคำอธิบายของเย่เสี่ยวจิ่น
“จิ่นเป่า เธอช่วยอธิบายให้ฉันฟังละเอียดกว่านี้ได้ไหม?”
เย่เสี่ยวจิ่นลังเลเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรน่ารู้หรอก”
“หนูจะเล่าให้พี่ฟังสักหน่อยก็ได้ แต่อย่าเอาไปใช้เป็นแบบในการเขียนนะ”
เย่เสี่ยวจิ่นอธิบายวิธีการเขียนเรียงความให้เย่หวายฟังอย่างละเอียด
เย่หวายฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขาเพิ่งไปเรียนที่อำเภอมา ยืมหนังสือมาอ่านจากครูหลายเล่ม และไม่เคยพลาดที่จะอ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ทางนั้นกำลังทำอาหารกันอย่างคึกคัก
“ผมกลับมาแล้ว” เย่จวินแบกของกลับมา
หลิวเยว่พอได้ยินก็รีบออกมาจากครัว “วันนี้ทำไมกลับมาล่ะ ไม่ได้บอกล่วงหน้าสักคำ นึกว่าจะต้องทำงานอีกนาน”
“ผมทำคนเดียวก็เสร็จเร็วพอสมควร” เย่จวินพูดพลางส่งเสื้อผ้าให้หลิวเยว่ “ตอนเก็บงานยังช่วยย่าสามขนของ รื้อบ้านหลังเก่าทำเป็นแปลงผัก”
“สร้างบ้านได้ดีทีเดียว ลุงสามดูแล้วก็ให้เงินผม 50 หยวน พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะไปสร้างบ้านให้ครอบครัวเขา”
หลิวเยว่ดีใจเป็นอย่างยิ่ง “นั่นดีมากเลย หลังจากฤดูใบไม้ผลิมาถึงถ้าไม่มีอะไรทำ ฉันจะไปทำงานกับคุณ”
“ตอนนั้นเราคงอยู่ด้วยกันที่บ้านย่าสามได้ คุณคิดว่าดีไหม?”
แน่นอนว่าเย่จวินคิดว่าดี
มีภรรยาของตัวเองอยู่ข้างๆ คอยทำอาหารและซักผ้าให้ เขาก็จะมีความสุขมากขึ้น
หลิวเยว่รีบพูด “น้ำร้อนในหม้อก็เดือดแล้ว คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ คืนนี้เพื่อนของน้องรองจะมากินข้าว เป็นผู้หญิงด้วยนะ”
ดวงตาของเย่จวินฉายแววสงสัย “ได้ งั้นผมจะไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้”
“เจ้าเด็กฉางอันนี่ไม่เคยคบหากับผู้หญิงเลย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ”
หลิวเยว่ผลักเขาเบาๆ “คุณรีบไปเถอะ ฉันจะเอาเสื้อผ้าไปให้”
เย่จวินอาบน้ำเสร็จรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก
หลี่ชุ่ยชุ่ยมองเขา ยิ้มตาหยี
“แม่ ทำไมแม่ถึงมองผมแบบนี้ล่ะ?”
“แม่เห็นว่าลูกมีอนาคตแล้ว สร้างบ้านได้ภายในสองเดือน ฝีมือแบบนี้รับงานได้เลยนะ”
“น้องชายของลูกก็มีอนาคตเหมือนกัน ตอนนี้ขับรถบรรทุกใหญ่ไปขายแตงโมในเมือง เก่งมากเลย”
“พวกเธอสองพี่น้องไม่ต้องให้แม่เป็นห่วงแล้ว”
เย่จวินได้ยินเรื่องรถบรรทุกใหญ่มาบ้าง “ตอนผมกลับมา เห็นมีรถบรรทุกจอดอยู่ข้างทาง นั่นเป็นรถที่น้องชายขับหรือครับ?”
“รถใหญ่ขนาดนั้น เขาเก่งจริงๆ ผมแค่เห็นก็รู้สึกว่าขับยากแล้ว”
“พี่ใหญ่ ต่อไปพี่ก็ต้องหัดขับรถนะ” เย่เสี่ยวจิ่นเข้ามาพูด “หนูเตรียมเตาเผาอิฐไว้ให้ที่บ้านแล้ว แต่อิฐพวกนี้ก็ต้องขนส่งออกไปนะ”
“พี่ต้องขับรถเป็น ถึงจะขนอิฐไปสร้างบ้านได้สะดวก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะสอนเขาเอง” เย่ฉางอันรับปากทันที “ขับรถน่ะไม่ยากหรอก แค่ต้องระวังเรื่องความปลอดภัย”
“พี่ใหญ่เป็นคนฉลาด แค่ขับรถคงไม่มีปัญหาแน่นอน”
“หลังจากนั้นไปสร้างบ้านก็จะได้ผลงานเป็นสองเท่า”
หลี่ชุ่ยชุ่ยถามอย่างสงสัย “บ้านที่ลูกสร้างเป็นยังไงบ้าง? เหมือนกับบ้านของพวกเราไหม? ย่าสามพอใจไหม?”
“ท่านพอใจครับ บ้านที่สร้างมีลักษณะคล้ายๆ กับของพวกเรา แต่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง เท่านี้ก็พอใช้ได้แล้ว”
“มีสามห้องนอน หนึ่งห้องอาบน้ำ หนึ่งห้องส้วม และหนึ่งห้องครัว”
“ผมเอาไม้จากบ้านหลังเก่าที่รื้อออกมาทำเป็นคอกสัตว์ ตอนนี้ใช้เลี้ยงไก่แล้ว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยพยักหน้า “นี่ก็คิดรอบคอบดีแล้ว ใช้ได้”
“หลังจากนี้ผมจะสร้างบ้านให้ลุงสาม ก็จะสร้างในลักษณะคล้ายๆ กัน”
“ดี ลูกรู้แบบนี้ก็ดีแล้ว มีช่องทางหาเงินก็ต้องหาให้มากๆ หลังจากนี้ถ้าเสี่ยวเยว่มีลูก ก็ต้องใช้เงินอีกนะ”
หน้าของหลิวเยว่แดงขึ้นมา “แม่ พูดอะไรของแม่คะ พวกเรา… พวกเรายังไม่รีบมีลูกหรอก”
“ตอนนี้น้องสามยังเรียนไม่จบ น้องรองยังไม่แต่งงาน น้องสาวก็ยังเล็กมาก”
“พวกเราก็เตรียมจะรอสักสองสามปี รอให้ครอบครัวสบายขึ้นก่อนค่อยมีลูก”
หลี่ชุ่ยชุ่ยยิ้มอย่างลึกลับ “เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ ครอบครัวเราไม่จำเป็นต้องให้เธอกับเจ้าใหญ่มากังวลหรอก”
“พวกเธอสองคนแค่ใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีก็พอ”
“ครอบครัวเราไม่ได้ลำบากอย่างที่เธอคิด ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างสบายแล้ว”
พวกเขาสองสามีภรรยามีเงินอยู่หนึ่งหมื่นหยวน
ลูกชายคนรองมีเงินส่วนตัวหลายร้อยหยวน พอใช้ชีวิตได้แล้ว
ลูกชายคนที่สามเรียนหนังสือเก่ง พอสอบเข้าโรงเรียนอาชีวะศึกษาได้ ก็ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตมาก
ส่วนจิ่นเป่า…
จิ่นเป่าเองก็มีช่องทางหาเงินของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นมากังวลเรื่องของเธอเลย
เห็นเธอตัวเล็กแบบนี้ แต่มีความคิดเป็นของตัวเองมาก
………………………………………………………………………………………………………………………….