ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 213 หยางอวี้เจิน สหายเก่าของเย่ฉางอัน
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 213 หยางอวี้เจิน สหายเก่าของเย่ฉางอัน
บทที่ 213 หยางอวี้เจิน สหายเก่าของเย่ฉางอัน
…………….
บทที่ 213 หยางอวี้เจิน สหายเก่าของเย่ฉางอัน
เย่ฉางอันและพ่อขับรถไปทั่วเมือง พวกเขาขายแตงโมติดต่อกันหลายวัน
วันหนึ่งขณะที่เขากำลังนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ในร้าน ก็มีสาวน้อยสวมชุดผ้าลินินลายดอกไม้สีฟ้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา
หล่อนเห็นเย่ฉางอันกินก๋วยเตี๋ยวอย่างตะกละตะกลามแล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือปิดปากหัวเราะ “คุณคือคนที่ขายแตงโมใช่ไหม?”
เย่ฉางอันมองดูแล้วพูดว่า “มีอะไรเหรอ คุณก็อยากซื้อแตงโมเหรอครับ?”
เขาสังเกตเห็นหนังสือเรียนในมือของหล่อน “ถือหนังสือเรียนแบบนี้ แสดงว่าคุณเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมต้นเชียนอินใช่ไหม?”
“ฮิๆ” สาวน้อยหัวเราะออกมาทันที ดวงตาโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
หล่อนโบกมืออย่างร่าเริง “ผิดแล้วๆ! ฉันน่ะเป็นครูต่างหาก!”
น้ำเสียงของหล่อนสดใสไพเราะ บวกกับคิ้วเข้มตาโต ก็นับว่าเป็นคนสวยคนหนึ่ง
“ฉันเพิ่งจบจากวิทยาลัยครูก็มาสอนหนังสือเลย ตอนนี้อายุ 18 ปี ใกล้เคียงกับคุณเลยละ”
“ฉันดูเด็กมากใช่ไหม?”
เย่ฉางอันเพิ่งเคยเจอสาวเมืองที่ยิ้มให้เขาสวยขนาดนี้เป็นครั้งแรก
เขารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ถูมือไปมาแล้วพูดว่า “คุณจะซื้อไหม? ผมจะชั่งน้ำหนักให้”
“แตงโมราคาชั่งละสามเหมาห้าเฟิน”
หยางอวี้เจินเห็นหนุ่มซื่อคนนี้หน้าแดงแล้ว แต่กลับถามแค่ว่าหล่อนจะซื้อแตงโมหรือไม่
เขาช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ แน่นอนว่าต้องเป็นหนุ่มผู้ขยันขันแข็งและมีความรับผิดชอบ
“ฉันไม่ได้จะซื้อแตงโมหรอก ฉันแค่อยากกลับบ้านไปกับคุณ”
“หา?” เย่ฉางอันตกตะลึง “คุณอย่ามาล้อเล่นกับผมเลยนะ”
สาวเมืองที่สวยขนาดนี้จะกลับบ้านไปกับเขาเนี่ยนะ? นี่หล่อนกำลังแกล้งเขาอยู่หรือเปล่า?
เขากลับพูดอย่างจริงจังว่า “วันนี้ผมเหลือแตงโมแค่สามลูกเท่านั้น แล้วก็ยังมีเมลอนด้วยนะ ถ้าคุณไม่ซื้อเดี๋ยวก็จะหมดแล้ว”
“นี่เป็นรอบสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้ผมจะขนแค่เมลอนมาขาย คุณอยากจะซื้อแตงโมก็ซื้อไม่ได้แล้วนะ”
“ถ้าคุณซื้อแตงโมหนึ่งลูก ผมจะแถมเมลอนให้อีกหนึ่งลูกเอาไหมครับ?”
ตอนนี้หยางอวี้เจินหัวเราะจนตัวงอไปหมดแล้ว
เย่จื้อผิงเพิ่งกลับมาจากการเข้าห้องน้ำ
เห็นเย่ฉางอันทำสีหน้าโง่เขลา ก็ตบหัวเขาทันที
“เจ้าเด็กโง่นี่ ดูดีๆ สิว่าหล่อนคนนี้เป็นใคร?”
“ผมจะรู้จักได้ยังไงล่ะ? ผมไม่รู้จักสาวสวยขนาดนี้หรอก”
หยางอวี้เจินเข้าไปใกล้เย่ฉางอัน ทำให้เขาหน้าแดงอีกครั้ง
“ฉันเป็นใคร นายลืมไปแล้วเหรอ?”
“นายนี่ใจร้ายชะมัด รู้จักหยางเฉิงสือหรือเปล่า?”
เย่ฉางอันย่อมรู้จักคนชื่อนี้ หยางเฉิงสือเคยเป็นเลขาธิการพรรคคนก่อนของหมู่บ้าน ต่อมาถูกย้ายไปอยู่ในตำบล
“หยางเฉิงสือเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะ?”
“เขาเป็นพ่อฉันน่ะ” หยางอวี้เจินเม้มปาก “ตอนนี้นายจำได้แล้วใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
เย่ฉางอันนึกออกทันที
สมัยก่อนเขาเคยเรียนประถมด้วยกันกับลูกสาวของหยางเฉิงสือ เด็กผู้หญิงคนนั้นฐานะดี ดังนั้นจึงขาวอวบเป็นพิเศษ
ทุกคนเรียกหล่อนว่า “เด็กอ้วน”
ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงคนอื่นคงโกรธจนร้องไห้กับฉายาแบบนี้
แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นกลับไม่โกรธ ยังยิ้มแย้มแจ่มใสทุกวัน แถมยังชอบลงน้ำจับปลาเล่นกับเย่ฉางอันอีกด้วย
“ก็นับว่าเป็น ‘เพื่อนสนิท’ ในกลุ่มเพื่อนวัยเด็กของเย่ฉางอันแล้วล่ะ”
“ฉันจำเธอได้แล้ว ยัยเด็กอ้วนคนนั้นนี่เอง!”
“ตอนนี้เธอดูดีขึ้นมากเลยนะ ประสบความสำเร็จถึงขั้นได้เป็นครูแล้ว”
“ฉันได้ยินน้องชายบอกว่า การสอบเข้าวิทยาลัยครูมันยากมากเลยนะ”
หยางอวี้เจินแต่เดิมแค่ล้อเขาเล่น แต่พอถูกเขาชมแบบนี้ หล่อนก็หน้าแดงขึ้นมา
มองดูเย่ฉางอันแล้วเขาก็ยังตัวผอมสูงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือดูฉลาดปราดเปรื่องกว่าคนรุ่นเดียวกัน
สายตาดูมีความหนักแน่นของผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วอยู่บ้าง
เมื่อก่อนเขาชอบเรียกหล่อนว่ายัยเด็กอ้วน ยัยเด็กอ้วนขี้เหร่
หยางอวี้เจินหน้าแดง และกำลังจะพูด
ก็มีคนมาดูแตงโมพอดี
เย่ฉางอันลืมเรื่อง “สาวสวย” คนนี้ทันที แล้วเดินเข้าไปหาด้วยความกระตือรือร้น “คุณลุงครับ ซื้อแตงโมไหมครับ? ทั้งเมืองมีแค่พวกเราที่ขายแตงโมนะ”
“คุณซื้อกลับไปให้หลานชายตัวอ้วนกินสิ รับรองว่าเด็กๆ จะชอบจนร้องไห้เลย”
คุณลุงหัวเราะกับคำพูดของเขา “ฉันไม่มีหลานชายหรอก มีแต่หลานสาวสองคน”
คุณลุงซื้อแตงโมไปหนึ่งลูก
เย่ฉางอันเห็นว่าบนรถมีแค่สองคน ก็ยิ้มกว้างทันที “พยายามอีกนิดก็จะขายหมดแล้ว”
เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองทิ้งเพื่อนเก่าไว้
เขารีบเช็ดมือแล้วเดินไปหา “ยัยอ้วน เธอกินข้าวหรือยัง? ไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันไหม ฉันเลี้ยงเอง”
“ตอนนี้ฉันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เลี้ยงข้าวคนอื่นได้แล้ว”
เดิมทีหยางอวี้เจินโกรธนิดหน่อยที่ถูกทอดทิ้ง แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
หล่อนจำได้ว่าบ้านของเย่ฉางอันในตอนนั้นยากจนเป็นพิเศษ ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ สักชุด
บางครั้งหล่อนก็จะแอบแบ่งอาหารให้เขากิน
ถือว่าเป็นการ “เลี้ยง” เขาแล้วกัน
“นั่นก็จริงอยู่ นายเคยกินไข่ของฉันไปไม่น้อย ติดหนี้ฉันไว้เยอะเลยนะ”
“แต่ว่าวันนี้ฉันกินอาหารในโรงอาหารมาแล้ว”
“พอดีฉันมีเรื่องต้องขอความช่วยเหลือจากนายเหมือนกัน ฉันต้องกลับไปที่หมู่บ้านสักพัก เลยจะขอนั่งรถนายกลับไปด้วย นายขับรถดีๆ หน่อยนะ”
เย่ฉางอันรับปากทันที
“ถ้าเธอว่างก็มากินข้าวที่บ้านฉันนะ ฉันจะทำอาหารจานเป็ดมาเลี้ยงเธอ”
“ไม่ต้องรอให้ว่างหรอก คืนนี้ฉันก็ไปได้แล้ว”
เย่ฉางอันเห็นหล่อนเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เสแสร้ง เขาก็รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง
“ยัยอ้วน สมกับเป็นเธอจริงๆ”
“งั้นวันนี้ฉันจะไปซื้อเนื้อวัวมาสองชั่ง รับรองว่าจะทำให้เธอกินอย่างมีความสุขและพอใจ กินอิ่มแล้วก็ยังอยากกินอีกไปเลย”
หยางอวี้เจินลูบคาง “ถ้ากินแล้วยังอยากกินอีกจริงๆ จะทำยังไงล่ะ?”
เย่ฉางอันไม่รู้จะทำอย่างไร หรือจะให้หล่อนไปเรียนทำอาหารกับพ่อแม่ของเขาดี?
แต่พ่อแม่ของเขาก็ยุ่งมาก คงไม่มีเวลาสอนหล่อนหรอก
“ถ้าเธออยากกินก็มาได้เลย” เย่จื้อผิงพูดล่วงหน้า
โชคดีที่เขาพูดดักไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นเย่ฉางอันก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี
“ฉางอัน เหลือแค่สองลูกแล้ว กลับบ้านกันไหม? รีบกลับบ้านไปทำอาหารกันเถอะ”
“ไม่ได้หรอก ทำอะไรต้องทำให้เสร็จสิครับ ช่วงบ่ายแบบนี้ยังขายดีอยู่นะ”
“เหลือแค่สองลูกแล้ว คงไม่นานหรอก”
เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ ผ่านไปครึ่งชั่วโมง แตงโมก็ถูกขายหมดแล้ว
เย่ฉางอันมีความซื่อสัตย์มาก เขาใช้เงินไปซื้อเนื้อวัวสองชั่ง ซึ่งราคาตอนนี้ค่อนข้างแพง
หยางอวี้เจินกลับรู้สึกเกรงใจ “แพงขนาดนี้ ทำให้นายต้องเสียเงินเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก บ้านฉันตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เดี๋ยวไปที่บ้านฉันแล้วจะรู้เอง”
หยางอวี้เจินถอนหายใจ “ช่วงนี้คุณย่าของฉันไม่ค่อยสบาย ได้ยินจากน้าชายว่าท่านคิดถึงพวกเราเป็นพิเศษ”
“พ่อแม่ของฉันก็กลับมาจากตำบลแล้ว ฉันเลยต้องกลับไปอยู่สักพัก”
“อ้อจริงสิ ได้ยินว่าหยางจิ่นลูกชายของน้าชายฉัน เรียนอยู่กับน้องชายของนายด้วยนะ”
“ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ…” เย่ฉางอันปีนขึ้นรถ พูดกับหล่อนว่า “เธอขึ้นรถเองได้ไหม? ขึ้นอีกด้านนะ ฉันจะช่วยดึงเธอขึ้นมา”
หยางอวี้เจินไม่ใช่คนอ่อนแอ หล่อนกระโดดขึ้นรถอย่างคล่องแคล่ว
“คืนนี้เธอจะพักที่บ้านคุณอาใช่ไหม?”
“บ้านเก่าของเธอดูเหมือนสภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยดี ถ้าอย่างนั้นมาพักที่บ้านฉันไหม พวกเราจะได้พูดคุยถึงเรื่องเก่าๆ ด้วย”
“แถมบ้านฉันยังมีห้องรับแขกว่างอีกห้องด้วยนะ”
หยางอวี้เจินมองเย่ฉางอันด้วยสายตายิ้มๆ
เย่จื้อผิงบ่นจากเบาะหลังว่า “ไอ้เด็กบ้า พูดอะไรของแก ผู้หญิงเขาจะมาพักค้างคืนกับแกได้ยังไง แกไม่อายเหรอ?”
หยางอวี้เจินกลับไม่สนใจ “คุณอา คุณเข้าใจเขาผิดแล้วค่ะ เขาไม่ได้มองฉันแบบนั้นหรอก”
“คงคิดว่าฉันยังเป็นเพื่อนสนิทที่เคยเรียกกันว่าพี่น้องเหมือนสมัยก่อน”
เย่ฉางอันเกาหัวแกรกๆ “ใช่แล้ว ตอนนี้ผมมีฐานะดีขึ้น ก็ต้องชวนพี่น้องมาสัมผัสชีวิตที่ดีบ้างสิ”
หยางอวี้เจินเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินว่าพี่ชายนายแต่งงานแล้ว เขาแก่กว่านายแค่สองปีเอง คงมีคนมาทาบทามนายเยอะเหมือนกันสินะ”
“นายคงไม่ได้มีแฟนแล้วเตรียมจะแต่งงานใช่ไหม?”
เย่จื้อผิงเปิดเผยความลับของลูกชายอย่างไม่ไว้หน้า “เขาน่ะเหรอ? ยังไม่รู้จักผู้หญิงสักคนเลย จะมีแฟนแต่งงานได้ยังไง?”
“นั่นมันยากมากเลยนะ”
หยางอวี้เจินมองดูเย่ฉางอันที่กำลังเตรียมออกรถ หล่อนไม่ได้พูดอะไร แต่ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มเปล่งประกาย
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชะตาดอกท้อของฉางอันมาถึงแล้วหรือเปล่าน้า แต่ทำไมเจ้าหนุ่มนี่ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย?
ไหหม่า(海馬)
…………….