ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย - บทที่ 201 บุกเบิกที่ดินรกร้าง ปลูกผักฤดูหนาว
- Home
- ซาลาเปาตัวน้อย ทะลุมิติมามีระบบทำฟาร์มยุค 70 จนร่ำรวย
- บทที่ 201 บุกเบิกที่ดินรกร้าง ปลูกผักฤดูหนาว
บทที่ 201 บุกเบิกที่ดินรกร้าง ปลูกผักฤดูหนาว
…………….
บทที่ 201 บุกเบิกที่ดินรกร้าง ปลูกผักฤดูหนาว
ในชั่วพริบตา บนถนนในหมู่บ้านก็มีผู้คนวิ่งขวักไขว่ไปทั่ว
ภาพที่เห็นช่างดูคึกคักและวุ่นวาย
หลี่ชุ่ยชุ่ยกำลังลอกเปลือกถั่วที่แช่น้ำไว้อยู่ที่บ้าน
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบตรงเข้ามา หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมอง
ปรากฏว่าเป็นเย่จื้อผิง
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าวิ่งกลับบ้านมาในชั่วอึดใจเดียว
หลี่ชุ่ยชุ่ยถึงกับตกใจ “โอ้โห! เกิดอะไรขึ้นคะ? มีเรื่องใหญ่อะไรหรือ?”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เร็ว…รีบเอาจอบไปขุดที่ดินรกร้างบนภูเขากับผมกันเถอะ!” เย่จื้อผิงพูดพลางหายใจหอบ
ปกติแล้วเมื่อเย่หวายอ่านหนังสืออยู่ที่บ้าน เขาจะไม่รบกวน แต่วันนี้เขากลับไปเรียกเย่หวายมาด้วย
รวมถึงหลิวเยว่และเย่เสี่ยวจิ่น ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ที่บ้านเลย
แม้แต่เสี่ยวฮุยฮุยก็ยังวิ่งตามมาด้านหลัง
ทั้งครอบครัวรีบร้อนอย่างกระตือรือร้นมุ่งหน้าไปยังภูเขา
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“บุกเบิกที่ดิน!” เย่จื้อผิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้พวกเขาฟัง “ผมวางแผนไว้หมดแล้ว จิ่นเป่าเคยบ่นอยากจะบุกเบิกที่ดินมาก่อน ตอนนี้ยังมีที่ดินเหลืออีกเยอะเลย”
“แต่ก่อนที่นั่นเป็นที่ดินของหมู่บ้าน แต่ดินไม่ค่อยอุดมสมบูรณ์ ถ้าเราจัดการดีๆ ได้คาดว่าบ้านเราจะมีพืชผักครบครันเลยทีเดียว”
หลี่ชุ่ยชุ่ยฟังแล้วรู้สึกดีใจมาก
พวกเขาวิ่งเหยาะๆ มุ่งหน้าไปยังภูเขาทันที ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะลงมือก่อน
เย่เสี่ยวจิ่นเดินตามหลังไป ได้ยินเพียงคำว่าที่ดินส่วนตัว ที่ดินบุกเบิกใหม่
แม้จะไม่เข้าใจความหมายแน่นอน แต่เธอเก่งเรื่องขุดดินมาก เพราะมีเครื่องมือที่ใช้งานง่าย
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นเย่จื้อเฉียงรีบร้อนขึ้นภูเขาไป จึงรู้สึกสงสัย
“วันนี้แปลกจริงๆ เมื่อครู่เห็นครอบครัวจื้อผิงถือจอบขึ้นไปบนเขา”
“ตอนนี้ก็เห็นจื้อเฉียงไปทางภูเขาอีก”
“หรือว่าเจอรังตัวอ้น* พวกเขาจึงขึ้นเขาไปขุดตัวอ้นกัน?”
(*สัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่ง รูปร่างคล้ายหนู แต่ตัวใหญ่กว่ามาก มักขุดรูทำรังอยู่ใต้ดิน)
เขากินข้าวไปพลางนั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์
“ทำอะไรไร้สาระพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร อยู่บ้านจักตอกไม้ไผ่ให้มากกว่านี้ยังจะดีกว่า”
เขาพูดพลางรินน้ำร้อนใส่แก้ว
พอเห็นหลี่กุ้ยฮวาขึ้นเขาไปด้วย เขาก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมาในที่สุด “พี่สะใภ้ใหญ่ ขึ้นเขาไปทำอะไรหรือ?”
“ไม่มีอะไรหรอก!” หลี่กุ้ยฮวาตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “เสี่ยวจู๋ รีบเดินเร็วๆ หน่อย อย่ามัวแต่โอ้เอ้”
เย่จู๋ก้มหน้าเดินตามหลังแม่อย่างรีบร้อน
“แม่คะ พวกเราปิดบังอารองแบบนี้มันดูไม่เหมาะนะคะ?”
“นังโง่ ในหัวแกคิดอะไรอยู่กันแน่?” หลี่กุ้ยฮวาจิ้มศีรษะเย่จู๋อย่างหงุดหงิด “ที่ดินรกร้างมีแค่นี้ ถ้าพวกเขาไปจับจองกันหมดแล้ว พวกเราจะทำยังไง?”
เย่จู๋ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ในหมู่บ้านมีคนมากแต่ที่ดินมีน้อย
ครอบครัวของเย่จื้อผิงไม่โลภมาก
พวกเขาตั้งใจถางที่ดินแค่ในหุบเขาวัวเท่านั้น
ครั้นกลับมาบ้านตอนค่ำก็ไม่พบที่รกร้างว่างเปล่าแห่งอื่นเลยสักแปลง!
ครอบครัวของพวกเขานับว่าบุกเบิกที่ดินได้ดีที่สุดแล้ว
เพราะที่ดินทั้งหมดในหุบเขาวัว รวมถึงที่บุกเบิกวันนี้ ล้วนต่อกันเป็นผืนเดียวกันทั้งหมด
ไม่เหมือนบางคนที่บุกเบิกทีละนิดๆ ทางฝั่งนู้นทีฝั่งนี้ที
สุดท้ายก็ทำให้เกิดข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน
ครอบครัวเย่จื้อเฉียงก็บุกเบิกที่รกร้างได้สองแปลง
แต่พื้นที่ตรงนั้นเคยเป็นที่ลุ่มทำนาเลี้ยงปลามาก่อน สภาพดินจึงเป็นโคลนตมทั้งหมด รากหญ้าเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง หนาเป็นชั้นใหญ่
อีกทั้งน้ำใต้ดินยังซึมออกมาไม่ขาดสาย จึงไม่ง่ายที่จะจัดการ
แถมยังเหนื่อยจนแทบขาดใจ
เมื่อเย่จู๋กลับถึงบ้าน เท้าของหล่อนก็โดนใบหญ้าบาดจนเป็นรอยแดงๆ เต็มไปหมด
หลี่กุ้ยฮวารู้สึกสงสารลูกสาว จึงต้มน้ำร้อนและเรียกหล่อนไปอาบน้ำเกลือ เพื่อป้องกันไม่ให้คันคะเยอ
เย่จื้อเฉียงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ขากางเกงทั้งสองข้างเต็มไปด้วยโคลน “เหนื่อยเหลือเกิน เดี๋ยวลองดูจากวันนี้จนถึงพรุ่งนี้สิ ในหมู่บ้านคงไม่มีที่ดินรกร้างเหลืออยู่แล้ว”
“บ้านพี่ใหญ่ถือว่าฉลาด พวกเขาได้ที่ดินอย่างน้อยตั้ง 78 แปลง แถมยังเป็นที่ดอนอีก ดีกว่าของพวกเราตั้งเยอะ”
หลี่กุ้ยฮวาตบหัวเขาทีหนึ่ง “แล้วใครใช้ให้คุณไม่ไปจัดการที่หุบเขาวัวล่ะ”
“โอ๊ย ผมวิ่งไม่ทันเขานี่” เย่จื้อเฉียงยักไหล่ “มีนาข้าวขนาดใหญ่สองแปลงก็ดีแล้ว เอาไว้ทำเป็นบ่อปลาก็ได้”
หลี่กุ้ยฮวาคิดดูก็เห็นว่าเป็นเหตุผลที่ดี
“เหลือแต่น้องรองนั่นแหละโง่ที่สุด ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง”
“ชอบคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าคนอื่น แต่กระทั่งขี้ร้อนๆ ก็ไม่ได้กินสักนิด”
หลี่กุ้ยฮวาแค่นหัวเราะเย็นชา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูก “คราวนี้พวกเขาไม่ได้อะไรเลย ไม่รู้ว่าจะหน้าแตกหมอไม่รับเย็บขนาดไหน”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
กล่าวถึงครอบครัวของเย่ไฉกุ้ย
ตอนนี้เขานั่งอยู่หน้าบ้าน หัวเราะเยาะคนอื่นที่วุ่นวายไปมาว่าเป็นคนโง่
เย่ว่านหยวนเพิ่งกลับมาจากการไปเรียนรู้เทคนิคการเผาอิฐจากข้างนอก พักสองวันก็จะออกไปอีก
“พ่อ พวกเขานี่โง่กันจริงๆ ถึงกับไปขุดที่ดินที่ไม่มีใครต้องการกันทั่ว”
“เมื่อก่อนมีคนอื่นบุกเบิกไปแล้ว หันกลับมาอีกทีก็ถูกทีมผลิตยึดไป คนพวกนี้นี่โง่กันทั้งนั้น”
เซี่ยวเฟินฟางหัวเราะพลางพูดว่า “ใช่แล้ว พวกเขาโง่จริงๆ ที่คิดว่าไปถางที่ดินแล้วมันจะกลายเป็นของตัวเองได้”
ทุกคนต่างหัวเราะ
จนกระทั่งเซี่ยหลินกลับมาจากข้างนอก
“ภรรยา พวกคุณรีบมาดูสิ มีคนโง่มากมายกำลังทำงานอยู่”
เซี่ยหลินตบหน้าเย่ว่านหยวนเต็มแรง แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แต่ฉันว่าคุณนั่นแหละที่โง่ พวกคุณทั้งครอบครัวไม่ออกไปสอบถามข่าวคราวบ้างเลยหรือไง?”
“ตอนนี้กฎเปลี่ยนไปแล้ว ที่ดินที่บุกเบิกทั้งหมดสามารถครอบครองใช้เองได้ ไม่มีกำหนดเวลา แถมยังแบ่งที่ดินตามครัวเรือนด้วยนะ”
“พวกคุณคงไม่ได้ใช้เวลาทั้งวันนั่งดูคนอื่นทำงานแล้วหัวเราะเยาะเขาใช่ไหม?”
สีหน้าของเย่ว่านหยวนเปลี่ยนไป
เย่ไฉกุ้ยก็นั่งไม่ติดเช่นกัน “อะไรนะ? ที่ดินที่บุกเบิกสามารถใช้เองได้ตลอดเลยเหรอ?”
เซี่ยวเฟินฟางพลันรู้สึกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไปเล็กน้อย “โอ๊ย…นี่โกหกกันใช่ไหมเนี่ย ถ้าเป็นเรื่องจริง พวกเราคงเสียโอกาสครั้งใหญ่แล้ว!”
“มันต้องเป็นเรื่องจริงแน่ๆ” เย่ไฉกุ้ยส่ายหน้า “ไม่แปลกเลยที่วันนี้พี่ใหญ่กับน้องสามรีบร้อนขึ้นเขาไปขุดดินกันขนาดนั้น ไอ้พี่น้องเวรสองคนนี่มีเรื่องดีๆ ก็เก็บงำเอาไว้คนเดียว ฉันล่ะอยากจะเอายาเบื่อหนูไปวางจริงๆ”
“อย่าพูดแบบนั้นสิครับ ไม่น่าถึงขนาดนั้นหรอก” เย่ว่านหยวนรีบพูด “พรุ่งนี้เช้าค่อยไปดูว่ายังมีที่ดินรกร้างตรงไหนบ้าง พวกเราก็ไปหาเอามาบ้าง”
เย่ไฉกุ้ยนั่งไม่ติด “ไม่ต้องรอถึงกลางคืนหรอก ฉันจะไปดูเดี๋ยวนี้เลย”
ยามค่ำคืนมืดมิดท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเย็น เย่ไฉกุ้ยออกไปวิ่งอยู่สองชั่วโมงเต็มๆ
พอกลับมา สีหน้าของเขาก็ดำมืดไปหมด
“ไม่เหลืออะไรเลย”
“โอ๊ย!” เย่ไฉกุ้ยหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “ฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว! บ้านพี่ใหญ่น่ะไม่มีทางทำอะไรโง่ๆ หรอกถ้าไม่ได้ผลประโยชน์อะไร”
ที่ดินในยุคนี้มีค่ามากนัก
ไม่มีใครมีที่ดินเป็นของตัวเอง การแบ่งที่ดินบุกเบิกระยะยาวและที่ดินส่วนตัวนี่แหละคือทรัพย์สินของแต่ละครอบครัว
เย่ไฉกุ้ยกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด
เซี่ยวเฟินฟางก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
หล่อนไม่รู้อะไรทั้งสิ้น รู้สึกเพียงว่าเจ็บปวดใจเหลือเกิน
เหตุการณ์นี้ทำให้บางคนดีใจ บางคนเป็นทุกข์
ครอบครัวของเย่จื้อผิงทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ไม่ได้กินอาหารทั้งมื้อเช้าและมื้อเย็น ทำงานอย่างหนักจนเสร็จทุกอย่างแล้วจึงได้กลับบ้าน
ไม่ต้องพูดถึงคนเลย แม้แต่สุนัขก็หิวจนลิ้นห้อยแล้ว
หลี่ชุ่ยชุ่ยรีบไปก่อไฟทำอาหาร
หลิวเยว่ไปเด็ดฟักทองมาหั่นแล้วนึ่งกิน
เย่จื้อผิงหยิบเนื้อตากแห้งที่ล้างสะอาดแล้วออกมาจากโถเก่า
หลี่ชุ่ยชุ่ยเห็นสภาพนี้ก็รีบพูดว่า “นี่มันดึกดื่นขนาดไหนแล้ว คุณยังมีกะจิตกะใจมาผัดเนื้อแดดเดียวกินอีกเหรอ? กินอะไรง่ายๆ ไปก็พอแล้ว”
“ทั้งครอบครัวของเราหิวไส้กิ่วจะตายอยู่แล้ว ยังต้องรอผัดเนื้อแดดเดียวของคุณอีกเหรอ?”
“วันนี้เป็นวันดีของครอบครัวเรา จะกินอะไรง่ายๆ ได้ยังไง?” เย่จื้อผิงไม่ยอมฟังภรรยา หยิบมีดมาแล่เนื้อแดดเดียวเป็นแผ่นบางๆ
หลิวเยว่ไปล้างพริกแห้งให้เงียบๆ
หลี่ชุ่ยชุ่ยนึกขึ้นได้ว่ายังมีถั่วเหลืองสดของวันนี้ด้วย หล่อนก็ลงไปตักขึ้นมาหนึ่งชาม
เย่จื้อผิงผัดถั่วเหลืองสดกับเนื้อแดดเดียวจนเป็นสีทองอร่ามชุ่มไปด้วยน้ำมัน พร้อมกันนั้นก็นำฟักทองไปนึ่งด้วย
เย่เสี่ยวจิ่นยัดของอีกสองสามชิ้นเข้าไปในซึ้ง
ไม่นานอาหารก็เสร็จเรียบร้อย
เย่เสี่ยวจิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ หิวจนตาลาย
เธอประคองชามไว้ พูดว่า “พ่อ ถ้าพ่อทำช้ากว่านี้ หนูจะหิวตายแล้วนะคะ”
เย่จื้อผิงหัวเราะลั่น คีบเนื้อแดดเดียวชิ้นหนาๆ ให้เธอ
“กินเลย กินเยอะๆ วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมาก จิ่นเป่าก็ถูกพาไปทำงานในทุ่งด้วย”
“พ่อเลยผัดเนื้อแดดเดียวมาให้เป็นกระทะใหญ่ๆ คืนนี้ต้องกินให้หมดนะ”
“ถ้าใครกินเหลือ พ่อจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
เย่หวายหัวเราะ “พ่อ นี่มันเป็นการบังคับคนอื่นนะ”
“ทำงานหิวไส้แห้งขนาดนี้ ต้องกินเนื้อเยอะๆ สิถึงจะชดเชยได้”
ทุกคนต่างลงมือกินผัดเนื้อแดดเดียวกัน
ผัดเนื้อแดดเดียวชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำมัน พอคีบลงข้าวก็ซึมลงในเม็ดข้าว ทำให้ข้าวสวยหอมฟุ้งน่ารับประทานยิ่งขึ้น
เย่เสี่ยวจิ่นกินอย่างเอร็ดอร่อย คีบข้าวและกับข้าวเข้าปากทีละคำใหญ่ๆ
ฟักทองนึ่งถูกหั่นเป็นชิ้น โรยน้ำตาลลงไปเยอะมาก
ลำพังตัวมันเองหวานพออยู่แล้ว พอใส่น้ำตาลเข้าไปอีกก็ยิ่งหวานขึ้นไปอีก
เนื้อสัมผัสเหนียวนุ่ม กินทีละคำใหญ่ๆ
เย่เสี่ยวจิ่นกินฟักทองหนึ่งชิ้นสลับกับข้าวหนึ่งคำ ไม่นานก็อิ่มจนท้องป่องแล้ว
“พี่รองนี่จริงๆ เลย ถ้าวันนี้เขาไม่ไปหมู่บ้านข้างๆ พวกเราคงจะได้กลับบ้านเร็วกว่านี้”
เย่จื้อผิงก็คิดเช่นเดียวกัน “พ่อแค่ได้ยินเรื่องที่ดินส่วนตัว ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องการบุกเบิกที่ดินด้วย ไม่งั้นคงบอกให้เขาอยู่แน่ๆ”
“แต่ก็ดีนะที่มีพวกเราหลายคนจัดการเสร็จกันหมดแล้ว”
เขาคิดสักครู่ “นี่ก็เดือนพฤศจิกายนแล้ว ถึงจะบุกเบิกที่ดินได้ แต่จะปลูกอะไรได้อีกล่ะนอกจากหัวไชเท้า?”
ทันใดนั้น ทุกคนก็เริ่มครุ่นคิดกัน
ดูเหมือนจะไม่มีอะไรที่ทนความหนาวเย็นของฤดูหนาวได้
เย่เสี่ยวจิ่นคิด มองดูคลังเมล็ดพันธุ์พืชที่เต็มไปหมดของเธอ
เธอถามในใจ “ระบบ มีผักอะไรบ้างที่ปลูกในฤดูหนาวได้? ฤดูหนาวที่นี่อุณหภูมิต่ำสุดน่าจะติดลบหลายองศา อย่าให้ผักต้องเฉาตายเพราะความหนาวเย็นเลย”
ระบบตรวจสอบคลังอย่างรวดเร็ว
[แนะนำให้โฮสต์ปลูกกะหล่ำปลี ผักกวางตุ้งดอกไม้ไฟ ผักกาดเขียว ปวยเหล็ง และผักชี พวกมันเป็นผักที่ทนความหนาวได้ปานกลาง สามารถทนอุณหภูมิต่ำถึงลบ 8 องศาได้ การปลูกที่นี่จึงไม่มีปัญหาอะไร!]
ฤดูหนาวในหมู่บ้านของเย่เสี่ยวจิ่นมีอุณหภูมิต่ำสุดถึงขั้นติดลบอยู่ไม่กี่วัน อย่างมากก็สิบกว่าวัน ถือว่าไม่นานมาก
ผักที่สามารถปลูกได้จริงๆ แล้วมีค่อนข้างมาก
แต่เนื่องจากเธอต้องการผักที่ทนอุณหภูมิติดลบได้ ระบบจึงแนะนำผัก 5 ชนิดที่ทนความหนาวเย็นได้มากที่สุด
เย่เสี่ยวจิ่นคิดแล้วจึงเล่าเรื่องผัก 5 ชนิดนี้ให้คนในครอบครัวฟัง
เย่จื้อผิงรู้จักเพียงกะหล่ำปลีกับผักชีเท่านั้น ส่วนอีกสามชนิดที่เหลือเขาไม่รู้จักเลย
“ถ้าเป็นไปได้ พวกเราก็เริ่มเพาะเมล็ดได้ในอีกไม่กี่วันนี้แล้วน่ะสิ”
“ปลูกไว้ก่อนดีกว่า เดี๋ยวคนอื่นจะมาจับจองไปก่อน”
เย่เสี่ยวจิ่นพยักหน้า “งั้นก็ได้ค่ะ เราปลูกปวยเหล็งในที่ที่เคยปลูกมันเทศไว้ก่อนหน้านี้ไปทั้งหมดเลยแล้วกัน หนูชอบกินผักชนิดนี้”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บ้านรองเย่มัวแต่ชักช้า เป็นไงล่ะ ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเองอยู่บ้านเดียว
ไหหม่า(海馬)
…………….