ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 72 ภาค 2 บทที่ 2 ออโรร่ากับโพยมหัศจรรย์
- Home
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 72 ภาค 2 บทที่ 2 ออโรร่ากับโพยมหัศจรรย์
พิธีอันยิ่งใหญ่ได้ดำเนินต่อไป ยามเมื่อดาบในมือของผม ดาบแห่งนักบุญแห่งเรสเวนน่าได้สัมผัสเข้ากับบ่าของซิลวี่ เสียงแตรและเสียงสวดก็ตั้งกึกก้องผสานกัน ถ้อยคำอันงดงามที่สอดคล้องลงตัวกับเครื่องดนตรี ทำให้รู้สึกราวกับมีเหล่าเทพมาอวยพรอยู่เคียงข้าง
“ข้าในนามนักบุญผู้ได้รับอำนาจอันยิ่งใหญ่จากพระผู้เป็นเจ้า ความกล้าของเจ้าก็เปรียบดั่งความกล้าของข้า ความภักดีของเจ้าก็เปรียบดั่งความศรัทธาของข้าต่อพระองค์ผู้สูงส่ง”
ผมกล่าวไปเรื่อย ๆ ตามบทที่เหล่านักบวชได้เขียนเอาไว้ให้ แน่นอนว่าใครมันจะไปจำอะไรได้ยาวขนาดนั้น แต่ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นผิดหวังโดยเฉพาะซิลเวียที่เป็นคนรับตำแหน่ง ในฐานะเพื่อนรักแล้วผมไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นเด็กขาด
“จงสู้รบด้วยความซื่อสัตย์ ความดีงาม และความศรัทธา หากตัวเจ้ายอมรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้แล้วตัวเราขอ….”
งานงอกแล้วไง……
ผมพยายามบิดหมุนดาบไปมา สายตาก็หรี่อย่างหนักเพื่อพยายามมองหาสิ่งที่เป็นดั่งความตั้งใจทั้งหมดทั้งมวลของผมในพิธีนี้ ใช่ มันคือความตั้งใจ ความมุ่งมั่นและความสำเร็จ เป็นสิ่งที่จะการันตีถึงชัยชนะและความสำเร็จอย่างแน่นอน…..
โพย!!
ตั้งแต่วันก่อนที่รู้ว่าตัวเองต้องกล่าวสุนทรพจน์ยาวเหยียดแน่นอนว่าผมพยายามแล้ว แต่มีเหรอที่หนังสือมันจะเข้าหัวได้โดยวิธีวันไนท์มิราเคิล ไม่มีทางหรอกน่าแบบนั้นมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นผมจึงทำอะไรที่มันแน่นอนและการันตีกว่าอย่างการมานั่งจดโพยก่อนสอบ เอ้ย ก่อนอวยพร
แน่นอนการจดโพยแบบธรรมดานั้นมีเหรอที่ยอดนักบุญที่ฝึกปรือฝีมือมาแล้วอย่างดีจะทำกัน ด้วยความศรัทธาในตัวพระเจ้าอย่างมากมายกว่าใครเพื่อน แน่นอนว่าผมต้องใช้พลังของ พระองค์ ในการจดบันทึก คำภาวนา ลงไปอยู่แล้วไม่มีพลาด
“ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ของท่านผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอน้อมนำคำสอนแห่งท่านเพื่อชี้ทางในยามมืด โปรดเปล่งประกายเป็นดั่งแสงอันนำทางให้แก่ข้าในยามมืดมนแลดวงตามืดบอดด้วยเถิด”
เพียงแค่นี้ตัวอักษรที่สลักด้วยพลังแห่งศรัทธาก็พร้อมจะส่องสว่างไล่เรียงบทพูดที่ผมต้องใช้ทั้งหมดในงานพิธีลงตัวดาบ และแน่นอนว่าผมไม่ประมาท เกิดมีใครเห็นโพยของผมก่อนวันงานเช่นนักบวชขี้เมาเผลอร่ายเวทศักดิ์สิทธิ์ใส่ดาบไม่ก็คนบ้างานที่อยากจะตรวจดาบขึ้นมากะทันหัน มันคงจะแย่เพราะฉะนั้นผมจึง….
ยัดภาษาไทยลงไปในดาบแทน ใช่แล้ว ภาษาไทย ภาษาที่มีแต่ผมเท่านั้นที่อ่านออกในโลกนี้ ดังนั้นต่อให้จะเอาท่านนักบวชเทพซ่าแค่ไหนมาใช้พลัง ต่อให้เจ้าอักษรพวกนี้สว่างก็ไม่มีใครอ่านออกเด็ดขาดแล้วขึ้นชื่อว่าความไม่รู้ของคนเรามันช่างแสนยิ่งใหญ่ ทุกคนก็จะคิดไปเองทันทีว่าผมใช้ภาษาแห่งเทพสลักลงไปเพื่ออวยพรให้กับซิลวี่เพื่อนรัก
และแผนมันก็ดำเนินมาเป็นอย่างดีไร้ข้อผิดพลาดใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสลักคำได้ทั้งเล่มดาบหรือพวกนักบวชที่มาตรวจสอบดาบก่อนเข้าพิธีแล้วพบภาษาไทยที่เรืองแสง พอเห็นแบบนั้นไอ้ผมก็นึกว่าแผนแตกที่ไหนได้ ชื่นชมผมกันเต็มไปหมด
“สมเป็นท่านนักบุญ สลักอักษรแห่งพระเจ้าไว้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เพื่อผู้พิทักษ์ จะต้องเป็นงานที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”
ไม่ก็
“เหล่าสาวกทราบเรื่องพวกนี้จะต้องซาบซึ้งที่ท่านแบ่งปันความรู้แห่งเทพที่ควรมีแต่นักบุญเท่านั้นที่เห็นให้แก่พวกเขาอย่างแน่นอน”
ความรู้แห่งเทพเจ้านี่มันอะไรกัน อ่านหนังสือมาหลายปีไม่เคยเห็น นี่พวกท่านนักบวชมั่วถั่วขึ้นมาเพื่อตามน้ำเหรอเปล่า แต่เรื่องนั้นใครสน เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรอดล่ะน่า
ใช่ มันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่แล้วทำไม แล้วทำไมกันล่ะ
ผมที่พยายามมองอักษรแสงที่สลักในดาบของตัวเอง แน่นอนว่าพลังของผมมันยังทำงานแต่ปัญหาคือเจ้ากระจกที่อยู่ด้านหลัง
ใช่แล้วเจ้ากระจกโมเซจสุดหรูประกอบฉากที่อยู่ด้านหลังมันดันพาแสงหลากสีมาถมอักษรแสงของผมซะบังมิด แถมไอ้แสงสีรุ้งนี่มันก็ดันสะท้อนเข้าหน้าซะจนแสบตาเสียเหรอเกิน
มันจ้าซะเหลือเกิน!!!! จ้องไปนาน ๆ ตามันจะบอดเอาไหมเนี่ย
แล้วใครใช้ให้ตำแหน่งที่ผมยืนมันดันมาตรงกับตรงนี้กันน่ะ ถึงจะเข้าใจว่าอยากให้บรรยากาศรอบตัวนักบุญมันดูขลังและทรงพลังแต่ถามสุขภาพนักบุญสักคำไหมว่าอยากเหรอเปล่า
ไม่สิ ตามหลักการแล้ว เวลานี้แสงมันไม่ควรจะส่องมาตรงนี้นี่หว่า.. ต้องใช่แน่ ๆ มันต้องเป็นฝีมือของเจ้าหมอนั่น เจ้า… ไม่ได้ ๆ ขันติออโรร่า ขันติ เดี๋ยวเผลอพูดอะไรแปลก ๆ กลางงานซิลวี่ได้ทำงานล่มก่อนพอดี
“อัล?”
สงสัยผมจะพยายามมองโพยมากไปหน่อย ทำให้ซิลวี่เริ่มเห็นอาการผิดปกติบางอย่างของผม แน่นอนผมจะให้เธอรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าตัวเองพึ่งโพยอยู่ ขืนรู้ล่ะก็ซิลวี่จะต้องผิดหวังอย่างหนักแน่นอน
“ตะ..ตัวข้าขอวิงวอนให้พระองค์ท่าน…อึย”
งานงอกแล้วไง นี่มันพูดประโยคซ้ำนี่นา ดันเสียจังหวะจนไปเผลออ่านบรรทัดซ้ำซะได้ แบบนี้งานเข้าสุด ๆ ซวยแล้วไง ซวยแล้ว ๆ
สงสัยความกังวลผมมันจะหนักไปจนมือสั่นเหงื่อแตกอย่างชัดเจน ทำให้ตอนนี้ผู้คนทั้งหลายเริ่มมองมาที่ผมอย่างเป็นกังวลกับอาการของผม เริ่มมีเสียงพูดคุยกันมาเรื่อย ๆ
“อาการท่านนักบุญดุแปลก ๆ .. ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ๆ”
“ท่านเพ่งอักษรศักดิ์สิทธิ์แล้วก็เงียบไปเหรอว่า…”
“ท่านเริ่มไม่พูดตามพิธีที่ควรเป็น มันมีอะไรเกิดขึ้นเหรอเปล่า”
แย่แล้วไง พวกเขากำลังเริ่มคิดในแง่ร้ายแล้วแน่นอน ต้องคิดว่าซิลเวียมีปัญหาเลยทำให้ผมหยุดชะงัก ดูสิ ซิลวี่เริ่มมองผมด้วยสายตาเป็นกังวลแล้วด้วย ฮือ ขอโทษนะ ผมดันลืมข้อความแสนสำคัญในงานแบบนี้ซะได้
ต้องพูด… ต้องพูดอะไรสักอย่าง
“โอ้ดูสิ ยามอักษรแห่งสวรรค์ได้ปรากฏ แสงสีรุ้งแห่งฝากฟ้าได้สาดส่อง นิมิตหมายแห่งพระเจ้าได้ถูกส่งให้กับท่านนักบุญในเวลาแห่งการขึ้นสู่การเป็นผู้พิทักษ์ ช่างเป็นอะไรที่ดีเยี่ยงนี้”
จู่ ๆ เฮียหน้ากากเงินที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกนร้องขึ้นมาขัดจังหวะเรียกความสนใจของทุกคนไปทางเขา เขานั้นมองไปที่กระจกและผายมือออกมาทางผม
“สวรรค์กำลังส่งข้อความอันดีงามให้ราวกับยินดีในพิธีเช่นนี้ ท่านนักบุญกำลังสดับฟังพวกเจ้าทั้งหลายอย่าคิดจะรบกวน”
คนดี… นี่มันคนดีชัด ๆ เขาต้องรู้แน่นอนว่าผมกำลังมีปัญหาเลยคิดช่วย ขอบคุณนะเฮียหน้ากากเงิน เอ… ถ้าจำไม่ผิดจะชื่อว่า รูดอล์ฟ… ผู้ไต่สวนทางศาสนา รูดอล์ฟนี่นา
ว่าแต่เหตุผลแบบนี้มันจะยอมรับได้เหรอคุณพี่ ไอ้เหตุผลว่าพระเจ้ากำลังส่งข้อความแบบนี้ มันจะไม่มักง่ายไปหน่อยเหรอ ใครมันจะไปเชื่อง่าย ๆ กัน
“โอ้เป็นเช่นนี้ ๆ”
“นั่นสินะ พิธีของนักบุญที่เก่งกาจที่สุดจะไปเหมือนกับพิธีทั่วไปได้อย่างไร”
“เสียงแห่งสวรรค์ไม่ใช่ว่าจะฟังง่าย ๆ ไม่เคยมีใครได้ยินอย่างชัดแจ้งมาก่อน ท่านต้องกำลังพยายามแปลเสียงอันยิ่งใหญ่นั้นแน่นอนเลย”
“สมกับเป็นท่านออโรร่า”
มันยอมรับง่าย ๆ เลยวุ้ย!!!
นี่ผมต้องชมใครก่อนระหว่างเฮียหน้ากากที่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี่ได้หรือว่าพวกคนอื่นที่เชื่อง่าย ๆ แบบนี้
“อย่าฝืนมากไปนะคะ อัล”
ซิลวี่ที่ก้มหน้าอยู่ได้เงยหน้าขึ้นมาพร้อมทั้งยิ้มให้ผมด้วยรอยยิ้มราวกับเจ้าชายยิ้มปลอบองค์หญิง มันทำผมรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง…
ไม่ได้เราต้องทำงานนี้ให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ซิลวี่ต้องผิดหวัง… ในเมื่อพึ่งโพยไม่ได้ล่ะก็ งานนี้ดำน้ำมันไปเลยก็แล้วกัน
ต้องใช้มุกเดิม เอาล่ะเจ้าพระเจ้าบ้าเอ๋ย งานนี้ขอใช้นายให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อยากมาแกล้งกันดีนัก งั้นขอจัดเต็มที่กับเขาเลยก็แล้วกันนะ เอาเป็นว่าหักเลี้ยวเข้าให้ซิลวี่เป็นยอดผู้พิทักษ์ไปเลยแล้วกันจบ ๆ !!!
“ตัวข้าขอวิงวอนแด่พระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เมตตาอารีเหนือใคร ผู้เฝ้ามองพวกเราด้วยความปีติยินดี ตัวท่านผู้รักในผองเราทั้งมวล ในนามแห่งสวรรค์ขอมอบพลังศักดิ์สิทธิ์และเกียรตภูมิแห่งผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์ให้แก่สาวกผู้ศรัทธาของข้าตรงหน้าด้วย”
สารพัดคำด่าและคำบ่นมากมายได้โพล่งอัดใส่เจ้าพระเจ้าอย่างยินดีในหัวของผมแน่นอนว่าผมแสยะยิ้มเจ้าพระเจ้าอย่างหมั่นไส้ ส่วนคำพูดทั้งหมดก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำอันเต็มไปด้วยคำสรรเสริญ
แสงสว่างเจิดจ้าได้พุ่งจากดาบแห่งนักบุญเข้าไปปกคลุมทั่วร่างของซิลเวีย ในตอนนั้นเองที่สัมผัสของพลังในตัวเธอเริ่มมีมากขึ้นเท่าทวีจนไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้
ดูเหมือนพลังที่ยิงออกไปจะเป็นเวทเสริมพลังขั้นสูง ให้ตายสิระบบนี่มันสุดยอดจริง ๆ ไม่นึกฝันว่าด่าพระเจ้าจะได้เวทเสริมพลัง… ถือว่าหายกันนะพวก
ร่างกายของซิลวี่ที่ได้รับพลังอันมหาศาลจากผมเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง ผมสีทองเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าของเธอลุกวาวเฉิดฉายออกมาอย่างน่าพิศวง ไม่ว่าใครต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์อันมีมากล้นจากตัวของซิลวี่
“ตัวข้าซิลเวีย เดอ ฟรอเซียจะปกป้องท่านนักบุญและศาสนจักรตลอดไป!!”
เสียงเพลงสรรเสริญต่าง ๆ ได้ตามมากับบทสวดจำนวนมาก พร้อมกันเหล่าผู้คนทั้งหลายที่มาร่วมงานต่างก็มองฉากที่เกิดขึ้นอย่างศรัทธาและเลื่อมใส
ผมที่เห็นว่าทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดีก็เผลอแสยะยิ้มออกมาก่อนแอบเหลือมองไปที่กระจกโมเซคซึ่งเจ้าพระเจ้าใช้เป็นเครื่องมือในการแกล้งผม
ไงล่ะ ดูซะว่าเดี๋ยวนี้ผมเชี่ยวชาญขนาดไหน ไม่ได้กินกันหรอกน่า!!
อุ๊ยตายแล้ว ต้องเก็บอาการเดี๋ยวภาพลักษณ์เสียหมด
…
หวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็นนะ ไม่งั้นซวยเอา….
“โอ้ ทุกท่านดูสิ ท่านนักบุญ ท่านนักบุญกำลังยิ้มยินดียามที่ท่านจดจ้องกระจกแห่งการถือกำเนิด ต้องใช่แน่ ๆ พระเจ้ากำลังยิ้มยินดีให้กับผู้พิทักษ์ กำลังยิ้มยินดีให้กับศาสนจักรของพวกเรา!!!”
เฮ้ยยย พี่หน้ากากใจเย็นก่อน ตอนแรกผมนึกว่าพี่ช่วยผมไว้ แต่นี่ไม่ใช่ ผมว่าพี่แกดมกาวหนักไปจนเห็นทุกอย่างที่ผมทำเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์หมดแล้ว!!
และไม่ใช่แค่นั้น ผมอาจจะประมาทความกาวของท่านอินควิสตาร์ ลูดอร์ฟมากเกินไป ไม่ใช่แค่พี่แกเมากาวคนเดียวเท่านั้นหลังที่เขาพูดจบ ผู้คนมากมายก็ต่างตะโกนออกมาอย่างยินดีตามเขากันไปหมด
น่ากลัว… พลังนี่มัน… แพร่กาวใส่คนอื่น!!!
ถึงจะวุ่นวายแต่ก็เหมือนผ่านมาได้ด้วยดี ให้ตายสิ การเป็นนักบุญในช่วงวัยสิบสี่ของผมมันจะไม่คิดสงบสุขกับเขาเลยเหรอไงนะ
เอาไปพอหอมปากหอมคอนะครับ ถือซะว่าปรับตัวจากบทอันซีเรียสตอนจบภาค 1 555
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจจ้า