ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร - ตอนที่ 19: ฉันอยากอยู่กับเธอ และเธออยากอยู่กับฉัน เท่านั้นเอง
- Home
- ชีวิตใหม่ในดราโทก้า ดินแดนมังกร
- ตอนที่ 19: ฉันอยากอยู่กับเธอ และเธออยากอยู่กับฉัน เท่านั้นเอง
“เหตุผลที่ทำให้มาช้ากว่ากำหนดการก็เพราะสิ่งนี้”
เขาพูดแบบนั้นก่อนจะหยุดและยื่นเอกสารปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ คุณโรเวิร์ตฟังเงียบ ๆ และหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านข้อความ ส่วนพวกเราที่น่าจะยื่นมือเข้าไปไม่ได้จึงได้แต่นั่งนิ่ง
แล้วพริบตานั้นเอลฟ์หนุ่มก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
“เป็นเรื่องจริงงั้นรึ”
“ครับ ตรวจสอบมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว”
“ทำอะไรไม่ได้เลยรึไงนะ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ทำสีหน้าคิดหนักและกุมขมับอย่างปวดหัว ส่วนคุณดาริกก็ไม่พูดอะไรแล้วได้แต่พยักหน้า อะไร นี่พูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย
เหมือนว่าเคียร่าก็คิดแบบเดียวกันเลยสะกิดคุณโรเวิร์ตเพื่อขอคำอธิบาย เขาก็ทำท่าลำบากใจและเริ่มพูดออกมา
“กลุ่มโจรในรอบก่อนมีพวกขุนนางอยู่เบื้องหลัง แถมดูท่าคงไม่คิดจะยอมแพ้ง่าย ๆ”
“ถ้างั้นก็…”
“อา จะมีรอบต่อไปแน่”
ว่าแล้วเคียร่าก็ทำหน้าสลดทันที เพราะนั่นหมายความว่าพวกคนในหมู่บ้านมีโอกาสจะตกอยู่ในอันตรายอีกครั้ง
ถึงตอนนี้จะยังไม่เกิดเรื่องจนมีคนไม่เกี่ยวข้องบาดเจ็บ แต่ถ้าชะล่าใจอาจจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น…
ภาพทะเลเพลิงที่ห่อหุ้มหมู่บ้านในในตอนนั้นอาจจะไม่ใช่ฝีมือของมังกร แต่กลายเป็นของมนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่แปลก…
ในตอนนั้นเองเคียร่าก็ถามขึ้นมา
“คืออาจจะแปลกไปหน่อยแต่ขอถามได้ไหมคะ…ทำไมพวกขุนนางถึงอยากได้ตัวริเกลขนาดนั้นเหรอคะ ได้ยินมาว่าเพื่ออำนาจแต่ว่าก็ยังเข้าใจไม่หมดอยู่ดีค่ะ…ว่าต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“…ท่านโรเวิร์ตยังไม่ได้บอกเหรอ”
“…โทษที มัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นจนลืมไปเลย”
เมื่อได้ยินคำถาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือดาริกนั้นทำท่าตกใจและหันไปมองคุณโรเวิร์ต ก่อนจะหรี่ตาลงด้วยความเอือมระอาพลางถอนหายใจ
ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายและเป็นกันเองขึ้นกว่าเมื่อกี้เยอะเลย
“เฮ้อ ท่านเนี่ยนา…ใส่ใจกับระบบของสังคมหน่อยสิครับ อยู่มานานแล้วไม่ใช่เหรอ”
“งั้นก็เพราะข้าอายุปูนนี้แล้ว ก็ต้องมีหลง ๆ ลืม ๆ บ้างแหละน่า”
“สำหรับเอลฟ์ท่านยังหนุ่มอยู่นะครับ”
“…”
โดนไล่ต้อนโดยสมบูรณ์แบบ คุณโรเวิร์ตไม่สามารถตอบโต้อะไรเขาได้แล้วเอาแต่หลบตานิ่งเงียบ ดูท่านิสัยที่เรียบง่ายของคุณโรเวิร์ตคงไม่เหมาะกับขุนนางอย่างเห็นได้ชัดเลยแฮะ
ว่าแล้วคนที่ตอบคำถามของเคียร่าก็เป็นดาริกนั่นเอง
“เพราะมีมังกรอยู่ทั่วทุกที่ และการอาศัยร่วมกันก็เป็นปกติ แต่มังกรก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากจะทำความเข้าใจในบางครั้ง หากจะนำมาเลี้ยงจึงต้องมีการลงทะเบียนเพื่อยืนยันความปลอดภัย ว่ามังกรตัวนั้นจะไม่ก่อความวุ่นวาย และในข้อแลกเปลี่ยนจะได้รับการคุ้มครอง ว่ามังกรตัวนั้นเป็นของเจ้าของเพียงคนเดียว หากมีคนพยายามขโมยจะถือว่ามีความผิดทันที หรือพูดสั้น ๆ ก็คือการถือสิทธิ์เป็นเจ้าของน่ะ”
โอ้ มีระบบแบบนั้นด้วยเหรอ แต่ว่านะ แบบนั้นมัน…จะว่าไงดี ฉันหน้านิ่วเล็กน้อยด้วยความขุ่นเคือง เคียร่าเองก็ยิ้มเจื่อน ๆ และพูดสิ่งที่แทนใจฉันออกไป
“ทำอย่างกับเป็นสิ่งของเลยนะคะ”
คำพูดของเคียร่าคงตรงประเด็นและชัดเจนจนเกินไป หลังคำนั้นจึงพาลให้บรรยากาศในห้องอึดอัดขึ้นมา ทุกคนได้แต่นั่งเงียบกระอักกระอ่วนกับความเห็นนั้น
และคนที่สร้างบรรยากาศนี้ก็เป็นคนทำลายมันลงอีกครั้ง โดยไอเบา ๆ ก่อนจะเข้าประเด็นต่อ
“ถ้างั้น ตอนนี้ริเกลยังไม่ได้ลงทะเบียนก็เลยมีสถานะเหมือนไม่มีเจ้าของสินะคะ แล้วเห็นว่าอยู่กับมนุษย์เลยต้องการแย่งสิทธิ์เป็นเจ้าของริเกล เพื่อเอาไปหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง สินะคะ?”
“โดยรวมก็ประมาณนั้น อย่างที่เห็นประเทศเราถูกล้อมด้วยภูเขา มังกรภายในประเทศก็ไม่มีปีก แค่ตัวตนของริเกลที่คาดว่าเป็นมังกรวารีแถมมีปีกก็ล่อตาล่อใจมากแล้ว ไม่นานมานี้ยังมีเหตุการณ์มังกรพิภพนั่นอีก ไม่แปลกที่พวกคนกระหายอำนาจและเงินทองจะอยากได้จนตัวสั่น ตอนนี้มังกรนั่นมีค่ามากขนาดนั้นแหละ”
อืม เอ่อ ว่าไงดี ไม่คิดถึงความเห็นคนที่เป็นเป้าอย่างฉันหน่อยเลยเรอะ ทำอะไรตามใจชอบกันชะมัด ต่อให้แยกฉันจากเคียร่าได้ ฉันก็ไม่อยากจะไปอยู่กับพวกคนแบบนั้นหรอก
ถ้าแบบนั้นฉันคงเลือกชิงบินหนีไปไกล ๆ เลย…เริ่มเข้าใจสิ่งที่วิลเลตพูดแล้วสิ ว่าพอฉันดึงดันจะอยู่กับเคียร่ามันเลยมีเรื่องยุ่งยากตามมา
“ถ้างั้น ให้ฉันลงทะเบียนก็พอหนิคะ ถ้าแบบนั้นข้อแลกเปลี่ยนก็คือได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย แบบนั้นจะทำให้เรื่องมันเงียบกว่าตอนนี้ไม่ใช่เหรอคะ?”
“ก็…ถ้าเป็นตอนนี้คงไม่ได้”
คราวนี้เป็นคุณโรเวิร์ตพูดขึ้นมา เขายกมือขึ้นกอดอกและทำสีหน้าลำบากใจ และส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่าย
“การลงทะเบียนอยู่ภายใต้ชื่อของศาสนาวารุน ถ้าในแง่การคุ้มครองเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะศาสนาครอบคลุมกว่าประเทศ มันปกคลุมทั่วทั้งทวีป แต่ตอนนี้ศาสนาวารุนมองริเกลเหมือนเป็นสิ่งสูงส่ง คงไม่ยอมรับให้เคียร่าที่เป็นเด็กสามัญชนธรรมดาลงทะเบียนแน่”
“อะไรกัน…”
สุดท้ายก็ติดอยู่ที่สถานะทางสังคมสินะ ถ้ามองในแง่ทางนั้นก็คือว่าถูกต้องที่จะทำแบบนั้นเพื่อรักษาภาพลักษณ์…
บ้านเตี่ยเอ็งสิ! เรื่องแบบนั้นใครเขาสนกัน!! ทำตามใจชอบกันเกิ๊น ถ้านับถือกันก็ใส่ใจกับความเห็นของทางนี้หน่อยดิ
พวกที่อ้างตัวตนไม่มีอยู่จริงอย่างพระเจ้าในโลกเก่าว่าน่ารำคาญแล้ว ไอ้พวกที่พระเจ้าอยู่ตรงหน้าแต่กลับไม่เห็นหัวนี่มันคืออะไร ห๊ะ! บ้าเปล่า
เพราะฉันฟังสิ่งนั้นแล้วแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา และโยกตัวกระทืบเท้าอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบที่ไม่รบกวนใคร ดาริกก็มองด้วยท่าทางประหลาดใจ
“มังกรนั่น…”
“ริเกลค่ะ บางทีเธอคงแสดงออกมาเพราะไม่พอใจทางศาสนาวารุน”
“เป็นมังกรที่ฉลาดจริง ๆ พึ่งเคยเห็นมังกรที่แสดงความคิดและความรู้สึกออกมาชัดเจนขนาดนี้ครั้งแรก…เดี๋ยวนะ แสดงความคิด…แสดงความต้องการ”
หลังจากที่เขาพึมพำกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง ก็งึมงำราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก พวกเราทุกคนจึงนั่งจ้องเขารอคิดเสร็จ
“บางที อาจจะแก้ปัญหาได้ไม่หมด แต่น่าจะช่วยชะลอให้เบาลงได้นะ”
“ได้เหรอคะ”
เคียร่าถามออกไปด้วยความสนใจทันที
“อืม ถ้าใช้แผนนี้ ทางโบสถ์จะต้องเข้าร่วมกับพวกเรา แล้วส่งกองทัพของศาสนจักรมาช่วยคุ้มครองแน่ และถ้าเป็นขุนนางทั่วไปคงไม่อยากจะเหยียบหางองค์กรใหญ่ยักษ์ที่ชื่อ ‘ศาสนา’ แน่ อย่างน้อยก็น่าจะให้คนไม่เกี่ยวข้องไม่โดนลูกหลงตาม”
“อืม เป็นผลที่น่าพอใจ ทำยังไงงั้นรึ”
คราวนี้เป็นคุณโรเวิร์ตที่พยักหน้าให้อย่างพึงพอใจ และถามต่อ
“ศาสนาใช้พลังของความเชื่อ และความเชื่อเกิดได้จากข่าวลือ”
เขาเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนจะหันมามองฉัน จนเผลอสะดุ้งที่จู่ ๆ ก็โดนจ้อง แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจแล้วยิ้มกว้างออกมา
“คงต้องให้ริเกลเล่นบท ‘ว่าที่มังกรศักดิ์สิทธิ์ขี้หงุดหงิด’ สักหน่อยล่ะนะ”
————- ———–
หลังจากดำเนินตามแผนที่ดาริกเสนอก็ผ่านไปอีกราว ๆ สามเดือนกว่า ๆ เพราะเป็นแผนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร
ตอนนี้ทหารที่ล้อมเมืองเพื่อคุ้มกันก็เบาบางลง ราวกับว่ากลับสู่ช่วงเวลาสงบสุขเช่นเดิม เพิ่มเติมคือใจกลางหมู่บ้านกำลังก่อสร้างบางอย่าง…
“ดูท่าจะยิ่งใหญ่พอสมควรเลยเนอะ”
‘จริงด้วย สมแล้วที่เป็นองค์กรยักษ์ใหญ่’
ฉันกับเคียร่าได้แต่มองโครงสิ่งก่อสร้าง ที่ใหญ่จนต้องเงยหน้าเยอะมากเพื่อมอง ว่าง่าย ๆ ถ้าเป็นไคซารัสคงเข้าไปในตัวอาคารได้สบาย
ใช่ เรากำลังพูดถึงโบสถ์อยู่…ถ้าถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ก็คงต้องเล่าพื้นว่าดาริกจะใช้ข่าวลือสร้างความเชื่อให้กับคน
ข่าวลือก็จะเป็นประมาณว่า ‘มังกรศักดิ์สิทธิ์ชอบที่จะอยู่อย่างสงบ และหากมีการต่อสู้หรือความวุ่นวายจะพิโรธ และทำลายล้างทุกสิ่ง’ ประมาณนั้น
แล้วก็ให้ฉันเสริมข่าวลือเหล่านั้นด้วยการ แกล้งอาละวาด จัดฉากให้เหมือนมีคนโจมตี และฉันก็ออกมาไล่จนได้แผลเป็นกลับไปบอกเล่าต่อ ดังนั้นจึงมีความน่าเชื่อถือสูง
หารู้ไม่ว่าคนเจ็บพวกนั้นเป็นทหารเก่าที่เคยโดนฉันพ้นลมหายใจใส่นั่นเอง ทุกคนให้ความร่วมมืออย่างดีจนน่าประหลาด ทุกคนไม่คิดแค้นหรือโกรธเคืองฉันแม้แต่น้อย
มีทั้งจัดว่าเหมือนฉันโดนโจมตี หรือแม้แต่ ฉันแค่ไม่พอใจและอาละวาดไปทั่วเฉย ๆ ก็มี ถึงจะว่างั้นฉันก็แค่บินไปทั่ว คำราม แล้วก็พ้นลมหายใจใส่จุดไร้ผู้คนเท่านั้นเอง
แต่แน่นอนว่าคนที่ได้ยินจากข่าวลือไม่คิดแบบนั้น ทุกคนเชื่อว่าฉันโกรธและกำลังอาละวาดไปทั่วจริง ๆ
ถ้าตามปกติมีมังกรแบบนี้ออกมา ทางประเทศคงรวบรวมคนให้ออกจัดการ แต่เพราะฉันเป็นตัวตนที่ศาสนาวารุนชูขึ้นมา ทางประเทศจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เพราะมันจะเป็นการไม่ไว้หน้าโบสถ์
ดังนั้นความหวังของผู้คนเลยมุ่งไปที่โบสถ์ให้ทำอะไรสักอย่าง และแน่นอนว่าพวกเขาก็ต้องตอบสนองความเชื่อและความต้องการของสาวก
และประกาศว่าห้ามก่อความวุ่นวายที่หมู่บ้านพวกเรานั่นเอง โดยมีหลักประกันคือการสร้างโบสถ์ประจำไว้ที่นี่
“แต่ก็นะ…”
ว่าแล้วเคียร่าก็ทำหน้าลำบากใจพลางเหลือบไปมองด้านหลัง แม้แต่เด็กมนุษย์อย่างเคียร่ายังรู้สึกตัวเลย คนของโบสถ์จะห่วยไปไหนกัน
ที่ด้านหลังของพวกเราแม้จะ ‘พยายาม’ ซ่อนอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงสายตาว่าจับตามองอยู่อย่างชัดเจน
ใช่ พอมีคำร้องขอให้ดูความสงบของฉัน ทางนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะตอนแรกพวกเขาพยายามให้ฉันอยู่อย่างสงบในป่าคนเดียว
และตอนนั้นฉันก็เล่นบทมังกรเอาแต่ใจไม่ยอมไปไหน เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เขาจับตาดูเคียร่าที่ฉันเกาะติด ว่าจะไม่ทำให้ฉันอาละวาดขึ้นมา
ก็นั่นแหละนะ…สงบแต่แลกด้วยอิสระ คุ้มไหมล่ะเนี่ย
“ถึงจะปลอดภัย แต่ก็คงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างอยู่ดีสินะ”
เคียร่าทำท่าทางคิดเล็กน้อยและเดินไปด้านหน้าโดยแสร้งทำเป็นเมินสายตาด้านหลัง ฉันเองก็เดินตามเธอต้อย ๆ ตามปกติ
ที่จริงเคียร่าก็ลองเสนอว่าจะลงทะเบียนฉันแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็บอกตามคาด ว่าเคียร่ายังเป็นแค่เด็ก แถมยังสามัญชนธรรมดาไม่อยากจะฝากฝังไว้ให้ดูแลของสำคัญ
ถึงจะพูดให้ดูเหมือนเป็นห่วง แต่เอาเข้าจริงสายตาตอนมองมาก็เหยียดหยามเคียร่าอย่างชัดเจน ทำเอาแทบจะอยากอาละวาดขึ้นมาจริง ๆ เลย…
“ต้องแข็งแกร่งขึ้น ในฐานะมนุษย์…สินะ”
ฉันส่งเสียงร้องออกไปดึงความสนใจของเคียร่าให้หันมามอง และขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่าความแข็งแกร่งในฐานะมนุษย์คืออะไร
ตอนแรกฉันคิดว่าจะต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไปพร้อมกัน แต่ดูท่าแล้วเคียร่าน่าจะรู้ตัวแล้ว แต่ฉันยังไม่เข้าใจอะไรเลย
ความรู้สึกที่เหมือนโดนปล่อยไว้ทำให้ฉันอยากจะเข้าไปอ้อนเธอขึ้นมา
และเคียร่าก็หัวเราะอย่างร่าเริง และบอกว่ากลับบ้านไปจะเล่าให้ฟัง เพราะงั้นพอมาถึงที่บ้าน ฉันก็โดดขึ้นเตียงและหมอบรอเธอเล่าให้ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ราวกับเด็กรอนิทานก่อนนอน
“ตอนนี้พวกเราน่ะไร้ซึ่งอิสระเป็นเพราะยังมีพลังและความแข็งแกร่งไม่พอน่ะ”
อือ อันนั้นพอนึกออกอยู่ ฉันเองก็ยังใช้พลังตัวเองไม่คล่อง แถมยังไม่ค่อยรู้ด้วยว่าทำอะไรได้บ้าง
ถ้างั้นเธอก็เหมือนกันเหรอ? เพราะมนุษย์ตอนเป็นเด็กทั้งตัวเล็กแล้วก็แรงน้อย เพราะงั้นความแข็งแกร่งในฐานะมนุษย์ของเธอจึงยังไม่พอเหรอ?
ราวกับอ่านใจฉันออก เคียร่ายิ้มบ้างให้และพูดตัด
“ไม่ใช่พลังอย่างพละกำลังหรือทักษะการต่อสู้หรอกนะ”
‘อ้าว งั้นอะไรอะ?’
ฉันเผลอชูคอขึ้นและทำสีหน้าเหวอ เพราะสิ่งที่ฉันพอนึกออกก็โดนปัดทิ้งไป แล้วไม่รู้ทำไมพอทำท่าแบบนั้นเคียร่าก็กลั้นขำเล็กน้อย
“ถ้าอันนั้นแค่เธอก็เหลือเฟือแล้วล่ะ เพราะนั่นคือความแข็งแกร่งในฐานะมังกร แต่ว่านะ ความแข็งแกร่งในฐานะมนุษย์น่ะ…คือฐานะและชื่อเสียงทางสังคมต่างหาก”
ฉันอ้าปากค้างเพราะคำตอบที่คาดไม่ถึง ไม่ได้คิดเลย ลืมไปซะสนิทเลย เรื่องแบบนั้น…
“มนุษย์มีสังคมขนาดใหญ่ ต่อให้จะเก่งจนไร้พ่าย แต่ถ้าไม่มีฐานะก็เป็นได้แค่คนเร่ร่อนและอดยาก ถ้าไม่มีชื่อเสียงที่ดีก็เป็นได้แค่คนน่าหวาดกลัวจนถูกขับไล่หรือตามล่า เพราะความไม่สบายใจของผู้คน”
…จริงด้วยแฮะ ไม่มีฐานะนี่ชัดเจน แต่ถ้าเป็นคนที่มีพลังมากขนาดนั้นแต่เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ ผู้คนก็ต้องหวาดกลัว และพอมีคนหวาดกลัว
พวกคนใหญ่คนโตก็ต้องหาทางบรรเทาความไม่สบายใจเหล่านั้น คล้ายกับเรื่องของฉัน แต่แค่ที่เคียร่ายกตัวอย่างมาคงเป็นทุ่มกำลังกำจัดต้นตอนั้น
“เพราะงั้นพวกเราในตอนนี้ก็เหมือนกัน อย่างที่วิลเลตบอกเลย…ตอนนี้ฉันก็เหมือนตัวถ่วงของเธอ”
‘!? อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ!!’
ฉันเด้งตัวขึ้นยืนและร้องออกมาเสียงดัง อันนี้ฉันเถียงสุดใจ เธอไม่มีทางเป็นตัวถ่วงฉันแน่!!
“…ถ้าฉันไม่รั้งเธอ และเธอไม่อยู่กับฉัน…ริเกลก็จะมีอิสระมากกว่านี้นะ ตอนนี้เพราะฉันไร้พลังจึงไร้ซึ่งอิสระ และเธอก็พลอยโดนไปด้วยเพราะอยู่กับฉัน…”
สีหน้าของเคียร่ายังคงยกมุมปากอยู่ก็จริง แต่ด้วยตานั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและปวดใจ นั่นทำให้ฉัน…
‘อย่าไปสนใจเรื่องหยุมหยิมเลยน่า!!’
ฉันคำรามออกไปด้วยความโมโห ใช่ คราวนี้ความเจ็บปวดของเธอไม่ทำให้ฉันเศร้า แต่มันทำให้ฉันโมโหแทน
จนเคียร่าเองก็ยังตกใจ
“…โมโหเหรอ ทำไมล่ะ?”
‘ถามมาได้ ก็ที่บอกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงบ้างล่ะ ถ้าฉันไม่อยู่กับเธอจะดีกว่าบ้างล่ะ นั่นมันคำพูดทางนี้ต่างหากเคียร่า ถ้าฉันไม่อยู่ทั้งคนเธอก็สบายกว่านี้นั่นแหละ!!’
ฉันบ่นออกไปยาวเหยียด แต่แน่นอนว่าในมุมของเคียร่าคงเห็นว่าฉันแค่งอแงหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบไม่รู้ว่าทำไม
เธอจึงทั้งตกใจทั้งสับสน และงงมาก ก่อนจะต้องใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อทำความเข้าใจว่าทำไม
อา!!! เวลาแบบนี้อยากพูดชะมัดเลย!! แต่ก็ได้แค่บ่น เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้
“เหตุผลที่ริเกลจะโกรธ…ถ้าลองคิดในมุมกลับกัน ถ้าริเกลพูดแบบนี้กับฉัน…อ้อ”
เคียร่าที่คิดพร้อมกับพึมพำเรียบเรียงความคิดไปมา สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปจนร้อง อ้อ ออกมา และจ้องที่ฉันด้วยสีหน้า…เอ่อ ประหม่า? มองไม่ออกอะ แต่เธอดูลุกลี้ลุกลนไงไม่รู้
“หรือว่า…จะเข้าข้างตัวเองไปไหมนะ แต่…ริเกลเองก็อยากอยู่กับฉัน ถึงแม้ว่าจะไม่มีอิสระเหรอ”
‘แน่สิ! ไม่งั้นฉันบินหนีไปแล้ว! เห็นปีกไหม ปีกนี่อะ ฉันเป็นอิสระมาตลอดอยู่แล้ว!!’
แต่ฉันอยากอยู่กับเธอ ฉันร้องพลางสยายปีกสองข้างออกจนสุด ต่อให้ร้องไปแค่ไหนเคียร่าก็รู้แค่ว่าฉันพยักหน้าให้ และดวงตาของเธอก็เริ่มสั่นเครือ…แบบคนจะร้องไห้
“แต่…ฉันในฐานะมนุษย์แล้วอ่อนแอแล้วก็ดึงให้เธอลงมาจุดเดียวกันนะ…กว่าจะให้พวกเราเป็นอิสระได้ ก็ต้องใช้เวลา…อีกนานเลยนะ”
เคียร่าพูดแบบสะอื้นจนเว้นช่วงบ่อย ๆ พร้อมทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลริน อา…เข้าใจแล้ว ความรู้สึกของเคียร่า…
อะไรกัน พวกเราเหมือนกันเลยนี่นา ก็เหมือนกับที่ฉันไม่อยากให้เธอปกป้องอยู่ฝ่ายเดียว ตอนนี้ก็ถึงตาของเคียร่าที่จะคิดแบบนั้นแล้วสินะ
เพราะงั้นฉันถึงได้ใจเย็นลง เคียร่ามักจะใจเย็นเสมอและอยู่เคียงข้างฉันที่ร้อนรน เพราะงั้น…ในเวลาแบบนี้ฉันก็จะสงบ และให้เธอพักพิงบ้างเหมือนกัน
ว่าแล้วฉันก็ผ่อนไหล่ลง พลางใช้ปีกทั้งสองข้าง โอบเข้าห่อหุ้มร่างเล็กของเธอเอาไว้
‘ฉันจะรอ ไม่สิ ฉันน่ะจะอยู่ข้างเธอเสมออยู่แล้ว’
ฉันครางเบา ๆ จากลำคอและขยับตัวเข้าแนบชิดเคียร่า ใช้แก้มถูไถไปตามลำคอและหน้าของเธอ และกอดโดยใช้ปีกสีฟ้าสวยงามแทนมือ
ไม่เกี่ยวเลย กว่าเราทั้งคู่จะสร้างปัญหาอะไรบ้างให้กัน เพราะสิ่งสำคัญมันมีแค่ ฉันอยากอยู่กับเธอ และเธออยากอยู่กับฉัน
เท่านั้นเอง