ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน - ตอนที่ 224 แซ่หลัวก็ไม่รอดเหมือนกัน
ตอนที่ 224 แซ่หลัวก็ไม่รอดเหมือนกัน
ด้านนอกโรงงานสร้างข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉิน คนกลุ่มใหญ่บินอยู่บนท้องฟ้า รวมถึงเทพมหาวิญญาณหลายสิบตนด้วย
ลั่วเทียนเหอที่เป็นคนนำกลุ่มมาด้วยตัวเองออกคำสั่ง ให้กำลังคนที่มาถึงอย่าเพิ่งเข้าไปที่โรงงาน หากแต่ให้หยุดอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกมา
เหตุผลที่ทำเช่นนั้นก็ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าโรงงานของหอการค้าตระกูลฉินแห่งนี้มีปัญหา ลั่วเทียนเหอจึงไม่อาจสุ่มสี่สุ่มห้าปล่อยให้กำลังคนเหล่านี้เข้าไปได้
แม้ว่าจะมองอยู่ไกลๆ แต่ฉินอี๋ก็ยังรู้สึกตกใจ เห็นตรงตำแหน่งที่ตั้งโรงงานมีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา นี่พวกเขากำลังทำอะไร กำลังเผาโรงงานเหรอ?
เพื่อโรงงานแห่งนี้แล้ว หอการค้าตระกูลฉินเรียกได้ว่าลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาล
คนที่เว่ยผิงกงส่งมารีบเข้ามาต้อนรับ ในเมื่อขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย ครั้งนี้จึงไม่มีการวางท่าอะไรอีก ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่วางท่าเหมือนน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
คนของทางเมืองปู๋เชวี่ยก็ไม่กล้าวางท่าเช่นกัน เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็จำเป็นต้องร่วมมือร่วมแรงกัน
หากประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดปัญหาที่ยากจะแก้ไขได้ ไม่ว่าใครก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหว
ทั้งสองฝ่ายประสานงานกันเรื่องการวางแนวป้องกัน
ในส่วนของรายละเอียด ลั่วเทียนเหอไม่ได้เข้าไปยุ่ง เขาพาพวกฉินอี๋เข้าไปในโรงงานของหอการค้าตระกูลฉิน ผู้คุ้มกันที่อยู่หน้าประตูปล่อยให้เข้าไป
หลังจากเข้าไปแล้วก็พบว่าทุกพื้นที่เหมือนถูกพลิกรื้อออกมาจนหมด คล้ายพื้นที่ที่จะทำการเพาะปลูกถูกพรวนดินอย่างไรอย่างนั้น
อะไรที่เรียกว่าดินไหม้ เวลานี้พื้นที่ที่พวกเขาเดินเหยียบย่ำอยู่นี่แหละคือดินไหม้ เห็นได้ชัดว่าล้วนถูกไฟเผาไปแล้ว
ไฟยังคงเผาไหม้อยู่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่ควบคุมไฟได้กำลังใช้พลังเผาดิน เปลวเพลิงร้อนแรงที่ถูกควบคุมนั้นแทรกซึมเผาไหม้เข้าไปในดินที่ถูกพรวน นี่คือสาเหตุที่ทำให้ด้านนอกมองเห็นเปลวเพลิงกำลังลุกโชนอยู่นั่นเอง
สิ่งก่อสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย เห็นได้ชัดว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากฝีมือคน สิ่งก่อสร้างจำนวนมากก็มีร่องรอยถูกไฟเผาด้วยเช่นกัน
ตรงหน้าเปลวไฟอันร้อนแรง เว่ยผิงกงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ คนที่เดินเข้ามามองเห็นแผ่นหลังของเขาที่อยู่หน้าเปลวเพลิงวูบไหว ส่วนตัวเขากำลังหันหน้าเผชิญกับเปลวเพลิงด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ลั่วเทียนเหอนำทุกคนเข้าไปหาเขา พื้นดินไม่สะดวกแก่การเดิน ฉินอี๋เดินได้ไม่มั่นคงเท่าไหร่ โชคดีที่มีไป๋หลิงหลงคอยพยุงอยู่ข้างๆ
ฉินอี๋ไอออกมาเป็นครั้งคราว เริ่มไอขึ้นมาอีกแล้ว
ไป๋หลิงหลงเองก็ปิดปากไออยู่เป็นระยะ เห็นชัดว่าร่างกายของเธอก็เริ่มปรากฏอาการแล้วเช่นกัน
ไม่เพียงแต่พวกเขา ลั่วเทียนเหอก็ยกกำปั้นปิดปากไอเบาๆ เป็นครั้งคราวเช่นกัน
ในความเป็นจริง ภายในโรงงานสร้างข่ายพลังแห่งนี้มีคนที่กำลังไออยู่เป็นจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญเพียรและทหารจำนวนมากไออย่างรุนแรง ส่วนคนที่มีอาการไอจนกระอักเลือดออกมาก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับหยุดไอไปบ้างแล้ว
“ผบ.เว่ย ท่านเจ้าเมืองลั่วกับท่านประธานฉินมาครับ” มีคนเข้าไปรายงานที่ข้างกายเว่ยผิงกง
เว่นผิงกงหันกลับไป เห็นภาพที่ลั่วเทียนเหอกำลังยกกำปั้นปิดปากไอพอดี จึงกล่าวหยอกล้อทันที “ดูเหมือนท่านเจ้าเมืองลั่วก็ไม่รอดเช่นกันนะ คนของวังเซียนไม่เห็นเก่งกาจอะไรนี่”
อีกฝ่ายดูหมิ่นวังเซียน ลั่วเทียนเหอขมวดคิ้วทันที แต่เมื่อคิดถึงว่าคนคนนี้ถูกวังเซียนลงโทษมา การที่อีกฝ่ายจะมีความโกรธอยู่ในใจมันก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ประกอบกับตำแหน่งในอดีตของอีกฝ่าย ดังนั้นเรื่องเล็กน้อยที่สามารถปล่อยผ่านไปได้ก็ปล่อยผ่านไปดีกว่า หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป การที่กล้ามาพูดจาหมิ่นวังเซียนแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมาก
บางครั้งคนเราก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง ต่อให้ตัวเขาจะเป็นคนหัวโบราณและให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างมากก็ตาม
เวลานี้เขาทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ประสานมือพลางกล่าวว่า “ผบ.เว่ย ร่างกายของคุณเป็นยังไงบ้างครับ?” เขาไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายที่เฝ้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลาจะรอดจากการติดเชื้อไปได้
คำพูดนี้ดูเผินๆ คล้ายเป็นการถามไถ่ แต่ความจริงแล้วมีเจตนาตอบโต้แอบซ่อนเอาไว้อยู่ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าคุณเองก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรเช่นกัน
“ผม?” เว่ยผิงกงตบหน้าอกตัวเอง “ผมสบายดีมาก! ผีห่าวิญญาณร้ายในดินแดนหมิงนี่ผมเจอมาหมดแล้ว ของพวกนี้เจอผมก็พากันเดินหนีผมกันหมด ทำอะไรผมไม่ได้หรอก! แต่คุณเนี่ย เทียบกับผมแล้วยังถือว่าด้อยกว่าหน่อย”
ลั่วเทียนเหอหมดคำพูด ร่างกายทุกคนไม่ได้ทำขึ้นมาจากเหล็กเสียหน่อย แต่ร่างกายของคุณกลับไม่เป็นไรอย่างนั้นเหรอ?
“ผบ.เว่ย” ฉินอี๋เองก็คารวะแล้วกล่าวทักทาย
เว่ยผิงกงส่งเสียงอืม ไม่ได้มองฉินอี๋อยู่ในสายตาเลย เป็นแค่นักธุรกิจคนหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ให้เงินเขาเสียหน่อย อีกทั้งตนเองยังต้องมาเฝ้าโรงงานให้นักธุรกิจคนนี้อีก การที่เห็นอีกฝ่ายแล้วไม่ค่อยสบอารมณ์ก็นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
ฉินอี๋หันไปส่งสายตาให้เจียงอวี้ที่ตามมาทันที
เจียงอวี้รีบก้าวออกมา เดินออกมาจากด้านหลังแล้วประสานมือกล่าวว่า “คารวะผบ.เว่ย”
เมื่อเห็นว่าเป็นเขา สีหน้าเว่ยผิงกงกลับดูผ่อนคลายลง พยักหน้าให้เล็กน้อย ท่าทีที่มีต่อเขาดูดีกว่าฉินอี๋อย่างเห็นได้ชัด
หนานซีหรูอันที่ตามหลังมานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา การมาพบเว่ยผิงกงที่นี่ทั้งสองครั้ง เขาล้วนแต่กลายเป็นเหมือนคนที่ไร้ตัวตน
ในเวลานี้เอง มีคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาคือผู้บำเพ็ญเพียรที่หอการค้าตระกูลฉินส่งมาอยู่ที่นี่ เมื่อทราบว่าฉินอี๋มา จึงวิ่งมาข้างฉินอี๋แล้วกระซิบว่า “ท่านประธานครับ ผบ.เว่ยจับตัวรองประธานเจออู๋จื่อไปครับ ตอนนี้ถูกควบคุมตัวอยู่ในคุกครับ!”
ฉินอี๋ตกใจเล็กน้อย เจออู๋จื่อคือคนที่คุ้นเคยกับกระบวนการสร้างข่ายพลังมากที่สุด การสร้างข่ายพลังของโรงงานเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เจออู๋จื่อก็ถูกจับตัวไปแล้ว เรื่องนี้ส่งผลกระทบไม่น้อยเลย
เว่ยผิงกงกวาดมองด้วยสายตาเย็นชา “มาพูดจาลับๆ ล่อๆ อะไรต่อหน้าฉัน?”
ฉินอี๋ยกมือขึ้น สื่อว่าให้ผู้บำเพ็ญเพียรที่วิ่งเข้ามาถอยออกไปก่อน เธอไออีกครั้ง ก่อนจะประสานมือเอ่ยถามว่า “ได้ยินว่าผบ.เว่ยจับตัวรองประธานหอการค้าตระกูลฉินไป ไม่ทราบว่าเจออู๋จื่อทำอะไรผิดเหรอคะ อยากขอให้ผบ.เว่ยช่วยอธิบายให้ทราบหน่อยค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลั่วเทียนเหอเองก็ประหลาดใจอย่างมาก นึกสงสัยอยู่ในใจ หรือว่าคนที่ใช้ลูกไม้สกปรกเล่นงานหอการค้าตระกูลฉินก็คือเจออู๋จื่อผู้นี้?
เว่ยผิงกงกล่าวอย่างใจเย็น “ใช่ ฉันจับตัวเขาไป เขาไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แค่ตาแก่นั่นมันน่ารำคาญเกินไป เห็นฉันมารื้อค้นที่นี่ ทำข้าวของเสียหายนิดหน่อย กลับกล้าวิ่งเข้ามาขวางทาง จะให้ฉันหยุดการตรวจค้นให้ได้ ฉันไม่สนใจเขาหรอก แก่ขนาดนี้แล้วยังจะมานั่งร้องไห้ฟูมฟายขวางทางไม่ยอมปล่อย ฉันเองก็ไม่อยากทำร้ายเขา ถึงได้จับตัวเขาไว้”
ฉินอี๋หันกลับไปมองคนที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ อีกฝ่ายพยักหน้า สื่อว่าที่เว่ยผิงกงพูดมาเป็นเรื่องจริง
ซึ่งความจริงมันก็เป็นไปตามนั้น หอการค้าตระกูลฉินลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาล อีกไม่นานก็จะทำการผลิตได้อย่างเต็มกำลังแล้ว ใครจะไปรู้ว่าเว่ยผิงกงจะมาทำลายจนเสียหาย เจออู๋จื่อร้อนใจ ไม่เพียงแต่จะร้องไห้ฟูมฟาย แต่ถึงขนาดคุกเข่าลงไปขอร้องเว่ยผิงกง ทว่าเว่ยผิงกงก็ยังใจแข็ง สุดท้ายสั่งให้จับตัวเจออู๋จื่อที่ขวางหูขวางตาไป
คนที่เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่งมักจะค่อนข้างซื่อบื้อ บางครั้งก็ไม่ยอมปล่อยวาง ซึ่งเจออู๋จื่อก็คือคนแบบนี้
ฉินอี๋แอบติดต่อกับเจออู๋จื่อมานานหลายปี รู้ดีว่าเจออู๋จื่อเป็นคนอย่างไร ทันทีที่ได้ฟังก็พอจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เธอโค้งตัวพลางกล่าวทันที “ถ้ามีตรงไหนที่เจออู๋เจื่อทำไม่ถูก ฉินอี๋ขออภัยแทนเขาด้วยค่ะ ขอผบ.เว่ยโปรดเมตตาและให้อภัยเขาด้วยค่ะ แค่กๆ ”
เว่ยผิงกงยิ้มเยาะ “แม่หนู เธอเองก็อย่ามาพูดจาเลื่อนลอยอะไรต่อหน้าฉันเลย ฉันทำแบบนี้ก็เพื่อเธอนะ ข้าวของเสียหายเล็กน้อย แค่จ่ายเงินก็ซ่อมแซมกลับมาได้แล้ว แต่ถ้าปัญหาที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ล่ะก็ นั่นต่างหากที่จะทำให้หอการค้าของเธอเสียหายอย่างมากจริงๆ ส่วนเจ้าโง่นั่นกล้ามาขัดคำสั่งฉัน การที่ฉันแค่จับตัวเขาเอาไว้ก็นับว่าไว้หน้ามากแล้ว ถ้าเธอฟังเข้าใจก็ดี แต่ถ้าไม่เข้าใจฉันก็คร้านจะอธิบายให้เธอฟังเหมือนกัน”
ฉินอี๋รีบกล่าว “ผบ.เว่ยเจตนาดี ฉินอี๋เข้าใจค่ะ”
เว่ยผิงกงส่งเสียงเหอะ เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป พื้นดินที่อยู่ใต้เท้ายังคงแผ่กระจายไอร้อนที่ร้อนระอุเป็นอย่างมากออกมา
เวลานี้มีทหารนายหนึ่งบินลงมาข้างๆ เว่ยผิงกง กล่าวรายงาน “ผบ.เว่ย ข้างนอกประตูมีคนมาสองคนครับ หลัวคังอันรองประธานหอการค้าตระกูลฉินพาผู้ช่วยมาด้วย พวกเขาอยากจะเข้ามา อนุญาตไหมครับ?”
เว่ยผิงกงงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะโบกมืออย่างรำคาญ “เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ยังจะมากวนใจฉันอีก คิดว่าฉันว่างมากหรือไง? จะให้เข้ามาหรือไม่ให้เข้า แกก็คิดเอาเองสิ!”
“เอ่อ…” ทหารนายนั้นมึนงง ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปจัดการอย่างไร
เขาอยากถามผบ.เว่ยจริงๆ ก็ท่านเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่านับแต่นี้เป็นต้นไป ทุกภาคส่วนต้องเชื่อฟังคำสั่งของท่าน ไม่ว่าใครจะเข้าจะออกก็ต้องได้รับการอนุญาตจากท่านก่อน?
ฉินอี๋มองลั่วเทียนเหอ ลั่วเทียนเหอก็รับรู้ได้เช่นกัน จึงกล่าวกับทหารนายนั้นว่า “รองประธานหอการค้ามาตรวจสอบสถานการณ์ ให้เข้ามาเถอะ!”
เมื่อเขาเอ่ยปากแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรเขาย่อมต้องรับผิดชอบ และแน่นอน ลั่วเทียนเหอเองก็รับผิดชอบเรื่องนี้ไหวเช่นกัน ทหารนายนั้นจึงพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ลั่วเทียนเหอกำลังจะเดินตามเว่ยผิงกงไป จู่ๆ ฉินอี๋พลันกระซิบเรียกเบาๆ “ท่านเจ้าเมืองคะ”
ลั่วเทียนเหอหยุดเดินแล้วหันมามองเธอ ฉินอี๋เดินเขย่งไปบนพื้นที่ขรุขระ เข้าไปใกล้ลั่วเทียนเหอแล้วเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ท่านเจ้าเมือง ท่านน่าจะเห็นแล้วว่าคนอื่นๆ ล้วนกำลังไอ แต่ผบ.เว่ยกับนายพลสามสี่คนที่อยู่ข้างกายเขากลับดูเหมือนไม่เป็นไรเลยนะคะ”
ลั่วเทียนเหอผงะไปเล็กน้อย มองไปรอบๆ ก่อนหน้านี้เขาไม่ทันสังเกตเรื่องนี้ แต่เว่ยผิงกงดูท่าทางสบายดี เมื่อครู่ที่พูดคุยกันก็ไม่เห็นอีกฝ่ายส่งเสียงไอแม้แต่น้อยจริงๆ
เขาอดสงสัยไม่ได้ หรือเว่ยผิงกงจะไม่ได้คุยโว หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่จะทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ ?
ฉินอี๋ลองเอ่ยถามอีกครั้ง “ท่านเจ้าเมือง พวกนายพลที่อยู่ข้างกายผบ.เว่ยก็เป็นคนที่เขาพามาจากดินแดนหมิงเหรอคะ?” กล่าวจบก็ไอติดกันอีกหลายครั้ง
แทนที่จะบอกว่าเป็นการถาม ควรจะบอกว่าเป็นการเตือนมากกว่า มีหรือที่เธอจะไม่รู้ประวัติความเป็นมาของนายพลที่มาประจำการที่นี่
ลั่วเทียนเหอเองก็ย่อมต้องรู้เช่นกันว่านายพลสามสี่คนนั้นไม่ใช่ลูกน้องเก่าที่เว่ยผิงกงพามาจากดินแดนหมิง และเขาก็เข้าใจด้วยว่าฉินอี๋กำลังจะสื่ออะไร ถ้าบอกว่าเว่ยผิงกงไม่ติดเชื้อเหล่านั้นมันก็ยังพอจะเข้าใจได้อยู่ แต่ถ้าบอกว่านายพลที่เพิ่งมารวมตัวกันเหล่านั้นก็ไม่ติดเชื้อด้วย แบบนั้นก็น่าแปลกแล้ว
คำตอบง่ายมาก นั่นคือถ้าไม่ใช่คนพวกนี้มีปัญหา หรือเผลอๆ คือปัญหาที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นฝีมือของคนเหล่านี้ อย่างนั้นก็แสดงว่าเว่ยผิงกงมีวิธีรักษาอาการติดเชื้อ
เขาถอนใจ “ถ้าเป็นสิ่งที่เขาสงสัยจริงๆ การที่เขาจะช่วยชีวิตตัวเองได้มันก็เป็นเรื่องปกติ”
ฉินอี๋ไม่เข้าใจ แต่ลั่วเทียนเหอกลับไม่พูดอะไรอีก รีบเดินไปทางเว่ยผิงกง
ฉินอี๋เดินเขย่งๆ ตามไปต่อ และในเวลานี้ก็มีคนสองคนรีบเดินตามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ใครอื่น เป็นหลัวคังอันกับหลินยวน
เมื่อมาถึงตรงหน้าฉินอี๋ หลัวคังอันก็ทนไม่ไหว ไอออกมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ท่านประธานครับ เจอวิธีแก้ไขหรือยังครับ? แซ่หลัวก็ไม่รอดเหมือนกันครับ!”
ระหว่างทางที่เดินทางมาที่นี่ เขาพบว่าตนเองก็ไอขึ้นมาเช่นกัน รู้ทันทีว่ามีปัญหาแล้ว
ฉินอี๋กล่าว “กำลังตรวจสอบอยู่ค่ะ” ขณะกล่าวก็เหลือบมองหลินยวนเล็กน้อย หลินยวนยกกำปั้นขึ้นมาปิดปากไอพอดี เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ติดเชื้อเช่นกัน
ส่วนหลินยวนเองก็กำลังสำรวจดูสีหน้าท่าทางของเธออยู่เช่นกัน เมื่อเห็นว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ภายในใจก็รู้สึกโล่งอก
แต่สายตาของทั้งสองคนกลับสบตากันพอดี ฉินอี๋เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างดูแคลน ท่าทางเย่อหยิ่ง เดินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจ
หลินยวนเม้มปากโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เมื่อเห็นหลัวคังอันเดินตามไป ตัวเองก็เดินตามไปอย่างเงียบๆ ด้วยเช่นกัน
ลั่วเทียนเหอตามเว่ยผิงกงไป ตะโกนเรียกผบ.เว่ย หลังจากอีกฝ่ายหยุดเดิน เขาก็เดินเข้าไปขอคำชี้แนะอีกครั้ง “ข่าวที่ผบ.เว่ยแจ้งมาก่อนหน้านี้ ที่ว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นที่นี่เกิดขึ้นจาก ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ที่หายสาบสูญไปเป็นเวลานานแล้ว ไม่ทราบว่ามีอะไรยืนยันไหมครับ? ”
เรื่องนี้จะประมาทไม่ได้แม้แต่น้อย เขาจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ชัด ไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง และนี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่เขามาที่นี่ด้วยตัวเอง
เว่ยผิงกงเหลือบมองหลัวคังอันที่ตามมาด้วย ไม่พูดพร่ำทำเพลง พลิกฝ่ามือหยิบกล่องโลหะขนาดเท่ากำปั้นออกมา จากนั้นโยนให้อีกฝ่าย
ลั่วเทียนเหอรับมาอยู่ในมือ ไม่รู้ว่าคืออะไร จึงเปิดกล่องออกดู
……………………………………………………………………..