ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 21: เด็กหนุ่มปริศนา(3)
“ขอโทษนะ แต่เราเคยพบกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
“คิดว่าไม่นะคะ แต่เคยมีคนทักแบบนี้บ่อยๆ เหมือนกันค่ะ”
เยี่ยม! ตอบกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติดีมาก ไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ต้องเฉไฉไปให้ถึงที่สุดเท่านั้น
อย่างไรทั้งฉันและองค์รัชทายาทเองก็ไม่เคยเจอหน้ากันตรงๆ มาก่อน ถึงจะมีเดินผ่านหรือสบสายตากันบ้างบางที แต่หลังจากสีผมและดวงตาเปลี่ยนไป ฉันค่อนข้างมั่นใจเลยว่าเขาคงจำฉันไม่ได้
คุณจีบอกว่าเจอเขาสลบอยู่กลางป่าอย่างนั้นสินะ ปกติแล้วนั่นเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้นี่…ทำไมองค์ชายของอาณาจักรถึงไปล้มพับอยู่ในที่แบบนั้นโดยที่ไม่มีผู้ติดตามเลยสักคนกัน อีกอย่าง…
ฉันเหลือบมองเสื้อคลุมที่โทรมๆ กับรองเท้าหนังที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วง
มีบางอย่างเกิดขึ้นสินะ…
“งั้นอีริค จากนี้เธอจะไปที่ไหนต่อกันหรือ?”
มาสเตอร์ที่เดินออกมาจากห้องครัวเอ่ยถามองค์รัชทายาท ขณะที่กำลังทานขนมปังกับซุปข้าวโพดที่สั่งมา
เขาเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทำไมถึงได้เงียบล่ะ ไม่ใช่ว่าเขามีธุระแถวนี้อย่างนั้นหรือ?
ตอนนั้นเองที่ฉันแอบได้ยินบทสนทนาที่คุยกันจากโต๊ะด้านหลังเข้าพอดี
((เฮ้…สรุปหมอนั่นเป็นใคร มาจากไหนกันแน่?))
อีวานหันไปกระซิบถามเซนที่นั่งอยู่ข้างๆ เซนถอนหายใจพลางกระซิบตอบ
((หมอนั่นบอกว่าตัวเองชื่ออีริค บอกว่าถูกโจรป่าโจมตีเลยหนีเข้าป่า จากนั้นก็หลงทาง)) (เซน)
((โจรป่า? เป็นไปไม่ได้หรอกก็เมื่อคืน…)) (อีวาน)
((อ่า…พอถูกจับได้ว่าโกหก หมอนั่นเลยเอาแต่เงียบท่าเดียวเลย)) (เซน)
((นั่นมันน่าสงสัยสุดๆ เลยไม่ใช่หรือไง! นายกล้าพาคนแบบนั้นมาที่นี่ได้ไง ถ้าเกิดลูน่าตันกับยายมีอันตรายจะทำอย่างไร!?)) (อีวาน)
((เห้ย! ไอ้แมวบ้านี่ เงียบหน่อย เดี๋ยวเขาก็ได้ยินหรอก!)) (เซน)
((พวกเจ้าทั้งคู่หนวกหูกันเสียจริง ถึงจะหรี่เสียงไม่ให้พวกเขาได้ยินแต่เราทั้งโต๊ะก็ได้ยินชัดเจนนั่นล่ะ)) (จี)
อย่าว่าแต่พวกคุณเลยค่ะ ขนาดฉันที่ไม่ได้หูดีขนาดนั้นยังได้ยินเลย แต่มาสเตอร์กับรัชทายาทกำลังคุยกันอยู่ คงไม่ได้ยินที่พวกเขากระซิบกันหรอก
((ก็เพราะหัวหน้าใจอ่อน หลังได้ยินเสียงท้องร้องของหมอนั่น ก็เลยพามาด้วยนั่นล่ะ)) (เซน)
((เจ้าก็ยืนยันกับข้าแล้วนะว่าอีริคไม่ใช่คนอันตรายอะไรน่ะ)) (จี)
((ไม่อันตรายแต่ก็ใช่ว่าจะไม่น่าสงสัยนะครับ)) (อีวาน)
((ตอนนี้ผมเริ่มเห็นด้วยกับเจ้าแมวบ้านี่แล้วล่ะ จับหมอนั่นโยนออกไปนอกร้านเลยดีไหม?)) (เซน)
((เห็นด้วย)) (สไตน์)
ฉันปิดปากแล้วพยายามกลั้นขำจนตัวสั่นริกๆ เมื่อครู่พวกเขาบอกว่าจะจับองค์รัชทายาทโยนออกไปหรือ? จะโยนออกไปจริงๆน่ะนะ? อยากร่วมวงด้วยจัง ขอเป็นคนทำหน้าที่เปิดประตูจะได้ไหมคะ…
ใช่แล้วค่ะ อันที่จริงฉันไม่ค่อยชอบขี้หน้าพวกราชวงศ์สักเท่าไหร่ ทั้งอวดดี ทั้งวางมาด ทั้งน่าหมั่นไส้ แถมยังมั่นหน้าอีกต่างหาก ที่สำคัญกว่านั้นคือชอบสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นแบบสุดๆ เลยไงล่ะ องค์รัชทายาทจะรู้บ้างไหมว่าฉันต้องเหนื่อยขนาดไหนหลังจากที่ได้ยินโครงการอันเพ้อฝันของเขาน่ะ
เอาเป็นว่าหยุดความบันเทิงไว้เท่านี้ก่อนดีกว่า…
ถูกโจรป่าโจมตี…หลงทาง…แม้จะเป็นคำโกหก แต่สำหรับฉัน ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว
ถึงจะได้ยินข่าวลือมาบ้าง เรื่องที่ว่าองค์รัชทายาทของอาณาจักรนิเวีย มีงานอดิเรกแสนดีที่ชอบออกนอกราชวังไปเพื่อเยี่ยมชมเมืองและดูความเป็นอยู่ของพสกนิกรอะไรนั่นน่ะ
รับรู้เรื่องแบบนั้นไป ฉันก็ไม่ได้รู้สึกซาบซึ้งหรือมองว่าเขาเป็นคนที่น่าชื่นชมอะไรหรอก มันก็แค่การกระทำเอาแต่ใจที่ไม่สนเลยว่าคนอื่นจะลำบากเท่านั้นล่ะ
ความจริงคงเป็นแบบนี้…ระหว่างที่องค์รัชทายาทกำลังออกเดินทาง อยู่ๆ ก็ถูกใครที่ไหนไม่รู้เข้าลอบโจมตีจนทำให้ต้องหนีเข้าไปในป่าด้วยความจำเป็น เกรงว่าเหล่าผู้ติดตามกับหน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์ก็คงถูกฆ่าไปเรียบร้อยแล้ว พวกนั้นก็พยายามปกป้องนายเหนือหัวจนเขาสามารถหนีมาถึงที่นี่ได้ เหนื่อยหน่อยนะ…
ฉันมองไปทางองค์รัชทายาทที่กำลังพูดคุยอยู่กับมาสเตอร์อย่างสนุกสนาน สถานการณ์แบบนี้ยังปั้นหน้ายิ้มได้อีก เป็นคนที่เข้มเเข็งกว่าที่คิดแฮะ
องค์ชายอีริค มอนฟอร์เต เดอ นิเวีย ที่ฉันรู้จัก เป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยอายุสิบห้าปีที่มีความรู้ ความสามารถโดดเด่นกว่าเด็กทั่วไปมาก ความสามารถด้านพลังเวทย์ของเขาตื่นขึ้นตั้งแต่ตอนที่อายุเพียงสามขวบเท่านั้น ว่ากันตามตรงแล้ว การที่ได้เห็นการฉีกยิ้มอันเสแสร้งของเขา มันทำให้ฉันเหนื่อยแทน ในขณะที่องค์จักรพรรดิให้ความสนใจในการแย่งชิงดินแดนอื่นมาเป็นของตนเองจนไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน องค์ชายกลับเลือกที่จะสนใจประชาชนมากกว่าและต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีมากกว่าการทำสงคราม เหอะ…ตลกร้ายอะไรเนี่ย
“ลูน่า~”
มาสเตอร์ส่งเสียงเรียก ฉันจึงเดินเข้าไปหา เมื่อไปถึงก็เห็นว่าองค์รัชทายาททำท่าทีบิดไปบิดมาด้วยสาเหตุบางอย่าง
“เด็กคนนี้ชื่ออีริคนะ จากนี้เขาจะมาอาศัยอยู่กับพวกเราสักพักหนึ่งนะจ๊ะ~”
อะไรนะคะ…
เหมือนกับมีฟ้าผ่าลงมาแวบหนึ่ง เสียงถาดที่ร่วงลงพื้นด้วยความไม่ตั้งใจ ฉันพยายามรวบรวมสติให้ตัวเองเผลอกรีดร้องออกไป เดอะบีสท์คนอื่นที่ได้ยินแบบนั้นก็ช็อกไปตามๆ กัน
“ที่ว่ามาอยู่เนี่ย…มันอย่างไรกันหรือคะ?”
“อ๋อ ที่จริงอีริคเขาพลัดหลงกับครอบครัวน่ะ น่าสงสารใช่ไหมล่ะ เขาไม่มีที่ไหนให้ไป ฉันเลยให้เขามาอยู่กับเราจนกว่าจะติดต่อครอบครัวได้น่ะ แต่เขาอาสาจะช่วยงานร้านเราฟรีๆ ด้วยนะ”
“ช้าก่อนยาย! นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!?”
คุณจีพูดโผงขึ้นมาเสียงดังจนทุกคนสะดุ้งโหยง หลังจากนั้นเดอะบีสท์คนอื่นๆ ก็เริ่มโวยวายขึ้น แล้วบอกว่าจะช่วยดูแลเด็กหลงคนนี้เอง แต่มาสเตอร์ก็ดึงดันปฏิเสธหัวชนฝา เธอบอกว่าในป่ามันอันตรายเกินไปสำหรับมนุษย์ แถมอีริคเองก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ดังนั้นเธอเลยไม่สามารถวางใจและปล่อยเขาไปได้
ส่วนฉัน…สติหลุดจนหน้าซีดไปแล้ว พลักหลงกับครอบครัว…โถ ช่างคิดได้นะ องค์จักรพรรดิมาได้ยินนี่คงน้ำตาร่วงเลยมั้งเนี่ย จะแสร้งเป็นเด็กหลงไปเพื่อ? เดี๋ยวปั๊ด! จับห่อใส่ถุงแล้วโยนกลับราชวังเสียเลยนี่…
“จริงด้วย! แล้วลูน่าล่ะ? จะให้เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายที่มาจากที่ไหนไม่รู้ อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันงั้นหรือ!? ลูน่า เจ้าก็พูดอะไรหน่อยสิ”
คุณจีหันมาหาฉันที่ยืนอึ้งอย่างไม่พูดไม่จา สีหน้าของเขาเหมือนกับกำลังจะสื่อว่าให้รีบปฏิเสธเร็วเข้า เดี๋ยวพวกเราจะช่วยสนับสนุนเอง กะจะให้ฉันไปอยู่ฝ่ายคุณสินะ แต่ว่า…
“มาสเตอร์ว่าอย่างไร ฉันก็ว่าตามนั้นค่ะ”
ขอโทษนะคะ แต่ฉันมันก็แค่ผู้ขออาศัยเหมือนกัน ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงกับเรื่องนี้มากนักหรอกค่ะ
ใบหน้าของคุณจีเหมือนกับใจแตกสลาย เขาเข่าทรุดลงกับพื้นราวกับยอมแพ้
“ช่วยไม่ได้งั้น…อีวาน! สไตน์!”
คุณจีพูดพลางดีดนิ้ว อีวานกับสไตน์ผงกหัวอย่างเข้าใจก่อนที่จะกลับร่างไปเป็นแมวกับพังพอนขนปุย
อ๊าย~ ไม่เห็นตั้งนาน ยังน่ารักเหมือนเคยเลย…ว่าแต่คืนร่างทำไมกันนะ?
“งั้นอย่างน้อยช่วยรับเจ้าพวกนี้ไปคุ้มกัน…”
คุณจีหิ้วอีวานกับสไตน์ขึ้นมาแล้วยื่นมาทางฉัน แต่ตอนนั้นเองเซนก็รีบเดินเข้ามาขวางแล้วห้ามเอาไว้
“หยุดเลยครับ! ถ้าเจ้าสองคนนั้นอยู่นี่แล้วเราจะทำงานกันได้ไงล่ะ?” (เซน)
“หนวกหูน่า! ก็ฉันห่วงลูน่าตันนี่นา ฉันจะนอนนี่ล่ะ!” (อีวาน)
“แบบนี้…ปลอดภัยกว่า” (สไตน์)
“ไม่ต้องห่วง แค่ข้าคนเดียวก็คุมได้ทั้งป่าแล้ว” (จี)
“ถ้าทำได้จริงป่านนี้เราสบายไปนานแล้วครับ!!” (เซน)
โอย~ คิดอะไรของพวกเขาอยู่กันเนี่ย แบบนี้มาสเตอร์กับองค์รัชทายาทก็ลำบากใจกันแย่สิ มีฉันอยู่ทั้งคน ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกน่า
ยังดีนะที่อย่างน้อยเซนก็ไม่เป็นไปกับเขาด้วย
แต่พูดยังไม่ทันขาดคำ เซนก็โน้วตัวเข้ามาใกล้พลางกระซิบที่ข้างหูของฉัน
‘ตอนกลางคืนพวกเราจะคอยอยู่ใกล้ๆ เอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ให้ตะโกนทันทีเลยนะ แล้วก็พกนี้ไว้ด้วย…’
พูดจบ เซนก็ยื่นดาบที่เหน็บอยู่ข้างเอวมาให้ฉัน
ไอ้นี่มัน…ดาบที่ใช้ฟันฉันเมื่อคืนก่อนไม่ใช่หรือไง…
ขอถอนคำพูด ไม่ว่าหน้าไหนก็กังวลกันจนเกินเหตุไปหมด ฉันสุดจะทนเลยตัดสินใจบอกให้ทุกคนกลับบ้านไปให้หมด ถึงแม้มันจะดูเหมือนเป็นการบังคับนิดหน่อยก็ตามที
หลังจากที่พวกเขายอมกลับไปแล้ว ฉันก็เหลือบไปเห็นดาบที่คุ้นตาซึ่งมาเหน็บไว้ที่เอวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ทั้งๆ ที่ฉันยื่นคืนไปแล้วแท้ๆ พูดไม่ฟังกันเลยจริงๆ ใช่ไหมเจ้าจิ้งจอกหัวดื้อนี่!
“ขอโทษนะคะ พวกเขาเป็นแบบนี้แต่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไรหรอก”
ฉันหันกลับไปพูดกับองค์รัชทายาทที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ข้างมาสเตอร์
“ไม่หรอก เราเข้าใจนะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นห่วงเธอกับคุณยายเอามากๆ เลย แถมเรายังดูเป็นคนน่าสงสัยด้วยสิ”
เขาพูดออกมาพลางเกาแก้มตัวเองอย่างประหม่า
ถ้ารู้ตัวก็รีบกลับไปสินะ มานั่งยิ้มอะไรอยู่ตรงนี้เล่า…
เฮ่อ~ สรุปแล้วก็ต้องลงเอยแบบนี้จนได้ แต่เอาเถอะ ให้ไปอยู่กับเดอะบีสท์ก็น่าเป็นห่วงกว่าจริงๆ นั่นล่ะ
หลังจากที่ฉันทำความสะอาดร้าน มาสเตอร์ก็พาองค์รัชทายาทไปที่ห้องว่างชั้นสอง ซึ่งห้องนั้นก็อยู่ข้างๆ ห้องฉันนั่นเอง
จะหลับสนิทไหมเนี่ยฉัน…
ดูเหมือนว่ามาสเตอร์จะชอบองค์รัชทายาทมาก ขนาดตัวเองเข้านอนไปแล้วแต่ก็ยังแอบวานให้ฉันทำนมอุ่นๆ ไปให้กลางดึก
เธอคงกลัวว่าเด็กหนุ่มตัวเล็กๆ ที่มาในสถานที่ที่ไม่คุ้นตา จะไม่สามารถข่มตานอนหลับได้ล่ะมั้ง แต่วันหลังเอามาให้เองเถอะนะคะ ฉันไม่ค่อยอยากยุ่งกับองค์รัชทายาทเท่าไหร่ด้วย
ฉันไม่ได้ทำไปเพราะอยากหรอก เพราะมาสเตอร์ขอร้องต่างหาก รีบๆยื่นให้แล้วกลับห้องไปแล้วกัน
“ขอโทษที่มากวนนะคะ…ไม่ทราบว่านอนหรือยังคะ?”
ฉันเคาะประตูเรียกพร้อมกับถือแก้วนมไว้ในมืออีกข้าง
ยืนรอหน้าห้องอยู่พักหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ หรือว่าเขาจะนอนแล้วกันนะ
ถ้านอนไปแล้วก็ช่วยไม่ได้ นมแก้วนี้ฉันคงต้องเป็นคนจัดการเองแล้วสิ
วินาทีที่กำลังจะหมุนหัวกลับ ฉันก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างหล่นลงพื้น
“ยังไม่นอนสินะ โล่งอกไปที”
ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาเลยสักแอะ ฉันรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลที่อยู่ด้านหลังประตูบานนี้
นั่นไง…เป็นคนที่ชอบสร้างแต่ความเดือดร้อนจริงๆ ด้วย…
“งั้นฉันขอเข้าไปหน่อยนะคะ”
-เหตุการณ์ก่อนหน้านี้-
ต่อจากนี้จะทำอย่างไรต่อดี
อีริคพยายามใช้ความคิด ในขณะที่นั่งอยู่ในห้องซึ่งถูกเตรียมโดยมาสเตอร์เจ้าของร้าน
เขาซึ้งใจมากที่เธอเชื่อเรื่องที่เขาแต่งขึ้นแล้วยอมให้มาอาศัยที่นี่ชั่วคราว ในตอนนี้ตัวเขาไม่มีที่ไหนจะไปแถมยังไม่มีเงินติดตัวพอที่จะเช่าห้องพักดีๆ ได้
หลังจากที่ถูกช่วยเอาไว้ อีริคเองก็ตั้งใจจะขอความช่วยเหลือจากกลุ่มคนแปลกหน้า แต่เมื่อได้รู้ความจริงว่ากลุ่มคนเหล่านั้นไม่ใช่มนุษย์ อีริคก็เลือกที่จะไม่เชื่อใจในทันที
แม้ภายนอกอีริคจะไม่ได้แสดงท่าทีผิดปกติอะไรออกไป แต่ภายในเขากลับกลัวจนตัวสั่น กลัวถึงขั้นที่คิดว่าตัวเองอาจจะถูกฆ่าหลังจากบอกความจริงออกไปก็เป็นได้ ยิ่งเป็นเผ่าปีศาจ ความกลัวก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก
อิริคจะคิดมากขนาดนั้นก็ไม่แปลก เพราะองค์จักรพรรดิซึ่งเป็นคนที่เนรเทศเผ่าปีศาจออกไปจากอาณาจักรนั้น ก็คือท่านปู่ของเขาอย่างไรล่ะ แถมเหล่าจอมเวทย์ที่ทำเรื่องโหดร้ายกับเผ่าปีศาจยังเป็นจอมเวทย์ที่ขึ้นตรงกับอาณาจักรอีกด้วย อีริครู้เรื่องนั้นมาโดยตลอดแต่ก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ ถ้าไม่ถูกเนรเทศก็คงจะไม่เจอกับเรื่องพวกนี้ สำหรับเผ่าปีศาจ หากมีคนของราชวงศ์มายืนอยู่ต่อหน้า มีหรือจะไม่อยากจะเดินเข้ามาฉีกร่างของพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ
อีริคโล่งอกที่เดอะบีสท์ไม่ได้ติดใจ หลังจากที่ได้เห็นสีผมและดวงตาคู่นี้ของเขา บางทีสำหรับเผ่าปีศาจ มนุษย์อาจเหมือนๆ กันหมดก็เป็นได้
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ขอโทษที่มากวนนะ…ไม่ทราบว่านอนหรือยังคะ?”
อีริคหันไปมองทางประตู คงจะเป็นเด็กสาวที่อาศัยอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับเขา ถึงจะไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แต่เขาได้ยินทุกคนเรียกเธอว่าลูน่า
ไม่รู้ทำไมอีริคถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเธอ ราวกับเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน บางทีเขาน่าจะถามเธอเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง…
เขาลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินไปเปิดประตู แต่แล้วก็ถูกใครบางคนเอื้อมมือมาปิดปากไว้จากด้านหลัง
อีริคแตะไปที่มือนั้นแล้วอัดพลังเวทย์เข้าไป แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเหลือบไปมองที่พื้นแล้วก็เห็นวงเวทย์บางอย่าง หรือว่านี่คือเขตสลายเวทย์
เขตสลายเวทย์เป็นวิชาเฉพาะของสาย Assassin ซึ่งใช้สำหรับสังหารศัตรูเพียงเดียว โดยเขตนี้จะทำให้เป้าหมายไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่แค่เพียงชั่วขณะหนึ่งก็มากพอให้ปลิดลมหายใจของอีกฝ่ายแล้ว
ชายคนนี้คือนักฆ่า มิหนำซ้ำยังเป็นนักฆ่าระดับสูงที่สามารถกางเขตสลายเวทย์ได้อย่างสมบูรณ์อีก ไม่ได้การแล้ว ถ้าใช้พลังเวทย์ไม่ได้แบบนี้มีหวังได้ตายเข้าจริงๆ แน่
อีริคพยายามที่จะขัดขืน แต่ศอกก็ดันไปชนเข้ากับเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ จนล้มลงแทน
“ยังไม่นอนสินะ โล่งอกไปที”
เสียงจากอีกฟากของประตู ทำเอาอีริคเบิกตากว้าง
ลืมไปเลยว่าลูน่ายังอยู่หน้าห้อง แย่ล่ะสิ ถ้าแต่เขาคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเกิดเธอต้องมาพัวพันกับเรื่องนี้ด้วยก็แย่แน่
“งั้นฉันขอเข้าไปหน่อยนะคะ”
ไม่ได้นะ! ห้ามเข้ามา! เขาพยายามที่จะส่งเสียงแต่ชายที่อยู่ด้านหลังไม่ยอมให้ทำแบบนั้น
ผ่านไปเกือบนาทีแต่ประตูก็ไม่ถูกเปิดออก สายตาของพวกเขาต่างพากันจับจ้องไปที่ประตูอย่างหวั่นใจ ตอนนั้นเองที่มีใครอีกคนลอบเข้ามาจากด้านหลัง…
*กรึ่บ* เสียงกระดูกเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววิ ทำให้นักฆ่าคนนั้นคลายมือออกจากปากอีริคแล้วล้มลง
อีริครู้ว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ด้านหลัง คนๆ นี้จัดการนักฆ่าระดับสูงได้เพียงแค่ไม่กี่ บางทีอาจจะเป็นนักฆ่าอีกคนที่ถูกส่งมาก็เป็นได้
ตอนนี้เขตสลายเวทย์นั้นได้หายไปแล้ว เขากลับมาใช้พลังเวทย์ได้อีกครั้ง แต่อีริคก็เลือกที่จะดูท่าทีไปก่อน เขายังมีสติพอที่จะคิดได้ว่าคนที่มาช่วยอาจจะไม่ใช่ศัตรู
มีนิ้วมือเรียวบางมาสัมผัสที่ฝ่ามือ ไม่นานเขาก็ถูกบังคับให้ถืออะไรบางอย่าง อีริคขยับจมูก จากนั้นก็ได้กลิ่นนมลอยโชยมาจากที่ไหนสักแห่ง
เขาก้มหน้ามองของที่อยู่ในมือ ปรากฏว่ามันคือแก้วที่ใส่นมอุ่นเอาไว้อยู่นั่นเอง อีริคมองมันตาปริบๆ แล้วใครบางคนก็เดินออกมาจากด้านหลังของเขา
ความกลัวของเขาหายไปทันทีหลังจากที่เห็นเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนสยาย รูปโฉมที่ดูงดงามเสียจนน่ากลัวนั้นทำเอาอีริคถึงกับขนลุก
เธอดูต่างจากตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ เด็กสาวที่ดูร่าเริงและสดใสคนนั้น ตอนนี้กลับมีสีหน้าที่ว่างเปล่าและแววตาที่ไร้ความรู้สึกราวกับเป็นคนละคน เขารู้จักแววตาและสีหน้าแบบนี้ดี
แม้จะสบสายตากันเพียงครู่เดียว แต่มันก็สะกิดใจเขาตั้งแต่แรกเห็น
“นาวาเอก…เรเวนสครอฟต์?”