ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 19: เด็กหนุ่มปริศนา(1)
ท้องฟ้าอันมืดมิด ท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของเหล่ามนุษย์นัก
ยามเมื่อตะวันลับฟ้า นั่นคือเวลาที่มอนสเตอร์เริ่มออกอาละวาด มอนสเตอร์บางประเภท ก็มักจะเป็นพวกซุกซน ที่ชอบไปป่วนเล้าไก่หรือแอบขโมยอาหารที่มนุษย์เก็บไว้บางส่วน คล้ายกับเป็นการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆ นั่นคือพวกมอนสเตอร์ระดับล่างที่ไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจมากนักขนาดนั้น เพราะปัญหาที่ควรใส่ใจมากที่สุด ก็คือพวกมอนสเตอร์ที่ชอบใช้ความรุนแรงหรือพวกที่กินเนื้อเป็นอาหารต่างหาก
‘มอนสเตอร์’ ชื่อเรียกที่ฟังดูกว้าง และใช้แทนสัตว์ร้ายได้เกือบทุกประเภท มีนักค้นคว้าหลายคนที่พยายามศึกษาและออกสำรวจ เพื่อตามเก็บรวบรวมข้อมูลมาโดยหวังว่ามันจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีการสำรวจอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น เนื่องจากพวกมอนสเตอร์ในแต่ละแห่งนั้นมีลักษณะเฉพาะตัว และบางพวกยังสามารถวิวัฒนาการตัวเองเพื่อความอยู่รอดได้อีกด้วย
สิ่งที่จะสามารถปกป้องทุกคนจากมอนสเตอร์ได้ เห็นทีจะมีเพียงพลังแฝงที่แผ่ออกมาจากผลึกมานาอันบริสุทธิ์เท่านั้น นั่นก็หมายความว่าสถานที่ที่มีพลังแฝงนั้นแผ่ออกมามากที่สุดอย่างเมืองหลวงจะไม่มีทางถูกมอนสเตอร์โจมตีอย่างแน่นอน ผิดกับสถานที่รอบนอกที่ห่างไกลจากผลึกมานานั้น แม้ว่าจะไม่มีผลกับการใช้พลังเวทย์ก็ตามแต่พลังแฝงอันเบาบางไม่สามารถจะปกป้องผู้คนจากมอนสเตอร์ได้ ดังนั้นไม่แปลกเลยที่หมู่บ้านตามแถบนั้นจะถูกโจมตี
ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่อันตรายและทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัยเลยสักนิด แต่อย่างที่รู้กันหลายปีมานี้ ทางอาณาจักรไม่ได้ให้ความใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก มุ่งแต่จะทำสงครามและหวังชนะ
ในฐานะเจ้าเมือง เขามีหน้าที่ต้องปกป้องชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ หากทหารของอาณาจักรไม่สนใจดูดำดูดี เช่นนั้นการที่เขาเลือกที่จะทำสัญญากับปีศาจก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
แต่สถานการณ์ตอนนี้กำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว…
“ไม่ว่าอย่างไรพวกแกก็จะไม่เปลี่ยนใจเลยใช่ไหม?”
ชายคนหนึ่งที่หน้าเต็มไปด้วยบาดแผลพูดออกมาแล้วเบ้ปากอย่างไม่พอใจ เขาจ้องมองด้วยดวงตาสีแดงก่ำดั่งอสุรกาย ชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์…
จี ผู้ที่เป็นหัวหน้าของหน่วยทหารรับจ้างปีศาจหรือเดอะบีสท์ ยืนกอดอกมองชายคนนั้นอย่างใจเย็น ด้านหลังของจีมีลูกน้องที่ไว้ใจได้คอยระวังหลังให้อยู่ เคียวที่งอกออกมานั้น พร้อมที่จะจัดการใครก็ตามที่ตั้งใจจะเข้ามาปองร้ายหัวหน้าของเขา
ชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลเองก็สวมเครื่องแบบเดียวกับที่พวกจีสวมอยู่ เขาก็เป็นเดอะบีสท์เช่นกัน หน่วยของชายคนนี้ได้ทำการปะทะกับหน่วยของจีมาเป็นเวลาหลายคืนแล้ว
“รอบก่อนลูกน้องแกก็มาขัดขวางแผนการฉันจนเสียไปหมด แถมพวกแกยังรวมหัวกันมาคอยขัดแข้งขัดขาพวกฉันแทบจะทุกคืน คิดหรือว่าแค่แกคืนร่างเป็นมังกรแล้วพวกฉันจะกลัวน่ะ!!”
ความคับแค้นใจส่งผ่านมาผ่านท่าทางและคำพูด จียังคงกอดอกแล้วตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“ข้าเพียงแต่ทำหน้าที่ของข้าเท่านั้น เจ้ากับเดอะบีสท์พวกนั้นต่างหากที่เสียสติไปแล้ว อยากเป็นปีศาจเฉกเช่นกับข่าวลือหรือ?”
“การมีชีวิตอยู่มากว่าร้อยปีนั้นไม่ทำให้แกฉลาดขึ้นเลยหรือไงไอ้มังกร มนุษย์น่ะ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ความคิดสกปรกๆ ของพวกมันก็ไม่มีวันเปลี่ยนได้หรอก ไม่ว่าพวกเราจะทำดีแค่ไหน เป็นมิตรเท่าไหร่ พวกมันก็จ้องแต่จะคอยหักหลังความเชื่อใจของพวกเราอยู่ตลอด…”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
จีพูดขัดออกมาเสียงแข็ง แต่ชายคนนั้นก็ทำหูทวนลมและพูดต่อ
“เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว! ตอนนี้ทหารของอาณาจักรกำลังจะมา ไม่นานเดอะบีสท์ก็จะไม่จำเป็นสำหรับที่นี่อีกต่อไป แล้วแกคิดว่าเจ้าเมืองนั่นจะทำอย่างไรกับพวกเราล่ะ?”
นับตั้งแต่พวกเขาได้รับรู้ข่าวว่าทางอาณาจักรจะส่งทหารมาประจำการที่เขตชานเมืองนี้ เดอะบีสท์บางส่วนก็เริ่มหวั่นใจและหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังจะเกิดหลังจากนี้ เหล่าผู้คนที่คอยหวาดกลัวและมีอคติกับพวกเขาอยู่ตลอด แต่ไม่อาจขับไล่พวกเขาไปได้เพราะว่าจำเป็นต้องให้พวกเขาอยู่เพื่อกำจัดมอนสเตอร์ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปทันทีถ้ามีทหารของอาณาจักรมารับหน้าที่นั้นแทน
เดิมทีเผ่าปีศาจก็ไม่เป็นที่ยอมรับของที่นี่อยู่แล้วด้วย ไม่มีทางไหนเลยที่จะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกขับไล่ ยิ่งสำหรับเดอะบีสท์ที่มีตราประทับนั้น พวกเขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวขึ้นไปอีก เนื่องจากสิทธิ์ในการควบคุมตราประทับยังอยู่ที่ท่านเจ้าเมือง มีหรือพวกเขาจะไม่กลัวว่าจะถูกกำจัดในสักวัน หากถูกสั่งให้โดดลงหน้าผาหรือฆ่าตัวตายขึ้นมาก็ไม่อาจต่อต้านได้ คำสั่งของตราประทับนั้นไม่เคยมีใครสามารถต่อต้านมันได้เลยแม้แต่คนเดียว
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เดอะบีสท์บางส่วนเริ่มรวมตัวกัน แล้วพยายามที่จะจับผู้คนในหมู่บ้านมาเป็นตัวประกัน และตั้งใจที่จะใช้คนเหล่านั้นต่อรองกับท่านเจ้าเมืองแทน
“การกระทำของพวกเจ้ามีแต่จะทำให้มนุษย์แคลงใจในตัวพวกเรามากยิ่งขึ้น การกระทำโง่ๆ นี้มีแต่จะทำให้เดอะบีสท์เขตอื่นๆ เดือดร้อนไปด้วยรู้ตัวไหม!?”
“หนวกหูน่า~ ทุกคนล้วนแต่อยากมีชีวิตรอดกันทั้งนั้น ใครมันจะยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบแบบนี้ไปตลอดวะ…”
พอพูดจบชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็ปรบมือ เหมือนกับเป็นการให้สัญญาณบางอย่าง ไม่นานก็มีกลุ่มคนจำนวนมากเดินออกมาจากเงามืดพร้อมด้วยอาวุธครบมือ
หลังจากที่ถูกร่างมังกรของจีจัดการไปเมื่อคราวก่อนทำให้พวกนั้นเสียกำลังพลไปมาก ดังนั้นเพื่อที่ไม่ให้เสียเปรียบให้เรื่องของกำลังพล พวกของชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลจึงต้องจ้างกลุ่มโจรป่าที่อาศัยอยู่ในละแวกนี้มาร่วมด้วย รวมแล้วก็มีจำนวนเกือบร้อยคนได้ สำหรับเดอะบีสท์ที่จ้องจะจับคนในหมู่บ้านเป็นตัวประกันและโจรป่าที่ต้องการจะจับคนในหมู่บ้านไปขาย ถือว่าเป็นพวกที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าอย่างไรการที่ได้กำจัดหน่วยของจีก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่
แต่แล้วกลุ่มคนพวกนั้นอยู่ๆ ก็มีอาการอ่อนแรง ต่างคนต่างไม่สามารถขยับตัวได้ ไม่นานพวกเขาก็ล้มลงไปกองกับพื้น
“พะ…พวกแกเป็นอะไรไป!?”
ชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลพูดออกมาด้วยท่าทีที่ตกใจสุดขีด
“หนอย! แกเป็นคนทรยศงั้นหรือ…”
ลูกน้องคนหนึ่งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคียดแค้นก่อนที่ตัวเองจะสลบไป เมื่อชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าที่งุนงงออกมา…เจ้านั่นพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย
และแล้วก็มีใครบางคนเดินออกมาจากเงามืด เมื่อเห็นว่าใครกันที่เดินออกมา ชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลแทบจะหยุดหายใจไปชั่วขณะ เขาจ้องชายคนนั้นจนตาแทบถลน คนที่เดินออกมานั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับตัวเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เป็นไปไม่ได้ ตัวเขารู้ดีว่าตนนั้นไม่มีญาติพี่น้องหรือฝาแฝดจากไหน แล้วคนที่ยืนตรงหน้านี้มันใครกัน!?
“ดูเหมือนว่าจากนี้นายจะไม่ได้รับความไว้ใจจากลูกน้องตัวเองอีกต่อไปแล้วนะ~”
น้ำเสียงนั้นพูดขึ้น ภาพลักษณ์ของชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลค่อยๆ สลายหายไป เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มีดวงตาสองสี มันคือความสามารถเฉพาะที่มีเพียงปีศาจจิ้งจอกเท่านั้นที่สามารถทำได้ [การแปลงกาย] …
เซนมองไปทางชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลพลางยิ้มเยอะ ชายคนนั้นจ้องกลับด้วยสีหน้าที่เดือดจัด
“กะ…แก! แกทำอะไรลงไปหะ!?”
“ก็แค่~ สวมบทบาทเป็นหัวหน้าที่แสนดี เลี้ยงเหล้าพวกลูกน้องพร้อมกับแถมพิษอัมพาตเล็กๆให้เป็นของขวัญเท่านั้นเอง~”
เซนพูดพร้อมกับเดินตรงไปหาจีซึ่งเป็นหัวหน้า โดยที่ปล่อยให้ชายคนนั้นยืนหน้าซีดอยู่อย่างนั้น
เมื่อลูกน้องพวกนี้ได้สติและพ้นจากฤทธิ์ของอัมพาต พวกเขาทั้งหมดต้องพุ่งเป้ามาที่ชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลอย่างเข้าใจผิดเป็นแน่ ด้วยนิสัยอันเลือดร้อนและป่าเถื่อน ไม่มีทางที่คนพวกนี้จะมานั่งฟังคำแก้ตัวของเขาแน่ มีทางเดียวที่จะรอดไปจากสถานการณ์แบบนี้ได้ มีแต่จะต้องหนีไปตอนนี้เท่านั้น ระหว่างที่กำลังจะตัดสินใจ จีก็พูดขึ้น
“มันจบแล้วล่ะ เจ้าไม่สามารถนำใครมาบุกโจมตีหมู่บ้านแถบนี้ได้อีกแล้ว ทางที่ดีรีบออกไปจากที่นี่เสียเถอะ”
คำพูดของจีทำให้ชายคนนั้นกำหมัดแน่น
ใครมันจะยอมให้จบแบบนี้กัน! แม้จะเป็นเพียงปีศาจที่ยังไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แต่ก็ยังฝืนที่จะคืนร่างโดยไม่นึงถึงผลที่จะตามมา
ก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลาย เสียงลั่นไกลได้ดังขึ้นหนึ่งนัด และแล้วชายที่เต็มไปด้วยบาดแผลก็เข่าทรุดแล้วล้มลงไปนอนกับพื้น ไร้ซึ่งบาดแผล กระสุนพิเศษที่สร้างมาจากชินของเขามีผลให้ชายคนนั้นหมดสติไปเท่านั้น
เป็นฝีมือของเดอะบีสท์อีกคนที่ซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ไกลมากนัก
“ไม่ต้องขอบคุณนะเจ้าหมา อย่างไรฉันก็มีหน้าที่ปกป้องคนอ่อนแออยู่แล้ว”
อีวานพูดพร้อมกับยกมือคู่ใจขึ้นมาเป่าอย่างวางมาด เซนมองไปทางอีวานอย่างเอือมๆ ก่อนจะตอบกลับ
“ไม่ได้คิดจะขอบคุณแต่แรกแล้วล่ะ ฉันไม่ได้ขอให้ช่วยสักหน่อย”
“เหอะ~ ทำเป็นปากดี”
ปะทะฝีปากกันพอหอมปากหอมคอแต่เพียงเท่านี้ พวกเขายังต้องกลับไปทำงานของพวกเขาต่อ
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องแปลกใจที่วันนี้จำนวนของมอนสเตอร์นั้นดูน้อยกว่าปกติ นี่ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาหรือเปล่านะ ตามปกติ การที่ต้องเสียพลังงานไปกับการจัดการเดอะบีสท์และมอนสเตอร์ในเวลาเดียวกัน มักจะทำให้พวกเขาเหนื่อยกันมิใช่น้อย แปลว่าวันนี้พวกเขาสามารถกลับไปนอนพักผ่อนได้ไวกว่าทุกที
“ลัคกี้! เตียงจ๋าฉันมาแล้ว~” (อีวาน)
“หนวกหูไอ้แมวโง่” (เซน)
“อย่างไรงานวันนี้ก็จบลงแล้ว รีบกลับไปนอนเอาแรงกันดีกว่า” (จี)
ทุกคนเก็บอาวุธของตนเองพร้อมทำท่าเตรียมจะเดินกลับ แต่แล้วจีก็สังเกตเห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของสไตน์
“เป็นอะไรไป?”
เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
“พวกนั้น…เดอะบีสท์พวกนั้นจะไม่กลับมาแล้วใช่ไหมครับ…คนในหมู่บ้านปลอดภัยแล้วใช่ไหม…”
คำพูดที่ว่า ‘คนในหมู่บ้าน’ ของสไตน์ จีรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังพูดถึงลูน่ากับมาสเตอร์ของร้านโวยยะอยู่ เด็กที่เอาแต่เงียบไม่ค่อยพูดอะไรออกมามากนัก ตั้งแต่ที่รู้จักกับร้านโวยยะ เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด ค่อยๆ เปิดใจให้กับมนุษย์มากขึ้นทีละนิด ไม่เพียงแต่สไตน์ ทั้งเซนและอีวานเองก็คิดว่าร้านโวยยะเป็นสถานที่ที่สำคัญไม่ต่างกัน
ไม่สิ ไม่ใช่สถานที่ ต้องบอกว่าคนที่อยู่ในร้านแห่งนั้นต่างหากที่มอบความวางใจให้กับพวกเขา
“ใช่ พวกเขาปลอดภัยแล้ว…”
จีพูดออกมาพร้อมกับวางมือลงที่หัวของสไตน์ ดูเหมือนการที่ชอบเอื้อมมือไปสัมผัสหัวของคนอื่น จะเป็นนิสัยติดตัวของเขา
ระหว่างทางกลับบ้าน อยู่ๆ อีวานก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตกใจ ทุกคนรีบเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่ตกใจ
“มีอะไรอีวาน เกิดอะไรขึ้น?”
จีถามออกไป ส่วนอีวานก็ตอบโดยการที่ชี้ไปที่ร่างของใครบางคนที่ตอนนี้กำลังนอนสลบอยู่ คนๆนั้นสวมผ้าคลุมพรางตัวเอาไว้เลยทำให้อีวานเข้าใจผิดว่าอาจจะเป็นคนปริศนาเมื่อคราวก่อน
“อย่าบอกนะว่านั่นคือเจ้าผ้าคลุมเมื่อวันก่อนน่ะ?”
“จะเป็นไปได้ไงเล่า…”
เซนพูดออกมาอย่างหน้าตาย จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหา ส่วนคนอื่นๆ ก็เดินตามเขาไปด้วย
“ไม่มีทั้งจิตสังหารและบรรยากาศที่ชวนขนลุก แบบนี้จะเป็นเจ้าคนที่เล่นงานฉันเมื่อวันก่อนได้อย่างไร คงเป็นแค่คนหลงทางเท่านั้นล่ะ” (เซน)
“แต่แปลกมากที่จะมีคนมาหลงทางแล้วสลบอยู่ในป่าที่อันตรายแบบนี้นี่ ไม่ใช่คนดีแหง” (อีวาน)
“เอาไงดีครับ?” (สไตน์)
จีมองไปที่คนที่หมดสติพร้อมกับครุ่นคิดอย่างหนัก สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจออกมาอย่างไม่มีทางเลือก
“ช่วยไม่ได้…พาเขากลับไปกับพวกเราก่อนแล้วกัน”