ฉันแค่หนีออกจากกองทัพ แล้วไปใช้ชีวิตที่ชานเมือง - ตอนที่ 11: ช่วงเวลาที่อบอุ่นหัวใจ
และแล้วช่วงเวลาลับๆ ระหว่างของฉันกับสไตน์หลังเลิกงานก็เริ่มขึ้น
เรามีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง เนื่องจากสไตน์แอบเดอะบีสท์คนอื่นๆ เพื่อมาเรียนอักษรกับฉัน
สไตน์เป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้ไวเกินคาด เพียงแค่ฉันคัดอักษรกับบอกวิธีออกเสียงให้ เขาก็สามารถจำได้หมดด้วยเวลาเพียงไม่นาน
ข้อมูลใหม่ที่ได้จากการสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ของเราก็คือ สไตน์เขาอายุน้อยกว่าฉัน ตอนนี้เขาพึ่งจะสิบห้าปีเท่านั้นเอง
“ไหนๆ เราก็เรียนกันมาได้สักพักแล้ว ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
ฉันเอ่ยถามสไตน์ที่กำลังคัดตัวอักษรอยู่อย่างไม่หยุดมือ เขาพยักหน้าตอบเป็นสัญญาณว่าอนุญาต
“อันที่จริง ฉันพอสังเกตได้ว่านอกจากคุณจีแล้ว อีวานกับเซนก็อ่านหนังสือได้เหมือนกัน ทำไมนายถึงไม่ขอร้องพวกเขาล่ะ?”
“หัวหน้าสอนใครไม่เก่ง ส่วนพี่อีวานกับพี่เซนก็เรียนเองเลยสอนผมไม่ได้”
“เรื่องแค่นี้ต้องเก็บเป็นความลับด้วยหรือ”
“ก็มัน…”
สไตน์พูดพร้อมกับเอามือขึ้นมาเกาหัวราวกับพยายามลดอาการประหม่า
“…น่าอายออกนี่ เรื่องนี้น่ะ”
อ่า…น่ารักจัง~ ทำไมฉันถึงไม่มีน้องชายน่ารักๆ แบบนี้สักคนกันนะ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองหลงเขาเข้าให้แล้วสิเนี่ย
แต่สไตน์ก็ทำให้ฉันรู้ความจริงอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าคนที่ใส่แว่นทุกคนจะเป็นคนรู้มากหรอกนะ เฮ่อ…สไตน์ก็เริ่มหัวดีเสียจน ตอนนี้ฉันไม่รู้จะสอนอะไรเพิ่มแล้วด้วย อีกหน่อยเขาคงไม่มาหาฉันหลังเลิกงานอีกแล้วแน่เลย…
“พี่ลูน่า อันนี้ผมเขียนถูกไหม?”
สไตน์หันมาถามฉันแล้วชี้ไปที่กระดาษของตัวเอง น่าเสียดายที่เขาเลิกเรียกฉันว่าอาจารย์เสียแล้ว
ฉันรีบตั้งสติแล้วกลับไปตั้งใจสอนเขาอีกครั้ง ไม่ได้สิ เวลาสอนคนอื่นมัวแต่คิดเรื่องฟุ้งซ่านได้อย่างไรกัน
ช่วงเวลานี้ผ่านไปไวเหมือนโกหก…เกือบเดือนแล้วแต่ฉันกลับไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเมืองหลวงเลย อันที่จริงก็มีนักค้าข่าวที่รู้จักกันระหว่างเดินทางอยู่คนหนึ่ง เธอรู้ถึงตัวจริงของฉันแต่กลับไม่ขายข่าวนี้ให้กับพวกทหาร แถมยังเดินทางร่วมกับฉันอยู่พักหนึ่งด้วย ตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ตอนนั้นแยกกันเพราะฉันยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะออกไปนอกอาณาจักรด้วยสิ พลังเวทย์หรือมานาก็ไม่มี เกิดเจอศัตรูระหว่างทางจะทำอย่างไร
พลากชีวิตผู้คนไปมาก ก็ต้องตามมาด้วยความโกรธแค้นจำนวนมากเช่นกัน ผู้คนในอาณาจักรอาจมองว่าฉันเป็นผู้กอบกู้ แต่แท้จริงฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างอะไรจากฆาตกรที่ปลิดชีพผู้คนไปนับไม่ถ้วน
คนอย่างฉันที่กำลังสนุกและเพลิดเพลินในการใช้ชีวิตแต่ละวัน หากดวงวิญญาณของเหล่าศัตรูมาเห็น พวกเขาคงอยากจะรีบฉุดฉันลงไปอยู่ในขุมนรกแบบเดียวกับพวกเขาแหง
ใช่…ฉันมันชั่วร้ายและเห็นแก่ตัวเสียยิ่งกว่า เผ่าปีศาจที่ทุกคนต่างหวาดกลัวกันอีก
“ลูน่าจัง~ ได้โปรดแต่งงานแล้วหนีไปกับผมเถอะนะ~”
นี่เป็นเช้าอีกวัน ที่ฉันต้องเผชิญหน้ากับมันด้วยรอยยิ้ม…
ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงที่ พวกผู้ชายในหมู่บ้านกำลังหาคู่ครอง เพื่อที่พวกเขาจะได้ออกเรือนแล้วมีครอบครัวเป็นของตนเอง ซึ่งในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายสุดๆ สำหรับฉันเลยค่ะ
“ลูน่า เห็นแบบนี้แต่ฉันทำไร่เก่งมากเลยนะ ถ้าแต่งงานกับฉัน เธอจะมีผักกินทั้งชีวิตเลย”
เอ่อ…ฉันไม่ใช่พวกมังสวิรัตินะคะ แถมยังชอบกินเนื้อด้วย
“หุบปากไปไอ้ไก่อ่อน! ลูน่าเขาชอบผู้ชายที่แข็งแรงต่างหาก แต่งกับฉันเธอจะปลอดภัยไปทั้งชีวิต”
ไม่ได้อยากฟังจากปากคนที่หนีเดอะบีสท์ไปแล้วทิ้งฉันไว้แบบคุณเลยค่ะ
“ไม่นะลูน่าจัง! แต่งกับผมสิ! เลือกผมทีเถอะได้โปรด!!”
…รำคาญวุ้ย ถ้าไม่สั่งอาหารก็ช่วยออกไปจากร้านเสียทีเถอะค่ะ เกะกะในร้านจริงๆ แถมยังรบกวนลูกค้าท่านอื่นอีกต่างหาก
ฉันปฏิเสธออกไปหลายครั้งแล้วนะ ทำไมพวกเขาถึงยังไม่ยอมแพ้สักทีล่ะ เคยได้ยินพวกทหารคุยกันว่าผู้ชายที่ไม่ยอมแพ้เท่านั้น ที่จะสามารถครองใจหญิงสาวได้ แต่ตอนนี้ฉันขอปฏิเสธเสียงแข็งเลยว่า ‘ไม่ใช่’ ผู้ชายทุกคนที่ทำแบบนั้นแล้วจะครองใจหญิงสาวได้หรอกนะ มิหนำซ้ำพวกเธออาจจะรำคาญจนเกลียดขี้หน้าชายคนนั้นไปเลยก็ได้ แบบฉันนี่ล่ะ
ใครก็ได้ช่วยมาพาคนพวกนี้ไปให้พ้นๆ หน้าฉันทีเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเอาน้ำร้อนในมือนี้สาดไล่พวกเขาแล้วนะ!!
ทันใดนั้นประตูหน้าร้านก็ถูกเปิดออก เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็ทำให้รู้ได้ว่าถึงเวลาที่พวกเขาจะมากันแล้ว เหล่าผู้ช่วยเหลือของฉัน!
ฉันไม่รอช้า รีบเดินตรงไปที่หน้าร้านทันที เมื่อคุณจีที่เดินเข้ามาเห็นฉันแสดงสีหน้าที่ลำบากใจ เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย
“มีอะไรรึ?”
เพียงเขาส่งเสียง ลูกค้าทุกคนก็ผวาขึ้นมาในทันที กลุ่มผู้ชายที่คอยเกาะแกะฉันก่อนหน้านี้ยังคงมองมาอย่างไม่ลดละ ฉันจึงเดินไปหลบด้านหลังคุณจี
กลุ่มผู้ชายพวกนั้นถูกสายตาที่เย็นชาประดุจสัตว์ร้ายมองจนร่างแทบทะลุ
“อึ๊ก! ไอ้พวกปีศาจร้ายนั่นมาอีกแล้ว!”
“มันเอาลูน่าจัง เป็นตัวประกันด้วย!”
“บ้าเอ๊ย! รีบหนีเร็ว รักษาชีวิตไว้”
พวกเขาพูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับวิ่งหนีออกไปทางหน้าต่างของร้าน ส่วนลูกค้าคนอื่นๆ ก็แอบย่องหนีไปแล้วเหมือนกัน
“ฟู่ว~ ไปกันได้สักที…”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ และแล้วฉันก็ถูกสายตาหลายคู่จับจ้อง…
ตายจริง ฉันตั้งใจจะมาหลบหลังคุณจีเฉยๆ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้ตัวเองจะอยู่หน่วยทหารรับจ้างแบบนี้ พอเป็นแบบนี้แล้วดูเหมือนพวกเขาเป็นบอดี้การ์ดของฉันเลย
“อ๊ะ! ขอโทษด้วยค่ะ พอดีสถานการณ์เมื่อกี้มันจำเป็นก็เลย…”
“หึ นี่หรือคนที่เคยบอกว่าจะหยุดข้า เพียงถูกบุรุษห้อมล้อมก็วิ่งมาหลบด้านหลังเสียแล้ว”
!!!
นี่ฉันโดนเขาล้อเลียนงั้นหรือเนี่ย!?! คุณจีหันมองฉันพลางขำเบาๆ
“คะ…ครั้งหน้าฉันจะหาทางรับมือเองค่ะ อ๊ะ!…ยินดีต้อนรับนะคะ”
ถึงเราจะสนิทกันแล้วแต่ตอนนี้ฉันยังทำงานอยู่นะ ฉันเดินออกมาจากคุณจีแล้วโค้งให้
“คิดถึงจังเลย ลูน่าตัน~”
อีวานพูดแล้วกำลังพุ่งมาหาฉันอย่างร่าเริง แต่แล้วเขาก็ถูกเซนที่อยู่ด้านหลังกระชากคอเสื้อกลับไปอย่างรีบร้อน
“โอ๊ย! ไอ้บ้านี่เจ็บนะ ทำอะไรของแกเนี่ย”
“อย่าเข้าใกล้เธออีวาน ตอนนี้ตัวนายเปื้อนอยู่นะ”
เซนขึงตาใส่อีวานแล้วดึงตัวเขากลับไป
พอมองดูดีๆ แล้ว วันนี้ทุกคนดูสะบักสะบอมกว่าปกติ ตามเสื้อผ้าของพวกเขามีรอยเปื้อนโคลนแล้วเลือดของมอนสเตอร์อยู่เต็มไปหมด มีเพียงแค่คุณจีที่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แถมตามแขนกับหน้ายังมีรอยขีดข่วนอยู่เต็มไปหมด วันนี้พวกมอนสเตอร์คงเยอะจนพวกเขารับมือลำบากสินะ
“อย่างไรก็ให้ฉันไปเอากล่องปฐมพยาบาลด้านบนมาให้ทุกคนดีไหมคะ?”
“ไม่ต้องห่วง~ สไตน์จะรักษาพวกเราเอง” (อีวาน)
“ปีศาจเองก็ใช้เวทย์รักษาได้ด้วยหรือคะ!?!”
ว้าว…ฉันไม่รู้ควรจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ดี เวทย์รักษาถือเป็นสิ่งที่หายากมากในสมัยนี้ ตามปกติแล้วเราจะควบคุมมานาแล้วเร่งการฟื้นฟูได้เพียงเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ถึงขั้นรักษาบาดแผลได้ แต่เผ่าปีศาจกลับมีความสามารถหายากแบบนี้ ถ้าทางกองทัพรู้ พวกเขาคงไม่ปล่อยเอาไว้แน่ แต่ถึงอย่างนั้น…
“สไตน์นี่เก่งจังเลยน้า~”
“ใช่ไหมล่ะ น้องเล็กที่น่าภูมิใจเลยนะ” (เซน)
“ถึงทุกทีจะไม่น่ารักเท่าไหร่ก็ตาม” (อีวาน)
“พวกข้าวางใจเสมอเพราะมีเขานี่ล่ะ” (จี)
ทุกคนมองไปทางสไตน์พร้อมกับส่งสายตาอบอุ่นให้ แต่สไตน์ที่เห็นแบบนั้นกลับหลบสายตาแล้วเบือนหน้าหนี
เขินแน่ๆ…ฉันว่าเขาต้องเขินแน่ๆ…
ทุกคนเดินเข้ามาในร้านแล้วตรงไปนั่งโต๊ะประจำ ก่อนจะสั่งอาหารอย่างทุกที พออาหารมาเสิร์ฟ มาสเตอร์ก็จะเดินออกมาจากหลังร้านพร้อมกับเดินไปจิบชาแล้วร่วมวงสนทนากับพวกเขา มองแล้วเหมือนกับการทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตาของครอบครัวเลย ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวตัวเองมาก่อนเลย เพราะทุกคนต่างว่างไม่ตรงกันแถมยังมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบซึ่งสำคัญกว่าจะมาสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย
“จะว่าไปเจ้าพวกนั้นยังขอเธอแต่งงานไม่เลิกอีกหรือ?”
เซนถามขึ้นมาพลางกอดอก อีวานเองก็ขมวดคิ้วแล้วเท้าคางมองมาที่ฉัน
“ห้ามตอบตกลงเชียวนะ ถ้าลูน่าตันยอมแต่งงานกับเจ้าพวกนั้นฉันโกรธจริงด้วย”
“เจ้ามีสิทธิ์อะไรไปห้ามลูน่ากัน อีวาน การเลือกคู่ครองเป็นเรื่องที่ลูน่าควรตัดสินใจเองสิ”
“ก็ผมอยากให้ลูน่าตันเจอคนดีๆนี่ หัวหน้าคิดว่าคนพวกนั้นดีพอสำหรับคนสวยขนาดนี้หรือ!?!”
อีวานพูดพร้อมกับชี้มาทางฉัน คุณจีเลี่ยงที่จะไม่ตอบแล้วยกเบียร์ขึ้นมาดื่มเงียบๆ
“แต่เรื่องนี้ฉันเองก็เห็นด้วยนะ คนพวกนั้นมารุ่มร่ามกับลูน่าจนเกินเหตุจริงๆ นั่นล่ะ เพราะตั้งแต่เปิดร้านมาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ฉันเลยไม่ทันได้หาทางรับมือ”
มาสเตอร์พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ นั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย นี่ไม่ใช่ความผิดของมาสเตอร์เสียหน่อยนะคะ
“อย่างไรก็ใช้พวกข้าช่วยดูแลร้านโวยยะนี้ด้วยดีไหม พวกข้าไม่คิดเงินพวกเจ้าหรอกนะ” (จี)
“ใช่ เราจะปกป้องลูน่าตันจากผู้ชายหน้าม่อนั่นเอง” (อีวาน)
“ไม่ต้องห่วง แค่มีพวกเราอยู่ พวกนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้ร้านแล้วล่ะ” (เซน)
” (พยักหน้า) ” (สไตน์)
ไม่ใช่แค่พวกเขาหรอก ลูกค้าคนอื่นก็ไม่เข้าร้านเหมือนกันนั่นล่ะ…แบบนั้นร้านโวยยะได้ปิดกิจการกันพอดี
แม้ทุกคนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แล้วแสดงออกว่าอยากให้การช่วยเหลือขนาดไหน แต่ฉันมองว่าการทำแบบนั้นดูจะเกินกว่าเหตุไปหน่อยนะ
“ขอบคุณทุกคนมากนะ แต่ฉันไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ อีกเดี๋ยวพวกเขาก็ยอมแพ้ไปเองนั่นล่ะ”
คนเรามีความพยายามไม่เท่ากันก็จริง แต่ว่าสักวันพวกเขาก็จะเลือกที่จะยอมแพ้ไปเอง…แบบเดียวกับที่หมอนั่นทำกับฉันไง
เมื่อเห็นฉันตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม ทุกคนก็ทำหน้าเหมือนกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉันจะพูดออกไปแบบนี้ พวกเขายังคงเป็นห่วงสินะ…ที่ห่วงเพราะลูน่าที่พวกเขาเห็น เป็นเพียงเด็กสาวที่ดูบอบบางซึ่งหนีออกจากบ้านมาอย่างน่าสงสารสินะ ถ้าพวกเขารู้ว่าที่จริงแล้วฉันเป็นใคร ถึงตอนนั้นยังจะออกตัวมาปกป้องกันอยู่ไหมนะ
คนเราเปลี่ยนกันได้ง่ายจะตายไป ไม่ว่าจะมนุษย์หรือปีศาจ ฉันกลับรู้สึกว่าเราแทบไม่ต่างกันเลย ไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนดีหรือด้อยไปกว่ากันทั้งนั้นล่ะ
“…ลูน่า?”
เซนยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับวางมือลงบนหัวของฉัน
“เหม่ออะไรอยู่ ฉันเรียกเธอตั้งหลายทีแล้วนะ”
“อ๊ะ! ขอโทษนะ พอดีฉันไม่ได้ฟังน่ะ”
“คิดมากหรือ เรื่องที่พวกฉันบอกจะปกป้องน่ะ?”
“เอ่อ…มันก็…”
เซนจ้องหน้าของฉันแล้วไม่ยอมพูด แต่แล้วเขากลับเดินเข้าไปกระซิบอะไรบางอย่างกับสไตน์แทน
อะไรเนี่ย…เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาคุยกับฉันหรอกหรือ…
เซนกับสไตน์คุยอะไรบางอย่างแถมยังเหลือบมองมาทางฉันอีกต่างหาก…
((ง่ะ ไม่เอาอ่ะ…))
((เถอะน่า~ นี่ก็เพื่อลูน่าเลยนะ))
((แล้วทำไมพี่ไม่ทำเองเล่า))
((ฉันตัวใหญ่เกินไปนี่นา แบบนั้นร้านก็เละเทะกันพอดี))
ฉันมองเซนกับสไตน์สลับกันด้วยสีหน้าที่งุนงง สองคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาฉัน นี่พวกเขาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะ
ระหว่างที่กำลังลุ้นว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรแผลงๆ ฉันก็เห็นแสงสีส้มอ่อนๆ สว่างขึ้น
พอฉันพยายามที่จะหรี่ตามองก็พบว่าร่างของสไตน์ค่อยๆ หดเล็กลง เส้นขนสีน้ำตาลค่อยๆ ห่อหุ้มร่างกายของเขา หูเล็กๆ งอกออกมาพร้อมกับหาง
อะไรกัน…นี่มัน…
“น่ารักสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไงเนี่ย!?!”
ตอนนี้สไตน์ได้กลายเป็นสัตว์ตัวน้อย ที่ตัวเท่าตุ๊กตาไปเสียแล้ว! ดูดวงตาเล็กๆ นี้สิ น่ารักจังเลย~
“พึ่งเคยเห็นพังพอนครั้งแรกใช่ไหม?”
ฉันพยักหน้ารับรัวๆ อย่างตื่นเต้น
เซนอุ้มเจ้าสัตว์ตัวน้อยนั้นขึ้นมา เอ่อ…ฉันหมายถึงสไตน์นั่นล่ะ นี่คือร่างจริงของเขาสินะ
“ขะ…ขออุ้มได้ไหมคะ?”
“ไม่…” (สไตน์)
“เอ้า!” (เซน)
ฉันได้ยินเสียงสไตน์พูดปฏิเสธ แต่เซนก็ไม่สนใจอยู่ดี เขายื่นสไตน์มาให้ฉันด้วยสีหน้าที่เริงร่า
“มองความน่ารักของหมอนี่ได้เต็มที่ แล้วก็เลิกคิดมากเสียนะ พวกเราไม่ทำให้เธอกับคุณยายลำบากใจหรอก”
ฉันรับสไตน์ไว้แล้วมองเขาอยู่พักใหญ่ อย่าบอกนะว่าพวกเขาทำแบบนี้เพื่อให้กำลังใจฉันน่ะ
พิลึกแฮะ ฉันพยายามกลั้นอารมณ์ของตัวเองเอาไว้จนตัวสั่นเล็กน้อย แต่แล้วฉันก็ไม่สามารถทำได้…
“ฮ่าๆๆ ทำอะไรของพวกนายเนี่ย แต่น่ารักจริงๆ นะ…เจอแบบนี้ไปฉันรับมือไม่ไหวหรอก”
ฉันหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังจนตัวเองยังต้องแปลกใจ ฉันชูสไตน์ขึ้นพร้อมกับหมุนไปมาเพราะตั้งใจจะแกล้งเขา
ในขณะเดียวกันคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะมองมาที่ฉันแล้วซุบซิบกันเล็กน้อย
“หมดกัน…สำหรับลูน่าพวกข้าคงไม่เหลือภาพพจน์ความน่ากลัวอยู่แล้วสินะ”
จีพูดออกมาพลางถอนใจ
“นายก็ไม่ได้ห้ามพวกเขาทำนี่ อีกอย่างมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง ฉันพึ่งจะเคยเห็นลูน่าหัวเราะออกมาขนาดนี้ครั้งแรกเลยนะ”
มาสเตอร์พูดพร้อมกับจิบชามองอย่างอิ่มเอม
“น่าอิจฉาจังนะ ร่างจริงของฉันน่ารักกว่าตั้งเยอะแท้ๆ เจ้าหมานั่นมันตั้งใจกวนประสาทกันชัดๆ”
อีวานบ่นอุบอิบพร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจ
…ฉันไม่ควรนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ตราบใดที่ฉันยังมีความสุขอยู่แบบนี้ ฉันก็จะตักตวงมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อการนั้นแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายช่วงเวลานี้ไปเด็ดขาด