ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 267 วีรบุรุษย่อมตายในสนามรบ
บทที่ 267 วีรบุรุษย่อมตายในสนามรบ
คุณหนูคนนี้ประหลาดมาก ตอนแรกมีพลังล้นเหลือ พูดไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็เริ่มทำตัวออดอ้อนใส่พี่ชายด้วยการซุกหน้าถูไถเขา
สาวน้อยเอ่ยบอกพี่ชายของเธอว่านอนไม่หลับ อยากให้เขาเล่านิทานให้ฟัง แต่เมื่อคนเป็นพี่เริ่มจะเล่าเธอก็ผล็อยหลับไปเสียแล้ว
ใบหน้าของหนวนหน่วนซบลงเข้ากับซอกคอของพี่ใหญ่ ต่อให้ทางเดินไม่ราบรื่นเพียงใดก็ดูไม่มีวี่แววว่าเธอจะตื่นขึ้นมาเลย
กู้หนานเดินนำพร้อมอุ้มเจ้าตัวน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนตลอดทาง โชคยังดีที่เขาเป็นคนชอบออกกำลังกาย ไม่เช่นนั้นแล้วคงปวดแขนน่าดู
“ส่งมาให้ผม”
เมื่อลงมาจากภูเขาแล้ว กู้เป่ยกับเหลียงฉือต่างก็ยืนรอกันอยู่
กู้หนานส่งคนตัวเล็กในอ้อมแขนของตัวเองให้กับคนตรงหน้า
กู้เป่ยรับคนตัวเล็กที่เหมือนลูกหมูตัวน้อยเข้าสู่อ้อมแขน สายตาพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
ใบหน้าของเขาเหมือนกับกู้หนาน เมื่อยกยิ้มขึ้นก็ทำให้รอบข้างราวกับมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน
ตอนยืนอยู่ด้วยกันยิ่งเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เพราะคนหนึ่งดูมีมาดเย็นชา ส่วนอีกคนดูอ่อนโยนกว่า
สำหรับคนอื่นแล้ว… มันช่างน่าสงสัย
ทำไมกันนะ ได้ยีนหน้าตามาเหมือนกันแท้ ๆ แต่ลักษณะนิสัยกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง?
กู้หนานถูมือของเขาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “หนานเฟิงพาพวกเขากลับไปก่อนเลย”
หนานเฟิงพยักหน้า “แล้วพวกนายน้อยล่ะครับ”
“เราจะค้างคืนกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้หนวนหน่วนจะไปหาเสือกับหมาป่าน่ะ”
ต้องบอกเลยว่ากู้หนานรู้ใจน้องสาวตัวเองสุด ๆ
ตราบใดที่น้องสาวของเขาไม่เป็นอันตราย เขาเองก็มีความสุขที่น้องสาวมี ‘ของเล่น’ ที่สามารถเล่นเป็นเพื่อนกับเธอได้
“ครับ”
หนานเฟิงพาคนพวกนั้นออกไป ส่วนหนวนหน่วนและพี่ชายต่างอยู่ที่นี่กันหมด
และเมื่อเรื่องทราบถึงหูกู้หลินโม่ เขาก็โทรมาทันที ในใจคิดอยากจะทะลุจอโทรศัพท์ออกมาทุบเจ้าพวกลูกชายกันให้หมด
[นี่แกเอาคนออกไปช่วยหมดเลยเรอะ! กลับมาเมื่อไหร่ก็รับตำแหน่งประธานบริษัทไปเลยสิ!]
กู้หนานดึงโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะเปิดลำโพงแล้วเอ่ยปฏิเสธขึ้นทันทีที่กู้หลินโม่พูดจบ
“ผมไม่รับ”
[ไม่ได้!]
กู้หลินโม่ตะคอกอย่างฉุนเฉียว
กู้หนานคิ้วขมวด “เบาเสียงลงหน่อย หนวนหน่วนหลับอยู่”
เมื่อพูดถึงหนวนหน่วน เสียงของกู้หลินโม่ก็อ่อนลงทันที
[ลูกสาวของฉันอยู่ไหน? ขอฉันดูหน่อยสิ]
เขาไม่ได้เจอหน้าลูกสาวมาหลายวันแลัว ว่ากันว่าหากไม่ได้พบกันสามวันมันก็ช่างยาวนานเหมือนผ่านพ้นฤดูใบไม้ร่วงมาสามฤดูเลยทีเดียว
ตอนนี้เขากับลูกสาวก็ไม่ได้เจอกันมาสามฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
อยากจะเกษียณแล้วจริง ๆ เสียดายที่ลูกชายคนโตไม่ยอมมารับตำแหน่งไปสักที
กู้หนาน “หนวนหน่วนหลับ เธอเจออะไรมาเยอะ แค่นี้นะครับ”
ยังไม่ทันจะได้ตอบโต้ สายโทรศัพท์ก็ถูกวางไปแล้ว
หลังจากนั้นชายหนุ่มก็กดเพิ่มเบอร์เข้าบล็อกลิสต์อย่างชำนาญ เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายโทรกลับมาได้
ทุกคน “…”
ผ่านไปไม่กี่วินาที เสียงโทรศัพท์ของกู้เป่ยก็ดังขึ้นแทน
ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ ต้องเป็นพ่อโทรมาแน่นอน
เมื่อกู้เป่ยรับสาย กู้หลินโม่ก็สบถด่าออกมาทันที
[ไอ้ลูกคนนี้นี่มันกล้าบล็อกฉันเหรอ! ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถ้าแกกลับมายังไงก็ต้องมารับตำแหน่ง ถึงจะไม่อยากรับก็เถอะ ฉันแก่แล้ว อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แล้ว แกจะต่อต้านจนฉันอกแตกตายเลยใช่ไหม…]
สีหน้าของกู้หนานยังคงเรียบเฉย มีเพียงสายตาเท่านั้นที่กำลังกลอกไปมา
“ยังมีกู้เป่ยอีกคนไม่ใช่หรือไง”
กู้เป่ยที่กำลังมองดู “…”
รอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนเหมือนฤดูใบไม้ผลิของเขานิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสีหน้าให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม
“พี่ใหญ่ ผมไม่ได้จบเอกนั้นนะ”
อย่าพยายามปัดความรับผิดชอบมาให้เขาสิ!
กู้หนาน “นายฉลาดจะตาย ไม่มีปัญหาหรอก”
กู้เป่ยยิ้มแห้ง “ผมจะไปเก่งเรื่องธุรกิจเท่าพี่ได้ยังไงล่ะ ไม่ได้หรอก”
กู้หนาน “จะให้ฉันเอาวิทยานิพนธ์ที่นายทำเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์การเงินมาให้ดูไหม?”
กู้เป่ยยิ้มมุมปากกระตุก “นั่นมันก็แค่กระดาษ อีกอย่างผมเรียนจบมานานแล้ว คืนความรู้ไปหมดแล้วละ”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย พ่อช่วยสอนงานได้”
“ผมไม่มีเวลา”
“รู้ได้ไง? ของแบบนี้นายบริหารจากที่ไหนก็ได้”
ฝาแฝดโต้เถียงกันไปมา โดยมีคนรอบข้างยืนดูกันด้วยความสนอกสนใจ
กู้หลินโม่ […]
นี่มันอะไรกัน? คนในตระกูลใหญ่ไม่แย่งชิงตำแหน่งหรือสมบัติกันเลยสักนิด ทำไมทรัพย์สินของตระกูลจึงกลายเป็นเผือกร้อน*[1] ไปได้? ส่งออกไปก็ไม่มีใครรับ เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?!
กู้หลินโม่มืดแปดด้าน
นอกจากสองแฝดจะโต้เถียงกันแล้ว พวกเขาก็ยังดึงกู้หมิงอวี๋กับกู้หมิงหลี่เขามาเกี่ยวด้วย
กู้เป่ยยกยิ้มก่อนจะมองไปที่กู้หมิงหลี่และกู้หมิงอวี๋ “จริง ๆ แล้วพวกเราต่างก็เป็นลูกหลานของตระกูลกู้ทั้งนั้น คงไม่ใช่ปัญหาหรอกถ้าจะยกช่วงต่อตรงนี้ให้เจ้าสามกับเจ้าสี่รับผิดชอบไป”
กู้หนานพยักหน้า “ไม่ใช่ปัญหา”
เพราะถึงแม้ว่าจะไม่มีธุรกิจของตระกูลกู้ พวกเขาก็สามารถสร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมาได้ นอกจากนี้พวกเขาก็อยากลงแรงไปกับกิจการของตัวเองมากกว่าด้วย
กู้หมิงอวี๋ “…”
แม่ง! โยนมาทางนี้แล้วเว้ยเฮ้ย
กู้หมิงอวี๋ปฏิเสธทันที “ผมไม่เอานะ ผมเป็นนักแสดง ไม่มีเวลาหรอก”
สีหน้าของกู้เป่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน แต่ตอนนี้มันกลับทำให้รู้สึกเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์มากกว่า
“มันไม่เป็นปัญหากับการบริหารบริษัทหรอกนะถ้าจะทำงานแสดงไปด้วยน่ะ อีกอย่างถ้าเป็นแบบนั้นมันจะทำให้นายเชิดหน้าชูตานายในวงการได้อีกด้วย”
กู้หมิงอวี๋มุมปากกระตุก “ผมคิดว่าบางทีหมิงหลี่อาจจะพร้อมเรียนรู้นะ”
วีรบุรุษย่อมตายในสนามรบ ขอโทษนะเจ้าน้องชาย!
กู้หมิงหลี่มองไปที่พี่ชายของตนอย่างเหลือเชื่อ “!!!”
“ผมยังเรียนอยู่เลย! เพิ่งจะอยู่มัธยมปลายด้วย! ถ้ามีมโนธรรมกันสักนิด พี่จะไม่พูดงี้หรอก พี่ก็รู้ใช่ไหมว่าผมเรียนไม่เก่ง?!”
เป็นพี่ชายแท้ ๆ แต่ไม่ปรานีน้องตัวเองเลยสักนิด
การสืบทอดธุรกิจของตระกูลใหญ่มันมีอะไรดีนักเหรอ? ต้องเหนื่อยทุกวัน บางทีก็ต้องมาขุ่นเคืองกับผู้ถือหุ้นบางคนด้วย ภาระก็หนัก หายใจหายคอไม่สะดวกเลยด้วย
ถ้านอนเล่นอยู่เฉย ๆ แล้วมีเงินค่าขนมเข้าเดือนละเกือบล้านก็ดีสิ!
กู้หมิงหลี่ยกยิ้มเยาะเย้ย อย่าหาว่าเขาใจร้ายเลยนะพี่ชาย
“พี่ เอาจริง ๆ นักแสดงเองก็มีผู้ช่วยไม่ใช่เหรอ พี่ไม่ต้องทำอะไรเองหมดทุกอย่างนี่นา ยังพอมีเวลาเจียดมาดูแลบริษัทอยู่หรอก พี่ก็แค่เลือกบทดี ๆ ให้ตัวเองทำบ้างก็แค่นั้นเอง”
กู้หมิงอวี๋ “…ไร้สาระ แค่พูดมันก็ง่ายน่ะสิ!”
เมื่อไม่อยากได้มรดกของตระกูล เหล่าพี่น้องจึงเผากันเอง
ไป๋โม่ซูนั่งจิบชาด้วยท่าทางสง่างาม ส่วนไป๋โม่ฮัวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็กำลังชมความวุ่นวายอย่างมีความสุข ส่วนหนวนหน่วนหลับไปแล้ว
กู้อันรู้สึกดีใจ : และยังโชคดีที่เขาเป็นน้องชายคนเล็ก ทุกคนเลยมองข้ามไป
แต่เห็นได้ชัดว่าเขาคิดน้อยไปหน่อย
เมื่อเห็นใบหน้าของกู้หลินโม่อึมครึมลงประหนึ่งว่าฝนจะกระหน่ำลงมา กู้หนานก็พูดขึ้น
“ยังมีกู้อันอีกคนไม่ใช่เหรอ พ่อสอนงานไประหว่างรอเกษียณก็ได้”
กู้เป่ยหัวเราะ “ใช่เลย กู้อันยังเด็ก มีเวลาสอนเขาอีกเยอะ พอโตขึ้นก็พร้อมทำงานพอดี”
กู้หมิงอวี๋ยกมือขึ้นลูบคางแล้วหัวเราะออกมาประหนึ่งมารร้าย
“พูดได้ไม่เลว ยีนของตระกูลกู้เนี่ยดีเด่นอยู่แล้ว แถมกู้อันเองก็ดูมีแววฉลาดด้วย”
กู้หมิงหลี่ยักไหล่อย่างเป็นกันเอง “ใช่เลย กู้อันฉลาดกว่าผมอีก”
ถ้าต้องเหยียบตัวเองลงเพื่อส่งกู้อันให้ดูเหนือ ณ ตอนนี้ อย่างไรเขาก็ยอม
กู้อัน : นี่ไม่ใช่พี่ชายของเขาแล้ว นี่มันศัตรูจากชาติปางก่อนชัด ๆ!
กู้อัน “ผมไม่ อุ๊บ…”
ทันทีที่เขาพูดขึ้นมาได้สองพยางค์ กู้หมิงหลี่ก็ปิดปากของเขาทันที
กู้อัน : ไอ้พวกคนไร้ยางอาย!
กู้หลินโม่แทบจะเลือดขึ้นหน้า
[พวกแกแต่ละคน โยนตำแหน่งฉันไปมาเหมือนเล่นฟุตบอลเลยนะ!]
กู้หลินโม่รีบวางสายไปทันที เขากลัวว่าถ้าขืนถือสายต่อไป อาจจะมีน้ำโห
มากขึ้นกว่าเดิมได้
[1] เผือกร้อน หมายถึง ปัญหาหรือเรื่องเดือดร้อนที่เกิดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งผู้นั้นจำต้องยอมรับไว้หรือไม่ก็รีบผลักให้ผู้อื่นทันที