ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 122 ศาสตราจารย์กู้ ผมรักคุณ
บทที่ 122 ศาสตราจารย์กู้ ผมรักคุณ
หนวนหน่วนภูมิอกภูมิใจที่ได้เห็นผู้คนชื่นชมพี่รอง
แต่พี่สาวทั้งหลาย พี่รองยิ้มให้เธอต่างหาก!
เด็กหญิงตัวน้อยฮัมเพลงเสียงเบาด้วยความรู้สึกพึงพอใจ เธออดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มมุมปาก
คนนั้นคือพี่ชายของเธอละ
กู้เป่ยกำลังกล่าวสุนทรพจน์บนเวที เสียงที่ชัดเจนและนุ่มนวลของเขาดังขึ้นผ่านทางไมโครโฟน ทุกคนได้ยินอย่างชัดเจนว่าเป็นเสียงที่หวานปานน้ำผึ้งเพียงใด
สาว ๆ ต่างยกมือปิดใบหน้าที่แดงก่ำด้วยความเขินอายของตัวเองระหว่างมองชายหนุ่มที่เปล่งประกายบนเวที
ช่างเป็นชายหนุ่มที่พระเจ้าโปรดปรานเสียจริง
แม้เขาจะจบการศึกษาไปแล้วถึงสองปี แต่ก็ยังเป็นที่เล่าขานโดยนักศึกษามากมายในมหาวิทยาลัย A แน่นอนว่ามีนักศึกษาอีกมากมายที่โดดเด่น แต่ไม่มีใครได้รับความนิยมมากเท่าเขา
กู้เป่ยเป็นเจ้าแห่งการเรียนรู้ของมหาวิทยาลัย A แม้เขาจะได้รับปริญญาเอกในด้านการเขียนโปรแกรมไอทีและฟิสิกส์ แต่ในความเป็นจริงความรู้ของเขามีมากกว่านั้น ทั้งสองคนมีความเป็นมืออาชีพไม่น้อยหน้าใคร
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าสมองของเขาเปรียบได้กับระบบคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนที่สุด ไม่ว่าข้อมูลจะมีจำนวนมหาศาลเพียงใด เขาก็สามารถคำนวณได้ในพริบตา
ยิ่งไปกว่านั้นเขายังมีหน้าตาที่หล่อเหลา นิสัยดี อ่อนโยน แม้จะมีบุคลิกที่รักอิสระอยู่บ้าง เพราะเขาชอบใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในห้องทดลอง แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลต่อเสน่ห์ของเขาเลย
เมื่อครั้งศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย หญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วนก็ต่างหมายปองเขา แต่ในสายตาของกู้เป่ย มีเพียงการทดลองเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่เรื่องหญิงสาวแต่อย่างใด
รางวัลมากมายที่เขาได้รับจากการเข้าร่วมการทดลองกับเหล่าอาจารย์ขณะกำลังศึกษาล้วนได้รับการตีพิมพ์ ความสำเร็จและเกียรติยศของกู้เป่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นบุคคลที่หญิงสาวมากมายในมหาวิทยาลัย A ใฝ่ฝัน เป็นดั่งดวงจันทร์ที่กระต่ายมากมายหมายปอง
แน่นอนว่าเมื่อผู้คนมากมายได้เห็นเขาผู้เป็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่บนเวทีท่ามกลางแสงสปอตไลต์ที่สาดส่อง เขาก็ดูมีรัศมีราวกับเทพบุตรลงมาจุติ หลายคนต่างครุ่นคิดว่าใครกันจะเหมาะสมกับชายไร้ซึ่งที่เปรียบคนนี้?
แม้พวกเธอจะชื่นชอบเขามาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันมองดูตัวเอง
พวกเธอมีค่าพอสำหรับเขาไหมนะ
ขณะที่กู้เป่ยกำลังกล่าวสุนทรพจน์ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเชื่องช้าราวกับว่าความอดทนของเขาในการกล่าวนั้นไร้ที่สิ้นสุด ดวงตาของเขาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นก็เปล่งประกายใสสะอาดดุจน้ำพุจนเหล่าผู้ชมต่างหลงใหลไปตาม ๆ กัน
ทั้งหอประชุมเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงของชายบนเวทีเท่านั้นที่ดังขึ้น ทุกคนจ้องมองมายังเขาด้วยความรักใคร่และหลงใหล คนเหล่านั้นพยายามอย่างมากที่จะยับยั้งตนเองไม่ให้เคลื่อนไหว พวกเขาเงียบขรึมราวกลับกลัวว่าการส่งเสียงดังจะเป็นการหมิ่นเกียรติของชายบนเวที
“สุดท้ายนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้กลับมายังที่แห่งนี้และพบเพื่อนเก่ามากมาย ทุกท่านครับ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกคุณจะสามารถแสดงศักยภาพของตนในสาขาวิชาต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีและเกิดประโยชน์สูงสุดในอนาคต”
หลังกล่าวจบ กู้เป่ยก็ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วเดินออกจากหลังโพเดียม โค้งคำนับให้อาจารย์และนักศึกษาที่อยู่ข้างล่าง จากนั้นก็เดินจากไปโดยไม่ลังเล
“ไม่นะ! ศาสตราจารย์กู้เป่ยอย่าเพิ่งไป!!!”
หญิงคนหนึ่งตะโกนสุดเสียง
ทุกคนตื่นตระหนกทันที
“ศาสตราจารย์ อย่าเพิ่งไป พูดอะไรมากกว่านี้หน่อยสิคะ!”
“ใช่แล้ว พบคุณสักครั้งไม่ง่ายเลยนะคะ แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าจะได้พบคุณอีกเมื่อไหร่”
“ศาสตราจารย์ คุณคือบุคคลต้นแบบของเรา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะสบายดีนะครับ!”
“ศาสตราจารย์กู้ ผมรักคุณ!”
เสียงของเหล่าชายหนุ่มดังกึกก้องไปทั่วหอประชุม พวกเขาต่างพรรณนาและตะโกนบอกรักกู้เป่ยไม่หยุด ‘ศาสตราจารย์กู้ ผมรักคุณ’
ช่างเป็นเรื่องตลกที่น่าประทับใจ กู้เป่ยจ้องมองไปยังพวกเขาด้วยความตกตะลึง
เสียงบอกรักเหล่านั้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงครู่เดียวก็ทำให้แววตาของผู้คนในหอประชุมเปล่งประกายเป็นแสงแห่ง ‘ความหวัง’
“ศาสตราจารย์กู้เป่ย ฉันรักคุณ!”
คำพูดเหล่านี้ยังคงดังกึกก้องทั่วหอประชุมราวกับพวกเขานัดกันมา
เหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า “…”
พวกเขาต่างส่ายศีรษะโดยไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงปล่อยให้นักศึกษาพวกนั้นคลั่งไคล้กันต่อไป ดูท่าไม่น่าจะระงับได้ง่าย ๆ
“นักศึกษาพวกนี้ไม่สำรวมเอาเสียเลย”
“ใครบอกว่าไม่สำรวม? กู้เป่ยทำให้พวกเขาไม่อาจระงับอารมณ์ได้ต่างหากล่ะ”
แม้แต่เหล่าอาจารย์ก็ยังอดหลงใหลในตัวเขาไม่ได้
เมื่อกู้เป่ยจากไป ไป๋โม่ฮัวก็แอบไปยังหลังเวทีกับหนวนหน่วนเพื่อจะตามกู้เป่ยไป
เมื่อมาถึงพวกเขาทั้งสองก็รับรู้ทันทีว่าไม่ใช่เพียงพวกเขาเท่านั้นที่แอบเข้ามา หลายคนต่างแอบมายังหลังเวทีเพื่อพบกับเทพบุตรคนนี้กันทั้งนั้น
ทันทีที่มาถึง ฝูงชนก็ถูกหยุดไว้โดยชายฉกรรจ์สองคนที่จ้องมองมาด้วยสายตาเฉียบคม
ทุกคนจึงยืนรอตรงหน้าประตูพลางยืดคอจ้องมองไปด้านในเพื่อมองหากู้เป่ย
จนกระทั่งไป๋โม่ฮัวเข้ามาพร้อมกลิ่นอายอบอุ่นที่รายล้อมรอบตัว
สายตาของชายฉกรรจ์จับจ้องซึ่งกันและกัน ดวงตาเบิกกว้างชั่วขณะ
หนวนหน่วนเอ่ยเรียกอย่างแผ่วเบา “คุณลุง?”
ทั้งสองคนพลันเอ่ย “…เข้าไปข้างในก่อนเถอะ”
หนวนหน่วนยิ้มจนตาหยีทันที “ขอบคุณค่ะคุณลุง”
จากนั้นเธอก็จูงมือลูกพี่ลูกน้องเข้าไปอย่างมีความสุข
เมื่อได้ยินดังนั้นชายฉกรรจ์ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะลูบไล้ใบหน้าของตน
พวกเขาดูแก่ถึงขนาดนั้นเลยเหรอ?
อาจเป็นเพราะผิวหนังที่หยาบกร้านจากแสงแดดที่แผดเผาในระหว่างการฝึก
“ทำไมพวกเขาถึงเข้าไปได้?”
เหล่าผู้คนที่เบียดเสียดกันอยู่หน้าประตูไม่ยอมจากไป ยิ่งเมื่อเห็นหนวนหน่วนและไป๋โม่ฮัวเข้าไปด้านใน พวกเขาก็เริ่มประท้วงเสียงดัง
“เพราะพวกเขาเป็นญาติสนิทของศาสตราจารย์กู้ แล้วพวกคุณเป็นใคร?”
นั่นสิ… เมื่อได้ยินดังนั้นผู้คนมากมายพลันเงียบปากในทันที พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองแผ่นหลังของเด็กหญิงและชายหนุ่มจากไปด้วยสายตาริษยา
แต่…
เป็นไปตามที่คาดไว้ หน้าตาดีกันหมดทั้งบ้านจริง ๆ!
เมื่อเจ้าลูกอมตัวน้อยและไป๋โม่ฮัวได้พบกับกู้เป่ยก็เห็นว่าเขาอยู่กับชายชราหนวดเคราสีขาว ทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยกัน ดูเหมือนว่ากู้เป่ยกำลังเขียนบางอย่างลงบนกระดาษเอสี่ด้วยปากกา
ไป๋โม่ฮัวและหนวนหน่วนเดินเข้ามาใกล้ แต่ทั้งสองก็ยังจ้องมองไปยังกระดาษเอสี่แผ่นนั้นด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาแม้เพียงนิด เห็นทั้งสองคนเงียบงันแบบนี้ ไป๋โม่ฮัวและหนวนหน่วนก็ไม่กล้ารบกวน
ในเวลาเพียงไม่ถึงนาที กระดาษเอสี่สีขาวก็อัดแน่นไปด้วยตัวหนังสือ มันเป็นชุดข้อมูลที่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ เรียกว่ายิ่งจ้องมองยิ่งรู้สึกปวดหัวจะดีกว่า
กู้เป่ยไม่ได้วางปากกา เขาเขียนต่อไปจนกระทั่งเกือบเต็มกระดาษ
ชายชราหนวดเคราสีขาวที่อยู่ด้านข้างหัวเราะด้วยความตื่นเต้นและปรบมือซ้ำไปซ้ำมา
“ในที่สุดเราก็คำนวณมันได้ ชุดข้อมูลพวกนี้ยากจนเกือบจะคร่าชีวิตฉันแล้วสิ กู้เป่ย โชคดีจริงที่มีเธออยู่ ไหน ๆ วันนี้ก็กลับมาแล้ว ทั้งยังช่วยแก้ปัญหาที่ยากเย็นนี้ให้ฉันอีก วันนี้สะดวกไปทานอาหารเย็นที่บ้านอาจารย์ไหม?”
กู้เป่ยยืนขึ้นกล่าวพลางส่ายศีรษะ เขาโค้งลงเล็กน้อยด้วยความอ่อนโยนและสุภาพ “ไม่มีอะไรยากเกินกว่าความพยายามหรอกครับ ส่วนคำถามของอาจารย์ ผมต้องขออภัยที่ต้องพูดว่าไว้โอกาสหน้านะครับ ผมมีธุระอื่นที่ต้องจัดการ”
เมื่อกล่าวจบดวงตาของเขาก็พลันสบเข้ากับหนวนหน่วน ดวงตาและความรู้สึกอันแข็งกร้าวของเขาก็ผ่อนลงเป็นความนุ่มนวลทันที
“อาจารย์ครับ นี่คือหนวนหน่วน น้องสาวของผมครับ”
ชายชราจ้องมองหนวนหน่วนด้วยความแปลกใจ “น้องสาวของเธอ?”
กู้เป่ยพยักหน้า “ส่วนชายคนนั้นคือลูกพี่ลูกน้องของผมครับ หนวนหน่วน โม่ฮัว นี่คืออาจารย์ของฉัน เรียกเขาว่าศาสตราจารย์ลู่”
ไป๋โม่ฮัวเอ่ย “ศาสตราจารย์ลู่”
หนวนหน่วนเดินตามมาพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “สวัสดีค่ะศาสตราจารย์ลู่”
ศาสตราจารย์ลู่ถอนหายใจ รอยย่นบนใบหน้าของเขาปรากฏชัดจากรอยยิ้ม “หนูเรียกฉันว่าศาสตราจารย์ไม่ได้นะ หนูต้องเรียกฉันว่าคุณปู่ลู่”
หนวนหน่วนกะพริบดวงตาอันกลมโตคู่งามของตนก่อนจะเงยหน้ามองพี่ชายทั้งสอง พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย
“คุณปู่ลู่”
ได้ยินแล้วชายชราก็ดูมีความสุขมากทีเดียว