ฉันมีพี่ชาย 7 คน - บทที่ 1 หนวนหน่วน
บทที่ 1 หนวนหน่วน
เมฆหมอกยามเช้าเริ่มปกคลุมไปทั่วตัวหมู่บ้านเล็ก ๆ ไม่นานแถวของรถยาวเหยียดที่ขับเข้ามาก็ทำลายความเงียบสงบของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนเขาแห่งนี้เสียสิ้น
ชาวนาผิวคล้ำคนหนึ่ง มือหนึ่งถือจอบ อีกมือหนึ่งกำวัชพืช เห็นแล้วก็ลุกขึ้นยืนเหยียดตัวตรง เหลียวมองรถหรูที่เคยเห็นแค่ในทีวีจนรถแล่นไปลับสายตา
“ที่รัก คิดว่ารถพวกนั้นราคาเท่าไหร่?”
คนในรถย่อมเป็นเศรษฐี เพราะมีเพียงเศรษฐีที่สามารถขับรถมูลค่าสามแสนหยวนชวนอิจฉาตาร้อนแบบนี้ได้ เหล่าชาวบ้านต่างเข้าใจว่าหมู่บ้านมีผู้มีอิทธิพลมาเยือนเสียแล้ว รถที่แล่นผ่านหน้าไปดูโฉบเฉี่ยวกว่าคันเมื่อครู่เป็นเท่าตัว
ตามคำบอกเล่าของคนหนุ่มสาวในหมู่บ้าน รถหนึ่งคันมีราคาหลายล้าน สำหรับคนที่ยังชีพด้วยการขุดหาอาหารในทุ่งนาแล้วถือเป็นเงินมหาศาล ว่ากันว่าคนบ้านนั้นมีรถมากกว่าหนึ่งคัน!
“ไป ๆ รีบไปดูกันเร็วเข้า!”
หมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาแห่งนี้ไร้ซึ่งแสงสีเสียง ดังนั้นการทำอะไรที่ต่างจากเดิมอาจทำให้ทั้งหมู่บ้านแตกตื่น แม้แต่คนจากเมืองใหญ่ การมีรถหรูยาวขับตามกันเป็นแถวแบบนี้ก็ชวนน่าตกใจอยู่ไม่น้อย แล้วจะนับประสาอะไรกับหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้
รถหรูจอดเรียงรายอยู่หน้ากระท่อมไม้ซุงทรุดโทรมพร้อมร่วงเอนหลังหนึ่ง สายตาของชาวบ้านรอบข้างต่างจ้องมองมาอย่างประหลาดใจ พวกเขากรูเข้ามาดู ตามมาด้วยเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบ
“เห็นอะไรไหม? ครอบครัวของหนวนหน่วนมาล่ะ”
“เดี๋ยวนะที่รัก แสดงว่าครอบครัวของหนวนหน่วนร่ำรวยมากเลยสิ ดูน่าจะมาจากตระกูลผู้ลากมากดีนะ เสี่ยวหลิวบอกว่ารถพวกนั้นเก่าและหายาก แถมยังแพงมากอีกต่างหาก”
ท่ามกลางเสียงที่พูดคุยกัน จู่ ๆ ก็มีเสียงแทรกบทสนทนาที่ฟังดูไม่ลงรอยดังขึ้นมา
หญิงชราที่กำลังแกะทุบเมล็ดแตงโมเอ่ยขึ้น คำพูดค่อนข้างเฉียบคมและแฝงไปด้วยความนัย “งั้นเด็กคนนั้นยังจะอยากอยู่ที่แบบนี้อีกเหรอ? เหอะ… หนวนหน่วนเติบโตมาในหมู่บ้านบนภูเขา คงจะชื่นชอบครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยน่าดู”
คำพูดเหล่านั้นกระทบเข้ากับหูของบอดี้การ์ดที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพอดี พวกเขาจึงมองมาด้วยสายตาดุดัน
จู่ ๆ หญิงชราก็แทะเมล็ดแตงโมต่อไม่ลง ด้วยความที่เธอเป็นเพียงผู้หญิงบ้านนอก และไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ประกอบกับว่ากลัวที่จะถูกทุบตี เธอจึงรีบพาหลานชายที่กำลังน้ำลายไหลในขณะที่กำลังจ้องมองไปที่รถของคนอื่นออกไป
หลังจากนั้น เสียงร้องของเด็กรูปร่างอ้วนท้วมก็ดังลั่นขึ้นหลังได้เห็นรถ ก่อนจะค่อย ๆ สงบลงแล้วตามมาด้วยเสียงของหญิงชราที่ให้คำมั่นสัญญากับหลานว่าจะซื้อรถให้เขาในอนาคต
ชาวบ้านที่ยืนมองรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน แต่หลังจากที่สองย่าหลานเดินจากไปพวกบอดี้การ์ดชุดดำก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขาอีก ดังนั้นผู้คนโดยรอบจึงกล้ากระซิบกระซาบต่อ บางคนกล่าวอวยพรให้หนวนหน่วนมีชีวิตที่ดีในอนาคต ส่วนบางคนก็เย้ยหยันหญิงชราเมื่อครู่
ภายในกระท่อมไม้ แต่ละห้องค่อนข้างสะอาดและเป็นระเบียบ แต่ถึงอย่างนั้นบุคคลที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าก็แต่งตัวค่อนข้างเรียบหรู ดูแล้วช่างไม่เข้ากับบรรยากาศของบ้านนี้เอาเสียเลย
เด็กหญิงตัวเล็กผอมบางผู้เป็นเจ้าของกระท่อมหลังเล็กจ้องมองพวกเขาอย่างประหม่าและวิตกกังวลนิดหน่อย เธอมีดวงตาฉ่ำน้ำกลมโตราวกับลูกองุ่นสีดำ ส่วนของตาขาวชัดเจน มองรวมกันแล้วให้ความรู้สึกน่ามองเป็นพิเศษ
ผู้หญิงท่าทางสง่างามก้าวเดินช้า ๆ ไปหาเด็กหญิงตัวน้อยด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เธอเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก ๆ ของเด็กน้อยตรงหน้าอย่างระมัดระวัง เพียงได้สัมผัสในใจก็พลันสั่นไหว
“หนูชื่อหนวนหน่วนใช่ไหม ฉันเป็นแม่ของหนูนะ” ผู้หญิงคนนั้นสะอื้น เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ ดวงตาของเธอทวีสีแดงก่ำ พอสูดจมูกได้ฟืดหนึ่งก็มองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กผอมบางตรงหน้า แต่แล้วไม่นาน มุมปากของเธอก็ยกยิ้มขึ้นราวกับยินดีที่ได้พบสมบัติล้ำค่าของตนเองที่หายสาบสูญไป
หนวนหน่วนจ้องมองผู้หญิงสวยสง่าตรงหน้าด้วยความประหม่า ใช้ดวงตากลมโตสดใสมองกลับไป เห็นผู้เป็นแม่แล้วหัวใจเธอก็อ่อนไหว มือที่บางและน่าเกลียดของเธอถูกกอบกุมเอาไว้ หนวนหน่วนคิดในใจว่าเธอไม่คู่ควรที่จะได้รับจึงพยายามดึงมือกลับ แต่ก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ผู้หญิงตรงหน้ายังคงกุมมือเล็ก ๆ ที่ดูไม่น่าจับของเด็กหญิงด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลและมั่นคง
“หนวนหน่วน กลับบ้านกับแม่ดีไหมจ๊ะ?”
ทว่าได้ฟังแล้วเด็กหญิงวัยห้าขวบผู้สวมชุดสีขาวเนื้อตัวขาวสะอาดสะอ้านสีหน้าไม่สู้ดีนัก ถ้ามองใกล้ ๆ จะเห็นว่าใบหน้าน้อย ๆ มีเค้างดงาม เพียงแต่มันถูกบดบังอยู่ภายใต้เรือนผมที่ยุ่งเหยิง
นัยน์ตาสีดำสั่นไหว ขับประกายสว่างสดใสไปที่ผู้หญิงตรงหน้า ไม่นานน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา ราวกับไม่ยินยอมกับสถานการณ์ตรงหน้าแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดหนวนหน่วนถึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา
ผู้เป็นแม่เอามือเล็ก ๆ เช็ดน้ำตาอย่างเงอะงะ “อย่าร้องไห้”
คำพูดที่ว่า ‘อย่าร้องไห้’ ช่างแผ่วเบาและน่าฟังมาก คำพูดเพียงสองพยางค์ทำให้ความรู้สึกภายในจิตใจยิ่งเอ่อล้น ผู้หญิงตรงหน้าไม่สามารถหักห้ามใจที่จะไม่ร้องไห้ได้ เธอสวมกอดเด็กน้อยที่จากไปนานถึงสามปีไว้ในอ้อมแขนก่อนจะร้องไห้ออกมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอเอาแต่ตกอยู่ในความหวาดกลัวที่เสียลูกไป ในที่สุดตอนนี้ก็ได้สุขใจที่ได้เด็กน้อยกลับคืน
ชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาและสง่างามเดินเข้ามาสวมกอดผู้เป็นภรรยาและลูกสาวไว้ในอ้อมแขน ราวกับว่าอยากสร้างที่หลบภัยและความรู้สึกมั่นคงให้กับทั้งสอง
ทันทีที่หนวนหน่วนถูกทั้งสองสวมกอด เธอก็รู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในใจแอบรู้สึกละโมบ ไม่อยากถูกพรากความอบอุ่นแบบนี้ไปอีก
ผลพวงของการร้องไห้ทำเอาแสบจมูก ดวงตาของหนวนหน่วนแดงก่ำ หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ที่ไหลลงมาจากดวงตาทำเอาภาพตรงหน้าพร่าเลือนไปหมด
และในตอนนั้น เด็กชายที่อายุเพียงสิบสองปีเดินสะเปะสะปะเข้ามาอย่างไม่สบอารมณ์ เขาเหลือบมองเด็กน้อยเจ้าของกระท่อม เอ่ยออกมาว่า
“ก็หาเจอแล้วไม่ใช่เหรอ จะร้องไห้กันอยู่ทำไม!”
ตามรูปลักษณ์ที่สืบทอดกันมาประจำตระกูลกู้ พวกเขามีรูปร่างหน้าตาดีทั้งตระกูล แต่ถึงอย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นน้องสาวของเขาที่ตกจากหน้าผาไปในวันนั้น
เห็นเด็กคนนี้แล้วเขาคงไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยปากบอกเพื่อนว่าตนเองมีน้องสาว ดูเธอเข้าสิ น่ารังเกียจสิ้นดี ถ้าคนอื่นอยากไล่เธอ เขาก็คงไม่ลังเลที่จะร่วมผสมโรง
น่ารำคาญชะมัด
“ไอ้เด็กตัวเหม็นคนนี้หนิ กลับไปที่รถซะ อย่ามาทำตัวอ่อนแอแถวนี้!”
แววตาของกู้หลินโม่ฉายแววเจ็บปวดเมื่อมองร่างเล็กตรงหน้า เด็กน้อยผอมบางจนลมพัดแทบปลิวอยู่แล้ว ในที่สุดลูกสาวคนนี้ก็หวนคืนสู่ตระกูล หน้าที่อย่างเดียวที่เขาควรทำก็คือไม่ทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับสำหรับครอบครัวนี้
“ไปกันเถอะ ผมไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว!”
กู้อันเชิดหน้าตัวเองขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง สองมือล้วงเข้าในกระเป๋ากางเกง ท่าทางประหนึ่งว่าตนเองไร้ที่ติ
กู้หลินโม่กำหมัดแน่น
“ไม่ต้องกลัวนะหนวนหน่วน นี่คือพี่ชายคนเล็กของลูก เขาชอบทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้แหละ ถ้าเขารังแกลูก ให้มาบอกพ่อกับแม่ หรือจะบอกพี่น้องคนอื่นก็ได้ ครอบครัวเราจะคอยสั่งสอนเขาเอง ลูกจะได้ไม่ถูกรังแก”
ดวงตากลมโตของหนวนหน่วนจดจ้องพี่ชายผู้ทะนงตัวราวกับไก่แจ้ชูคอ ก่อนจะถูกน้ำเสียงอ่อนโยนของแม่ดึงกลับมาจากภวังค์ เธอได้แต่ตอบกลับไปพร้อมกับน้ำเสียงที่ยังคงประหม่าอยู่
“ค่ะ”
แม้ว่าจะเป็นคำพูดเพียงพยางค์เดียว แต่กลับทำให้ผู้ใหญ่ทั้งสองเอ็นดูอย่างเหลือเชื่อ คุณหญิงกู้ใช้มือสัมผัสเรือนผมนุ่ม ๆ ของลูกสาวก่อนจะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
ตอนลาจากหมู่บ้านบนภูเขา พ่อและแม่ของหนวนหน่วนก็ได้นำของขวัญไปมอบให้บรรดาชาวบ้าน
ทุกคนต่างทราบกันดีว่า ตั้งแต่ชายชราที่รับเลี้ยงหนวนหน่วนได้เสียชีวิตลง เธอก็ใช้ชีวิตมาเพียงลำพังเป็นปี คนในหมู่บ้านต่างห่วงใยคอยช่วยเหลือ แต่บางคนก็ไม่แม้จะชายตามอง
สำหรับผู้ที่คอยช่วยเหลือลูกสาว สองสามีภรรยาได้ให้ของขวัญอย่างสมน้ำสมเนื้อ ส่วนผู้ที่รังแกลูกสาวสุดที่รัก พวกเขาไม่อาจใจกว้างที่จะให้อภัย
ถึงพวกเขาไม่สามารถปกป้องลูกสาวสุดที่รักได้อย่างถึงที่สุด แต่ก็ไม่อยากปักใจเอาเรื่องกับผู้คนที่มารังแก
เพราะท้ายที่สุด พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นความผิดของพวกเขาเองที่สูญเสียหนวนหน่วนไป โชคดีที่คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านนี้รับหนวนหน่วนไว้ดูแลด้วยความใจดี
ก่อนจะจากไป หนวนหน่วนก็รวบรวมความกล้าทั้งหมดโดยใช้มือเล็ก ๆ ดึงเสื้อผ้าของคุณหญิงกู้ไว้
“หนวนหน่วนเป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ”
คุณหญิงกู้ย่อตัวนั่งลง ก่อนจะมองไปที่หนวนหน่วนแล้วพูดคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ใบหน้าของหนวนหน่วนขึ้นสีแดงก่ำด้วยความเขินอาย เสียงของเธอจึงแผ่วเบาราวกับลูกแมวตัวน้อย
“เป็นไปได้ไหม ถ้าหนูจะพาต้าหวงกับเหม่ยฉิวกลับไปด้วย”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็ก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะใช้ถูนิ้วชี้เข้าด้วยกัน บ่งบอกได้ดีว่าไม่สบายใจ เด็กน้อยกำลังกลัวว่าพวกเขาจะไม่ชอบหากเธอเอ่ยถามมากเกินไป
คุณหญิงกู้วางฝ่ามืออุ่นลงบนศีรษะของสาวน้อยอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ “แน่นอนสิจ๊ะ”