ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 431: สงครามครั้งสุดท้าย (3)
บทที่ 431: สงครามครั้งสุดท้าย (3)
จ้าวฉีไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงยิงของเครื่องยิงหน้าไม้ขนาดใหญ่ที่ส่งหอกพุ่งผ่านอากาศ
หากเขามีหัวใจ มันคงจะหยุดเต้นไปแล้ว ตัวเขาตอนนี้รู้สึกว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดภายในร่างกายเกร็งขึ้นอย่างกระทันหัน ปากอ้ากว้าง และเปลือกตากระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ จากนั้น ภายในเสี้ยววินาที เขาก็พุ่งตัวออกไปทันที
มันเป็นการตอบสนองโดยไม่รู้ตัว มันไม่เกี่ยวกับความรักใดๆ แต่เป็นความเคารพเสียมากกว่า มันแทบจะเหมือนกับการตอบสนองโดยสัญชาตญาณที่ตะโกนออกมาจากภายใน บอกเขาว่าเขาจะปล่อยให้นางตายที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด
ทั้งสองฝ่ายต่างพุ่งเข้าหากันอย่างไม่เกรงกลัว กองกำลังของยมโลกยังคงเดินทัพไปข้างหน้าแม้ว่าฝนลูกธนูยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงยิงธนูลงมาเพื่อฝ่าการป้องกันของพวกเขา ทุกวินาทีที่ผ่านไปจะเห็นวิญญาณกลายร่างเป็นลูกไฟนรกสลายไปอยู่เสมอ ทหารวิญญาณทุกนายของฝ่ายนครชฺวีฟู่ต่างจับจ้องไปที่ร่างของมู่กุ้ยอิง ผู้ที่ปีกสีดำของเขากำลังสยายออกจนปกคลุมท้องฟ้าเบื้องบนจนหมด และแน่นนอน ไม่มีทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่นายใดที่สังเกตเห็นการโจมตีอันรุนแรงที่ถูกปล่อยออกมาจากอสูรกลไกเลยแม้แต่น้อย
ในขณะนั้นเอง เงาดำที่น่าตกตะลึงก็พุ่งขึ้นมาจากด้านหลังของอสูรทำลายล้างเก้าตาและกระโจนสูงขึ้นไปบนอากาศ หยุดอยู่ตรงหน้าของมู่กุ้ยอิงอย่างพิดิบพอดี
มู่กุ้ยอิงผงะไปชั่วครู่
เหล่าทหารวิญญาณทั้งหมดเองก็เช่นกัน ไม่ว่าจากฝั่งของนครชฺวีฟู่หรือฝั่งของยมโลก
และในเสี้ยววินาทีต่อมา–…
ราวกับว่าเข็มนาฬิกาได้เริ่มเดินอีกครั้ง พร้อมกับเสียงครางอู้อี้เบาๆ หอกที่มีความยาวประมาณสี่เมตรก็พุ่งทะลุร่างของจ้าวฉีเข้าอย่างจัง!
ฉึก!!
ตุบ!!
ร่างของเขาถูกตรึงลงกับพื้นด้วยหอกขนาดใหญ่ และลูกไฟวิญญาณของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เขาพยายามอย่างหนักที่จะดึงมันออกจากอกของตัวเอง แต่มันก็ไร้ประโยชน์
ทุกสายตาจับจ้องไปที่รอยลากยาวบนพื้นที่เกิดขึ้น จากนั้น…ร่างของจ้าวฉีถูกดึงขึ้นจากพื้นโดยหอกเล่มดังกล่าว เมื่อมองจากไกลๆ มันดูราวกับว่าร่างของเขาถูกตรึงไว้เหนือพื้นไม่มีผิด
มู่กุ้ยอิงหันไปมองยังทิศทางที่หอกถูกยิงมา และนางก็พบว่ามีหอกอีกจำนวนมากที่กำลังพุ่งมาที่พวกตนราวกับสายฝนที่โหมกระหน่ำ!
ไม่เว้นแม้กระทั้งมิตรหรือศัตรู
“ป้องกัน!!” นางตะโกนออกไปสุดเสียง แต่น่าเสียดายที่มันสายเกินไป
ไม่มีใครสามารถตอบสนองได้ทันเวลาเลยสักคน
มันคือความปรารถของยมโลกที่จะโค่นล้มนครชฺวีฟู่ให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าฝ่ายของนครชฺวีฟู่เองก็ต้องการจะป้องกันเมืองของพวกตนจนยอมทำทุกวิธีทางเช่นกัน ห่าฝนหอกเล่มยาวที่ตกลงมาทำให้มีวิญญาณเหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่ตนเท่านั้น มันไม่ได้หนักหนาอะไรมากสำหรับวิญญาณระดับสูง เพราะในขณะที่หอกเล่มยาวอาจจะสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้พวกเขา แต่สำหรับวิญญาณระดับสูงก็จะยังไม่ตายไปในทันที หากแต่ทหารวิญญาณนายอื่นๆ…ล้วนถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น!
ฟึ่บ! ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร กองกำลังของยมโลกรีบยกโล่ขนาดใหญ่และก่อตัวให้แน่นหนามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เหล่าทหารวิญญาณของนครชฺวีฟู่หันกลับไปมองด้านหลังด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะพบว่าหอกจำนวนมากกำลังพุ่งมาพวกเขาด้วยความเร็วสูง
ในเสี้ยววินาทีต่อมา
ฉึก! ฉึก! ฉึก! เสียงหอกแทกทะลุชุดเกราะดังขึ้นให้ได้ยิน ที่หน้ากำแพงเมืองในตอนนี้มีทหารวิญญาณกว่าหมื่นนายที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่ และหอกแทบทุกเล่มที่ถูกยิงออกมาก็ล้วนพุ่งเข้าที่อกของเป้าหมายทั้งสิ้น! ในวินาทีนั้นเอง ทั่วทั้งสถานที่ก็เปลี่ยนจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อไปมาระหว่างสองฝ่ายเป็นทะเลพลังหยินและไฟนรกแทน
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…” หนึ่งในขั้นยมทูตขาวดำของนครชฺวีฟู่ที่แต่งกายด้วยชุดปัจจุบันที่ส่วนศีรษะเหลืออยู่เพียงครึ่งหนึ่งหลังจากพยายามต่อสู้กับสายฝนหอกที่พุ่งลงมาจากด้านบน ระหว่างการโจมตีของเขา เขาจ้องมองไปยังอสูรกลไกด้วยดวงตาแดงก่ำและเอ่ยอย่างเดือดดาลเป็นอย่างมาก “หลี่ หลินฝู่…เจ้ามันโหดร้ายที่สุด!!”
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! ขั้นยมทูตขาวดำสามารถสะท้อนหอกทั้งหมดออกไปได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการป้องกันตัวเอง
หอกเล่มอื่นๆที่ตกลงมาใส่พวกเขาพุ่งลงไปที่พื้น เจาะลึกลงไปอย่างน้อยครึ่งเมตร! ทหารวิญญาณจำนวนมากถูกแทงเข้าอย่างจังไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ ภายในไม่กี่วินาที ไม่สามารถแยกได้เลยว่าเหล่าทหารที่ถูกแทงนี้อยู่ฝ่ายใด พวกเขาส่วนใหญ่ระเบิดออกเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินอย่างรวดเร็วโดยไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้กรีดร้องออกมา
ความตายนั้นเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับวิญญาณที่อยู่ขั้นยมเทพและหรือต่ำกว่านั้น
วิญญาณขั้นนักล่าวิญญาณส่วนใหญ่ล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส
มีเพียงขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้นที่สามารหลบเลี่ยงและสะท้อนการโจมตีดังกล่าวได้ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็สามารถทำได้เพียงแค่ป้องกันตัวเองเท่านั้น
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ! มู่กุ้ยอิงยังคงหลบหลีกหอกที่พุ่งมาที่นางอย่างหวุดหวิด ไม่ได้หันไปมองจ้าวฉีเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรแล้ว นางก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารู้สึกเป็นห่วงคนอื่นๆ
สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่อสูรกลไกที่อยู่ห่างออกไป นางยังจำได้ดีว่าอสูรกลไกตรงหน้านี้ยังติดตั้งปืนใหญ่เปลวไฟแห่งกรรมไว้อีกด้วย!
หากอีกฝ่ายสามารถใช้งานมันได้ สิ่งเดียวที่รอพวกนางอยู่ก็คือความตาย!
นอกจากนี้…นางยังมองเห็นแสงสีแดงอ่อนๆที่เปล่งออกมาจากบริเวณปากของอสูรกลไกอีกด้วย
ดูเหมือนว่ากองกำลังของนครชฺวีฟู่กำลังพยายามที่จะเปลี่ยนให้กำแพงทางฝั่งตะวันตกกลายเป็นกำแพงเพลิงเสียแล้ว…มู่กุ้ยอิงกัดฟันแน่นและตัดสินใจที่จะทำในสิ่งที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก
ภายในเสี้ยววินาที พร้อมกับเสียงร้องที่ดังลั่น นางกระพือปีกและพุ่งตรงไปที่อสูรกลไกทันที!
มู่กุ้ยอิงดูตัวเล็กอย่างไม่น่าเชื่อเมื่อเทียบกับร่างขนาดใหญ่ของอสูรกลไกที่สูงตระหง่านอยู่ แต่ถึงกระนั้น การกระทำของนางก็ยังน่าตกตะลึงอยู่ดี
“นี่นาง–…” ย้อนกลับมาภายในอสูรกลไก หลี่ หลินฝู่ตกตะลึงเป็นอย่างมากเมื่อเห็นร่างที่พุ่งผ่านสายฝนหอกเข้ามา ริมฝีปากของเขาสั่นระริก “นางบ้าไปแล้ว… ผู้หญิงคนนี้เสียสติไปแล้ว!! นางมันบ้าไปแล้วแน่ๆ!! ยิงนางซะ!!”
“นายท่าน...พวกเรายิงทุกอย่างที่มีออกไปแล้ว…” หนึ่งในวิญญาณเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทา “ระยะเวลาในการบรรจุกระสุนใหม่ยังต้องใช้เวลาอีก 20 นาที…”
“บัดซบ!!” หลี่ หลินฝู่กัดฟันแน่นและทุบกำปั้นลงบนโต๊ะอย่างแรง
เขาไม่เข้าใจมันเลยสักนิด
มีวิญญาณที่บ้าขนาดนี้อยู่ได้อย่างไร?
หลังจากที่ได้ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง นางควรเห็นค่าของชีวิตของตัวเองไม่ใช่หรือ?
“แต่อย่างไรก็ตาม…เจ้าก็เป็นเพียงวิญญาณตนหนึ่ง แน่นอน เจ้าอาจจะเป็นขั้นยมทูตขาวดำ แต่เจ้ากลับกล้าพุ่งเข้าหาอสูรกลไลเพียงลำพังหรือ?!” เขาโน้มตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนผิวหนังที่แห้งของเขาเริ่มเกิดรอยแตกราวกับเปลือกไม้แห้งออกมา เปลวไฟนรกในดวงตาของเขาดับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถูกแทนที่ด้วยจุดสีแดงสองจุดที่เรืองแสงในที่มืด เขาคำรามออกมาสุดเสียง “ฆ่านางซะ…กองกำลังป้องกันอยู่ไหนหมด?! ผู้ใดก็ตามที่สามารถสังหารนางได้ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม!!”
พงศาวดารของยมโลกแห่งใหม่: ปี 001 ของยมโลกแห่งใหม่ ระหว่างการต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับนครชฺวีฟู่ สะใภ้ของตระกูลหยาง มู่กุ้ยอิง พุ่งเข้าหาอสูรกลไก วัวคลั่ง อย่างกล้าหาญ
หลี่ หลินฝู่ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรออกมาอีก
เพราะแม้แต่ทหารวิญญาณทุกนายของนครชฺวีฟู่ต่างก็เห็นว่านางกำลังจะทำอะไร ในขณะที่หอกสายฝนยังคงพุ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง เหล่าแม่ทัพต่างครางออกมาด้วยความตกตะลึงและตะโกนออกมาเสียงดัง “ฆ่านางซะ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คุ้มกันอสูรกลไกให้ได้!! เร็วเข้า!!”
ภายในไม่กี่วินาที ทหารวิญญาณจำนวนมากยกคันธนูของตนขึ้นและเล็งไปยังร่างที่บินอยู่กลางอากาศทันที
ขณะที่มู่กุ้ยอิงบินออกมาไม่กี่ร้อยเมตร ขั้นยมทูตขาวดำคนอื่นๆของนครชฺวีฟู่ก็ก้าวออกมาจากทางเข้าของอสูรกลไกพร้อมกับแสยะยิ้มเย็น “รนหาที่ตายแล้ว!!” “ช่างกล้าเสียจริง!!” “เจ้าคิดว่าเราเป็นตัวอะไร?”
ในวินาทีนั้น พวกเขาก็กลายร่างเป็นสายลมที่พุ่งเข้าไปเพื่อหยุดมู่กุ้ยอิงอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน มู่กุ้ยอิงเองก็กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้านหน้าของนางคือขั้นยมทูตขาวดำ ในขณะที่ด้านหลังถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังทหารวิญญาณ แต่ถึงกระนั้น…นางก็ไม่แม้แต่จะหันไปมองด้านหลังเลยสักนิดเดียว!
มู่กุ้ยอิงรีบประสานมืออย่างรวดเร็ว รวบรวมพลังหยินทั้งหมดภายในร่างและระเบิดมันออกมาภายในคราวเดียว!
ในขณะเดียวกัน เปลวไฟนรกภายในดวงตาของนางก็ดับไป
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เสียงสายลมดังก้องอยู่ภายในหู ในขณะที่ขั้นยมทูตขาวดำพุ่งเข้ามาหานางราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากซึ่งเต็มไปเสียงครวญครางและเสียงร้องของวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน เปลวไฟนรกลอยไปมาราวกับกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ในขณะที่พลังหยินจำนวนมากพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำตก และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่มู่กุ้ยอิงหยุดชะงักลงอย่างกระทันหัน
ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนปักลงมาที่หลังของนาง
“ตายซะ!!” ในเวลาเดียวกันนั้น หนึ่งในขั้นยมทูตขาวดำก็พุ่งมาตรงหน้าของนาง เขาสวมเสื้อคลุมสั้นที่เผยให้เห็นช่วงท้องที่มีปากขนาดใหญ่ซึ่งสูงขึ้นไปถึงบริเวณหน้าอก ลิ้นสีแดงเข้มพุ่งไปที่หัวใจของมู่กุ้ยอิงทันที
วินาทีนั้น มู่กุ้ยอิงก็หลับตาลง
“ใสบริสุทธิ์ดั่งคริสตัล นิ่งสงบดั่งสายน้ำ”
พรึ่บ! ทันทีที่การโจมตีของขั้นยมทูตขาวดำเข้ามาใกล้ ประกายแสงสีทองก็ปะทุออกมาจากร่างของนาง ปกคลุมร่างของมู่กุ้ยอิงจนหมด และภายในชั่วพริบตา นางก็เปลี่ยนร่างเป็นผู้หญิงในเสื้อคลุมสีขาวที่มีสามหัวและร้อยมือ สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเวทนาขณะที่นางค่อยๆลืมตาขึ้น
สายลมกระโชกแรงพัดวนอยู่รอบๆร่างของนาง ในขณะที่ลูกไฟนรกจำนวนมากพุ่งไปทั่วทั้งบริเวณ นางดูไม่ต่างอะไรกับพระโพธิสัตว์ของยมโลก และในเสี้ยววินาทีต่อมา มือทั้งร้อยข้างก็ขยับพร้อมกัน เผยให้เห็นชุดอาวุธของนางเอง แววตาที่เต็มไปด้วยความเวทนาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกโดยสมบูรณ์
นี่คือความโกรธเกรี้ยวของวัชระ
“พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเผชิญหน้ากับเรา เหล่ายมทูต โดยปราศจากวัตถุหยินระดับสูงอยู่ในครอบครอง? เหล่าดวงวิญญาณที่ตายในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานั้นไม่รู้อะไรเลยจริงๆ…”
ทันทีที่เอ่ยจบ นางก็พุ่งเข้าหาขั้นยมทูตขาวดำตรงหน้าด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า!
ฟึ่บ!! พวกเขามองเห็นเพียงลำแสงที่พุ่งผ่านร่างของตนไป ไม่มีใครได้เห็นว่านางเคลื่อนไหวอย่างไร หรือแม้แต่วิธีการโจมตีของนาง แต่ถึงกระนั้น เหล่าขั้นยมทูตขาวดำของนครชฺวีฟู่ก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสังเวชทันทีที่พวกเขาพยายามถอยหนีจากลำแสงที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและพลังหยินมากมายก็พรั่งพรูออกมาทันที!
พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลยแม้แต่น้อย!
“บ้า…เจ้ามันบ้าไปแล้ว!!!” หนึ่งในขั้นยมทูตขาวดำของนครชฺวีฟู่กุมบาดแผลของตัวเอง พยายามหอบหายใจขณะที่ถอยห่างออกมากว่าร้อยเมตร เขาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามทว่าเต็มไปด้วยความกลัว ในวินาทีที่นางพุ่งผ่านร่างของเขาเมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่รุนแรงจนแทบจะเหมือนกับว่าได้เห็นนรกปรากฏขึ้นตรงหน้าของตัวเองไม่มีผิด!
มีผู้หญิงแบบนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร?!
ในวินาทีนี้ มู่กุ้ยอิงอยู่ห่างจากอสูรกลไกเพียง 3,000 เมตรเท่านั้น
และมันก็ยังมีทหารวิญญาณอีกจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของนาง
นอกเหนือจากกองกำลังของหลี่ หลินฝู่ มันยังมีกองกำลังทหารอีกอย่างน้อย 100,000 นายที่ได้มาปรากฏขึ้นที่กำแพงเมืองทางตะวันตกเพื่อขัดขวางการเดินทัพของยมโลก
แต่ถึงกระนั้น มู่กุ้ยอิงก็ยังคงไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
นางไม่แม้แต่จะถอยหลังเลยแม้ก้าวเดียว
ภายในดวงตาของนางลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่น
“ในตอนที่ยังมีชีวิต มันเป็นเรื่องยากที่สตรีเยี่ยงข้าจะได้รับใช้ชาติ ด้วยชีวิตของข้า ข้าขอตอบแทนด้วยจิตวิญญาณที่ภักดีนี้…” แม้ว่าจะมีทหารจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ตรงหน้า แต่แววตาของนางกลับยังคงสงบนิ่งและล้ำลึกดังเดิม จากนั้น นางก็ค่อยๆกางแขนออก “จะถอย หรือจะตาย”
……………………………………………
กลับมาที่โลกใติพิภพ ฉินเย่ อาร์ทิส และหยางเหยียนเต๋อต่างมองดูภาพที่เกิดขึ้นบนหน้าจอพลังหยินตรงหน้าของตน หยางเหยียนเต๋อหลับตาลงและเอ่ยออกมาอย่างอึกอัก “ใสบริสุทธิ์ดั่งคริสตัล นิ่งสงบดั่งสายน้ำ…”
หลังจากพยายามข่มความรู้สึกมากมายของตนเอง ฉินเย่ก็ถามออกมา “มันคืออะไร?”
อาร์ทิสหลุบตาลงและเอ่ยตอบเสียงเบา “ศาสตร์ลับ หนึ่งในศาสตร์ต้องห้ามที่ถูกซ่อนไว้ภายในส่วนที่ลึกที่สุดของกษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร...เมื่อใช้มัน ผู้ใช้จะสูญเสียความเป็นตัวเอง และไม่สามารถกลับมามีสติได้อีก แต่ในขณะที่ศาสตร์ดังกล่าวยังคงมีผล ผู้ใช้จะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ และความสามารถของนางก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสูงสุดของขั้นพลังที่นางฝึกฝนอยู่”
ไม่สามารถกลับมามีสติได้อีก?
ฉินเย่อ้าปากค้าง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ แต่พวกเขาก็เห็นแล้วว่าสงครามภายในลิมโบนั้นน่าสะพรึงกลัว โหดร้าย และโชกเลือดมากเพียงใด กองกำลังของยมโลกยังคงพุ่งตัวไปข้างหน้าแม้ว่าจะมีผู้ที่ต้องยอมสละชีวิตของตน ในขณะที่กองกำลังของนครชฺวีฟู่เองก็ยอมแม้กระทั่งเสียสละกองกำลังของตนเองไปพร้อมกับการระเบิดของหอกขนาดใหญ่ แม่กระทั่งเหล่าแม่ทัพทั้งหลายก็ยังต้องยอมเสี่ยงชีวิตของตนเพื่อต่อสู้ในสงครามครั้งสุดท้ายนี้
แทบจะเหมือนกับว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความสงสัยภายในใจของฉินเย่ อาร์ทิสส่ายศีรษะ “ท่านี้ทิงสามารถทำได้ แต่…ต้องหลังจากได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่แล้วเท่านั้น”
เงียบ
หลังจากเงียบไปหลายวินาที ฉินเย่ก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่แหบพร่า “มันมีทางที่เราจะสามารถเรียกนางกลับมาได้หรือไม่?”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ!” หยางเหยียนเต๋อเอ่ยเสียงเครียด “เมื่อมู่กุ้ยอิงตัดสินใจที่จะทำสิ่งใดแล้ว มันไม่มีทางหันหลังกลับ นาง…เป็นคนที่ดื้อมาก”
เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีนำ้ตาสักหยด แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าขอบตาของตัวเองร้อนขึ้นและดวงตาก็พลันแดงก่ำ “กระหม่อมรู้สึกซาบซึ้งใจมากพ่ะย่ะค่ะที่พระองค์ทรงคิดเช่นนั้น แต่ทางที่ดีที่สุดในการตอบแทนการเสียสละของนางก็คือการใช้โอกาสที่นางยอมแลกมาด้วยชีวิตให้คุ้มค่า…”
“พวกเรามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ทันทีที่กองกำลังของศัตรูบุกออกไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่เป็นกำลังเสริม มันก็จะถึงเวลาที่เราจะจู่โจมด้วยกองกำลังทหาร 20,000 ของเรา เราจะลอบโจมตีฐานปฏิบัติการของอีกฝ่าย และจะปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวมาทำลายโอกาสที่ได้มานี้ไม่ได้เด็ดขาด! ชาติจะต้องมาก่อน! ในเวลาเช่นนี้ จ้าวนรกไม่สามารถทำตามความรู้สึกของตัวเองได้พ่ะย่ะค่ะ!”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา…กองกำลังของเรายังไม่สามารถทลายกำแพงเมืองเข้าไปได้ด้วยซ้ำ! เราจะต้องรอให้พวกเขาสามารถทลายกองป้องกันที่อยู่บริเวณกำแพงเมืองและเข้าไปในเมืองให้ได้เสียก่อน โอกาสของเราจึงจะมาถึง!” เขาก้มหน้าลงช้าๆ แต่ถึงกระนั้น เปลวไฟที่ลุกโชนภายในดวงตากลับวูบไหวอย่างรุนแรงจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “ท่านฉิน กระหม่อมจะเป็นผู้จับตาดูพระองค์ไว้ก่อนที่จะถึงเวลานั้น เราจะเคลื่อนย้ายกองกำลังของเราแม้แต่หนึ่งนายไม่ได้เด็ดขาด โปรดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ…เรามีโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”
ฉินเย่กัดฟันแน่นและพยักหน้าช้าๆ
เขาเคยเห็นความตายมามากมายนับไม่ถ้วน และส่วนใหญ่ของมันก็เกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งและสงครามในช่วงต้นของชีวิตของเขา ในขณะที่แผ่นดินจีนยังคงต่อสู้เพื่ออิสรภาพของตัวเอง
ตอนนี้ มันรู้สึกราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเหล่านั้นอีกครั้ง เพราะอนาคตของยมโลก วิญญาณจำนวนมากต่างวิ่งเข้าใส่อันตรายตรงหน้าโดยไม่แม้แต่จะขอสิ่งตอบแทนใดๆ
“ทุกสิ่งทุกอย่าง…ล้วนเพื่อการรวบรวมโลกใต้พิภพให้เป็นหนึ่ง และฟื้นฟูความสมดุลระหว่างหยินและหยาง…” ฉินเย่หลับตาลงและรู้สึกจุกในลำคอเล็กน้อย เขานึกถึงภาพขนาดใหญ่ของนครชฺวีฟู่ ก่อนจะมุ่งความสนใจไปที่เมืองชั้นใน
เขาหวังอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองด้วยความประมาทมากขึ้น
เร็วสิ… รีบตกหลุมพรางของพวกข้าได้แล้ว…
ส่งกองกำลังที่เหลืออยู่ของพวกเจ้าออกมาเดียวนี้ เหล่าแม่ทัพของเราได้กระโจนเข้าสู่สนามรบแล้ว นั่นยังไม่เพียงพอที่จะได้รับความสนใจจากกองกำลังทั้งหมดของพวกเจ้าอีกหรือ?