จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 34 จัดการ
“พี่ใหญ่ ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร” จ้าวฮุ่ยมองชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินและกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่มืดมน
“ลุงใหญ่” หลู่เส่าโหย่วก็มองไปยังคนผู้นี้ด้วย ชายวัยกลางคนสวมใส่เสื้อคลุมยาว ดวงตากลมโต มีกลิ่นอายของวีรชนที่คลุมเครือ รอบกายเต็มไปด้วยลมหายใจที่ปั่นป่วน มีความแข็งแกร่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวฮุ่ย คนผู้นี้คือนายใหญ่ของตระกลูหลู่ นามว่าหลู่ตง
หลู่เส่าโหย่วสังเกตลุงใหญ่ของตน ความแข็งแกร่งของลุงใหญ่น่าจะอยู่ที่ระดับยอดยุทธ์ พลังบ่มเพาะระดับยอดยุทธ์ในทวีปหลิงหวู่นั้นนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว
“น้องสะใภ้ เจ้าควรจำให้ได้ว่าเจ้าสัญญาอะไรไว้ ในตอนนี้เจ้ากลับจะมาฆ่าเส่าโหย่ว นี่มันหมายความว่าอย่างไร” หลู่ตงเอ่ยถามจ้าวฮุ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มันฆ่าจ้าวซาน และทุบตีสาวรับใช้ของข้า ไม่ควรถูกลงโทษหรอกหรือ?” จ้ายฮุ่ยกล่าว
“เหอะ จ้าวซานกับสาวใช้ต่ำต้อยนั่นเป็นฝ่ายรังแกแม่ข้าก่อน หรือว่าพวกมันไม่สมควรตาย?” หลู่เส่าโหย่วกล่าวอย่างเย็นชา
“น้องสะใภ้ ข้าได้ยินเรื่องของจ้าวซานกับเสี่ยวหลันมาแล้ว เป็นสองคนนั้นที่ทำผิดก่อนจริง ตระกูลหลู่จะชดเชยให้พวกนั้น เจ้าว่าอย่างไร?” หลู่ตงกล่าว
“จ้าวซานกับเสี่ยวหลันล้วนเป็นคนจากตระกูลของข้า ข้าจะปล่อยไปเช่นนี้ได้อย่างไร วันนี้เจ้าลูกผสมนี่จะต้องตาย” จ้าวฮุ่ยมองหลู่เส่าโหย่วและกล่าวด้วยความเย็นชา
“น้องสะใภ้ อย่างไรเส่าโหย่วก็มีสายเลือดของตระกูลหลู่ เจ้าด่าเส่าโหย่วว่าเป็นลูกผสมเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เจ้าอย่าลืมไปว่าตอนนี้เจ้าก็เป็นคนของตระกูลหลู่ เปิดปากก็กล่าวถึงแต่ตระกูลจ้าว หรือว่าตระกูลหลู่ของข้าไม่ถูกเจ้านำมาเก็บไว้ในสายตาเลยหรือ?” หลู่ตงเผยสีหน้ามืดมนและกล่าวออกมาเบาๆ
จ้าวฮุ่ยพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง นางได้แต่จ้องมองไปยังหลู่เส่าโหย่วและลั่วหลานซืออย่างเย็นชา “หรือว่าพวกเจ้าในตอนนี้คิดอยากจะให้เจ้าหนูนี่ไหว้บรรพบุรุษ เจ้าอย่าลืมว่าตอนแรกพวกเจ้าตกลงกับข้าไว้ว่าอย่างไร”
“เจ้าก็อย่าลืมไปว่าตัวเองเคยตกลงอะไรไว้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเส่าโหย่ว เรื่องนี้ก็พูดยากแล้ว” หลู่ตงกล่าว
“เหอะ พวกเราไป” จ้าวฮุ่ยแสดงสีหน้ามืดมน จากนั้นก็หันหลังแล้วออกไปจากลานบ้าน เหล่าคนรับใช้และจ้าวเอ้อร์ก็เข้ามาประคองจ้าวต้าไว้ถึงจะสามารถออกไปจากลานบ้านได้
“เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว” หลู่ตงได้หันมากล่าวกับหลู่เส่าโหย่วและลั่วหลานซือ
“ขอบคุณนายใหญ่” ลั่วหลานซือเอ่ยขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ทำให้พวกเจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว ตระกูลหลู่ติดค้างพวกเจ้าไม่น้อย” หลู่ตงตอบกลับลั่วหลานซือ แต่สายตาของเขากลับมองไปที่ร่างของหลู่เส่าโหย่ว
หลู่เส่าโหย่วนั้นไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความ หลังจากฟังสิ่งที่ลุงใหญ่กล่าวกับจ้าวฮุ่ยเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีอะไรบางอย่างเก็บซ่อนไว้เบื้องหลัง
“เส่าโหย่ว เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด?” หลู่ตงเหลือบมองหลู่เส่าโหย่วแล้วเอ่ยถามขึ้น
“ข้าลืมไปแล้ว เป็นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ เขานั้นไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งอะไรกับลุงใหญ่ จากความทรงจำในจิตใจของเขา ทำให้เขารู้ว่าลุงใหญ่ผู้นี้คอยดูแลเขาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
“ในภายภาคหน้า เจ้าต้องระมัดระวังมากกว่านี้ อยู่ในตระกูลหลู่ต่อไปเถอะ อย่างน้อยในตระกูลหลู่ก็ไม่อันตรายเท่าข้างนอก เรื่องบางเรื่อง บางทีเจ้าอาจจะได้รู้ในภายหลัง” หลู่ตงกล่าวกับหลู่เส่าโหย่วราวกับเดาได้ว่าหลู่เส่าโหย่วตั้งใจที่จะจากไป
“เรื่องบางเรื่อง บางที ข้าก็ไม่ได้อยากจะเข้าใจ แต่ข้ารู้เพียงว่าใครบ้างที่ติดค้างพวกเราสองแม่ลูกไว้” หลู่เส่าโหย่วกล่าวเบาๆ การตายของหลู่เส่าโหย่วคนก่อนก็เป็นเพราะตระกูลหลู่ บัญชีแค้นนี้ หากในอนาคตมีโอกาส ตัวเขาก็จะช่วยหลู่เส่าโหย่วคนก่อนแก้แค้นให้ได้ เพราะตัวเขาได้เข้ามาใช้ร่างกายนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงนับเป็นความรับผิดชอบของเขาด้วย
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเก็บซ่อนและอดทนมาโดยตลอด เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่อดทนต่อไป นั่นจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับเจ้ามากกว่า” สีหน้าของหลู่ตงได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นมา เมื่อมองไปยังหลานชายที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ก็ดูเหมือนว่าหลานชายคนนี้จะมีบางอย่างแตกต่างไปจากเดิม
“เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่สามารถอดทนต่อไปได้” หลู่เส่าโหย่วกล่าว ในตอนที่เห็นท่านแม่โดนพวกคนรับใช้รังแก ตัวเขาจะอดทนต่อไปได้อย่างไร
“เอาล่ะ ข้าไปก่อนแล้ว เรื่องบางเรื่อง มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น เจ้าต้องระมัดระวังมากขึ้น จำไว้ว่าอย่าออกจากตระกูลหลู่ อาจจะมีใครบางคนหวังให้เจ้าออกจากตระกูลหลู่อยู่” หลังจากหลู่ตงกล่าวจบ เขาก็ค่อยๆ ถอนหายใจและเดินออกไปจากลานบ้าน
“เส่าโหย่ว เจ้าต้องไม่ออกจากตระกูลหลู่นะ ท่านพ่อต้องไม่คิดร้ายกับเจ้าแน่” หลู่หวู๋ซวงกล่าวขึ้นในตอนที่นางเดินมาอยู่ข้างๆ หลู่เส่าโหย่ว
“พี่หวู๋ซวง ข้าเข้าใจแล้ว” หลู่เส่าโหย่วกล่าว เขาได้คิดคำนวณเอาไว้ในใจแล้ว เรื่องนี้คาดเดาได้ไม่ยาก ฟังจากสิ่งที่ลุงใหญ่กล่าวกับจ้าวฮุ่ย ดูเหมือนว่านางกับตระกูลหลู่จะมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน จ้าวฮุ่ยไม่สามารถลงมืออะไรกับเขาได้ ไม่เช่นนั้น คาดว่าหลู่เส่าโหย่วคนก่อนคงจะโดนฆ่าไปตั้งนานแล้ว คงไม่ได้มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้
“คุณชาย พวกเราควรทำอย่างไรต่อไป” หลู่เสี่ยวไป๋กล่าว
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ควรทำอะไรก็ทำเหมือนเดิม” หลู่เส่าโหย่วหันไปตอบกลับหลู่เสี่ยวไป๋ จากนั้นเขาก็กล่าวกับลั่วหลานซือที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านแม่ ต่อไปนี้ท่านไม่ต้องไปที่ห้องซักผ้าแล้ว ลูกสามารถเลี้ยงดูท่านได้ รออีกสักระยะหนึ่ง พวกเราก็จะได้ออกไปจากตระกูลหลู่ ออกไปยังที่ที่ไกลแสนไกล”
เวลากลางคืนได้มาถึงโดยไม่ทันรู้ตัว หลู่เส่าโหย่วกลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วนั่งขัดสมาธิ เขาได้แต่นั่งคิดว่าควรจะทำอย่างไรในภายภาคหน้า ตอนนี้เขาได้เปิดเผยฐานะผู้ฝึกยุทธ์ให้คนอื่นได้รู้แล้ว คาดว่าวันเวลาของเขาต่อจากนี้จะต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
ตัวเขาต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเอาไว้ด้วย เขาต้องรีบทะลวงระดับการบ่มเพาะ มีเพียงแต่ต้องมีพละกำลังที่แข็งแกร่งถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ หากอาศัยเพียงการบ่มเพาะ เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีถึงจะสามารถทะลวงระดับได้ มีแต่ต้องพึ่งพาการหลอมโอสถเท่านั้น
“ข้าต้องการเงิน ต้องการเงินที่มหาศาลเพื่อที่จะยกระดับพลังของตัวเอง” หลู่เส่าโหย่วบ่นพึมพำ ในมือของเขายังมีโอสถเสริมพลังอีกสิบกว่าเม็ด พรุ่งนี้เขาจะนำมันไปขายที่เทียนเป่าเหมิน จากนั้นค่อยแลกสมุนไพรขั้นสองมาเล็กน้อย ในตอนนี้ตัวเขาควรที่จะเริ่มหลอมโอสถขั้นสองได้แล้ว
หลังจากตัดสินใจทุกอย่างเสร็จ หลู่เส่าโหย่วก็นั่งขัดสมาธิและเริ่มบ่มเพาะทันที ถึงแม้การบ่มเพาะปกติจะช้ามากเพียงใด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
ในลานบ้านแห่งหนึ่ง มีร่างของจ้าวฮุ่ยและจ้าวเอ้อร์อยู่ภายในนั้น สีหน้าของจ้าวฮุ่ยในเวลานี้ช่างน่าเกลียดยิ่งนัก
“จ้าวต้าเป็นอย่างไรบ้าง?” จ้ายฮุ่ยถาม
“บาดเจ็บหนักเกินไป อาการของจ้าวต้าใกล้ความตายอย่างมาก ยังดีที่เมื่อครู่ได้กินโอสถลงไปแล้ว ทำให้เก็บชีวิตกลับมาได้ แต่คาดว่าเรื่องนี้จะทำให้มีผลกระทบกับการบ่มเพาะในอนาคตเป็นอย่างมาก หากไม่ใช้เวลาถึงหนึ่งปีครึ่งก็คงจะไม่ดีขึ้นมา คุณหนู หรือว่าพวกเราต้องปล่อยเจ้าหนูนั่นไปง่ายๆ เช่นนี้” จ้าวเอ้อร์กล่าว
“หึ…เจ้าลูกผสมนั่นดันกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขึ้นมาได้ และยังทะลวงระดับมาถึงระดับนักรบแล้ว ทว่าหลายปีที่ผ่ามมากลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ เจ้าลูกผสมผู้นี้มันต้องตาย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าลูกผสมนี่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป” จ้าวฮุ่ยกล่าว
“แต่ว่าคุณหนู หากจะฆ่าเจ้าหนูนี่ก็เกรงว่าน่าจะลำบาก มันได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จะฆ่ามันภายในตระกูลหลู่นั้นไม่ง่ายเลย ผู้อื่นในตระกูลอาจจะรับรู้ได้” จ้าวเอ้อร์กล่าว
“พรุ่งนี้เจ้าจงส่งคนกลับไปที่ตระกูลจ้าว และบอกกล่าวเรื่องทางนี้แก่ตระกูล ที่ตระกูลจ้าวจะต้องมีการจัดการเรื่องนี้แน่ นอกจากว่าเจ้าหนูนั่นจะอยู่แต่ภายในตระกูลไม่ออกไปไหน ไม่อย่างนั้นแล้ว หึ…” ดวงตาของจ้าวฮุ่ยได้เผยความดุร้ายออกมา นางจะไม่ปล่อยสองแม่ลูกคู่นี้ไปง่ายๆ แน่
ในห้องหินแห่งหนึ่งภายในตระกูลหลู่ มีร่างที่สวมใส่ชุดคลุมยาวร่างหนึ่งได้ปรากฏที่ด้านนอกห้อง คนผู้นั้นคือหลู่ตง
“เรื่องที่ไปจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?” ภายในห้องหินนั้น ได้มีเสียงที่แก่ชราเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ท่านพ่อ เส่าโหย่วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังมาถึงระดับนักรบแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น ต่อหน้า คาดว่าฝูงชนก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าลับหลังข้าก็ไม่รู้แล้ว” หลู่ตงกล่าว
หลังจากนั้น ภายในห้องหินก็ไม่มีเสียงใดๆ เอ่ยออกมาเป็นเวลานาน กระทั่งเสียงที่แก่ชรานั้นได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ดูเหมือนว่าเส่าโหย่วจะอดทนเก็บซ่อนมานาน รู้จักอดทน ไม่เลว คาดว่าคงมีโอกาสอยู่กับตัว ตระกูลหลู่ติดค้างพวกเขาสองแม่ลูกไม่น้อย ตอนนี้ ข้ากลัวว่ามันจะอันตรายมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว”