จิตวิญญาณเทพยุทธ์สยบเทวะ - ตอนที่ 12 ฟังเรื่องวุ่นวาย แต่ไม่เป็นเจ้าของเรื่องวุ่นวาย
แต่หลู่เส่าโหย่วในขณะนี้กลับเบนสายตาไปยังผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ หญิงสาวที่ดูสูงส่งคนนั้น นางสวมใส่ชุดที่เหมือนกับคนรับใช้ รูปร่างหน้าตาดูแล้วอายุน่าจะประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ใบหน้าของนางมีสีแดงอ่อนราวกับต้นท้อที่พึ่งออกดอก ใต้คิ้วที่เรียวยาวมีนัยน์ตาสีฟ้าบริสุทธิ์คู่หนึ่งกำลังสั่นไหว จมูกของนางโด่งสวยรับกับใบหน้าสีขาวแดง ผมสีดำยาวถูกมัดไว้ด้านหลังและขดเป็นมวยผมทรงสูง กระโปรงยาวสีอ่อนที่ไม่ได้หรูหราของนางนั้นเผยให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย
หลู่เส่าโหย่วมองไปที่หญิงสาวนางนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายไม่น้อย เดิมทีนางคงจะงดงามเป็นอย่างมาก แต่ที่ใบหน้าด้านขวาของนางกลับมีรอยปานสีแดงขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกอยู่ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อความงดงามของนางมากทีเดียว
อย่างไรเสีย หลู่เส่าโหย่วก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหญิงสาวผู้นั้น ถึงแม้การแต่งกายของนางจะเหมือนกับคนรับใช้ แต่นางกลับมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น และแววตาของนางก็ไม่ใช่แววตาของผู้ที่เป็นเพียงคนรับใช้อีกด้วย หลู่เส่าโหย่วคิดว่านางคงจะไม่ใช่คนรับใช้ธรรมดา
“คุณหนูกูตู๋ เชิญชม สวนดอกไม้ที่ลานด้านหลังของเราเป็นอย่างไรบ้าง” หลู่เส่าหู่ที่อยู่ด้านหน้ายิ้มบางๆระหว่างที่กล่าวกับหญิงสาวที่ถูกรายล้อมอยู่กลางกลุ่ม
“ไม่เลว นี่คงเป็นต้นหลิวเหมันต์ เป็นพืชของที่ราบทางเหนือ หาได้ยากยิ่งในที่แห่งนี้” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าคุณหนูกูตู๋เผยรอยยิ้มบางเมื่อมองดูต้นหลิวเหมันต์ที่เติบโตอยู่ข้างหน้า
“คุณหนูกูตู๋มีสายตาที่หลักแหลมนัก” หลู่เส่าหู่ หลู่เส่าหย่ง และโจวไห่หมิงได้กล่าวออกมาพร้อมกัน
“ได้ยินมาว่าคุณหนูกูตู๋มีความสามารถทางวรรณกรรมที่ไม่ธรรมดา ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูหนาว ข้าขอแสดงทักษะอันอ่อนด้อยสักเล็กน้อย ขอคุณหนูกูตู๋โปรดชี้แนะ” โจวไห่หมิงถือโอกาสนี้กล่าวออกมา ดูเหมือนว่าเขาอยากจะแสดงทักษะของเขาต่อหน้าสาวงาม
“หากให้ชี้แนะข้าคงไม่กล้า โปรดเชิญคุณชายโจวแสดงทักษะของท่านให้ข้าได้ชื่นชม” คุณหนูกูตู๋กล่าวด้วยรอยยิ้มอันงดงาม
“งั้นข้าขอแสดงทักษะอันต่ำต้อยแล้ว” โจวไห่หมิงจัดเสื้อผ้าของตัวเองและหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องไปที่สวนดอกไม้ “ภูมิทัศน์ของสวนช่างงดงาม เมื่อฤดูหนาวพัดผ่าน ฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นก็มาเยือน นอกจากต้นไม้ดอกไม้จะบานแล้วนั้น บนระเบียงยังมีแขกมาเยือน” หลังกล่าวจบ โจวไห่หมิงก็ยิ้มอย่างภูมิใจ เหมือนว่าตัวเขาจะพอใจกับสิ่งที่กล่าวออกไปไม่น้อย
“…” หลู่เส่าโหย่วที่แอบอยู่บนต้นไม้แทบอยากจะอาเจียนออกมา ได้แต่คิดในใจว่า ทุกวันนี้ คนแบบไหนก็มีทั้งนั้น
ในบรรดาชายหนุ่มและหญิงสาว แววตาของหลู่หวู๋ซวงปรากฏความอับจนหนทางเพียงเสี้ยววินาทีโดยที่ไม่มีใครรู้
“ไม่เลว ไม่เลว ไม่คิดว่าเลยว่าคุณชายโจวจะเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้” คุณหนูตระกูลกูตู๋กล่าวชมเชยด้วยรอยยิ้ม โจวไห่หมิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกภูมิใจขึ้นมา ตอนที่เขาก้าวเดินก็ดูมีความภาคภูมิเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
กลุ่มคนก้าวเดินต่อไป พวกเขาค่อยๆ เดินเข้าใกล้หลู่เส่าโหย่วที่แอบอยู่ไม่ไกล กลุ่มคนพูดคุยกันคิกคัก บ้างก็มีเสียงหัวเราะดังออกมา
หลู่เส่าโหย่วเห็นสาวรับใช้ที่มีกลิ่นอายที่พิเศษคนนั้นจากที่สูง เหมือนว่านางจะมีเรื่องบางอย่างในใจ นางไม่ได้พูดคุยยิ้มแย้มเหมือนคนอื่น ดวงตาของนางกลับเผยความเศร้าออกมา
“ความหนาวของเหมันตฤดูนั้นกี่องศา หลังความงดงามได้พัดผ่านไป พรสวรรค์ก็ราวกับทรายดูดที่หดหายไปตามกาลเวลา อายุเหมือนกับช่วงเวลา สมัยรุ่งเรื่องและวุ่นวาย กระแสน้ำลึกนั้นมีผิวน้ำอันสงบ บนผิวน้ำสามารถเป่าเซิงเพื่อร้องเต้น ชีวิตก็เปรียบดั่งดวงจันทร์ เมฆหมอก แสงแดด…”
สาวรับใช้ค่อยๆ ก้าวเดิน นางเหลือบมองสีของความหนาวเหน็บราวกับสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ทำให้นางขับร้องบทกวีออกมา เสียงของนางนั้นดูสูงส่งประณีต ทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงกระแสลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ พวกหนุ่มสาวที่กำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่พลันเบนสายตามาจับจ้องที่สาวรับใช้ทั้งหมด
ทุกคนต่างทำเพียงฟังสาวรับใช้คนนั้นขับขานบทกวีต่อไป “เมื่อชีวิตปราศจากพู่กันและน้ำหมึก จุดสัญญาณไฟบนสนามรบที่น่าตื่นเต้น ไม่ยอมมีชีวิตอย่างหญิงสาวจินเซ้อ ครอบครัวล่มสลายเมื่อเกิดสงคราม กาลเวลาก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปอย่างไร้ขอบเขต”
“หญิงสาวผู้อ่อนเยาว์และงดงาม สั่นสะเทือนวุ่นวายไปทั้งแผ่นดิน ครึ่งชีวิตหายไปด้วยสงครามและความอดอยาก การเพิ่มขึ้นของความโศกเศร้าที่ไม่สิ้นสุด ผ่านพ้นไปกี่สหัสวรรษ ถึงจะกลับมาเกิดด้วยรอยยิ้มอันสดใส”
เมื่อได้ฟังเสียงขับขานบทกวีของสาวใช้ผู้นี้ หลู่เส่าโหย่วก็พบว่าบทกวีเหล่านั้นสื่อความหมายถึงความเคียดแค้นที่ตัวเองไม่ได้เกิดมาเป็นผู้ชาย สัญญาณไฟบนสนามรบที่น่าตื่นเต้น ไม่ยอมมีชีวิตอย่างหญิงสาวจินเซ้อ ครอบครัวล่มสลายเมื่อเกิดสงคราม กาลเวลาก็เหมือนกับน้ำที่ไหลไปอย่างไร้ขอบเขต ถ้าหากนางเป็นผู้ชาย ต้องเป็นวีรบุรุษของแผ่นดินอย่างแน่นอน
หลู่เส่าโหย่วอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพรสวรรค์และความทะเยอทะยานของสาวใช้ จุดสัญญาณไฟบนสนามรบที่น่าตื่นเต้น ไม่ให้คนนับหมื่นตายเพื่อให้ตนมีชื่อเสียง นี่ถึงจะเป็นจิตใจที่บุรุษควรมี
สาวรับใช้คนนั้นได้ขับร้องบทกวีต่อไป “จุดที่เรือข้ามฟาก สนามรบรกร้าง ฝนธนูเต็มฟ้า ใส่ผ้าไหมที่ประณีตทุกชนิด หลงใหลผืนแผ่นดิน คุณค่าของอาหาร โบยบินสู่เส้นขอบฟ้า ฟังเรื่องวุ่นวาย แต่ไม่เป็นเจ้าของเรื่องวุ่นวาย ใบหน้าสงบนิ่งในกระจกสลายหายไปราวกับฟองอากาศ ผ้าไหมอ่อนสามพันชุด เป็นความฝันเพื่อใคร ถนนรุ่งเรืองสูงส่งสู่ชื่อเสียง ใครกันจะแข่งขันเพื่อสาวงาม?…”
เมื่อฟังบทกวีต่อ กลับพบว่าในความทะเยอทะยานของบุรุษ ก็มีความรู้สึกของสตรีอยู่ด้วย มีทั้งความแข็งแกร่งและความนุ่มนวล ตัวของหลู่เส่าโหย่วนั้นราวกับเข้าสู่สภาวะอันว่างเปล่า ชาติก่อนตัวเขาอนาคตมืดบอด แต่โชคดีที่ได้เดินทางข้ามมิติมาต่างโลก จุดสัญญาณไฟบนสนามรบที่น่าตื่นเต้น ไม่ให้คนนับหมื่นตายเพื่อให้ตนมีชื่อเสียง มีอำนาจที่สั่นคลอนทั้งฟ้าดินและเพลิดเพลินไปกับทุกสิ่ง นี่คือเสียงของจิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวเขา
สาวใช้ยังคงขับร้องต่อไป “เสียงพิณหนึ่งบทเพลง พัวพันความโศกเศร้าทั้งโลก ลูตหนึ่งตัว เต็มไปด้วยความรู้สึกชั่วนิรันด์ ขลุ่ยที่ไม่สมบูรณ์ หลงใหลฝนตอนเชงเม้ง เมื่อความรุ่งเรืองสิ้นสุด ใครเล่าจะให้บทเพลงตลอดไปกับข้า เมื่อความงดงามแปรเปลี่ยน ใครเล่าจะให้ชาติต่อไปอันแสนสุขกับข้า…”
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองไปยังหญิงรับใช้อย่างเหม่อลอย ทั้งพรสวรรค์และทักษะด้านวรรณกรรมของนาง แม้แต่โจวไห่หมิงผู้อวดดียังรู้สึกละอายใจขึ้นมา
ขณะเดียวกัน คิ้วของสาวรับใช้กลับขมวดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อขับร้องมาถึงตรงนี้ เหมือนว่านางจะไม่สามารถไปต่อได้แล้ว ทำให้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในเวลานั้น กลับมีเสียงหนึ่งดังออกมาจากทางข้างหน้า “ราตรีที่ฝนตกช่างเงียบงัน การกลับชาติมาเกิดอันน่าผิดหวัง เสียงหัวใจปั่นป่วนบนเส้นทางแห่งชื่อเสียง ความทรงจำแผดเผาความโศกเศร้า ความโศกเศร้าทำลายครึ่งชีวิต อีกครึ่งชีวิตอยู่ในความหดหู่…”
“…ในชาตินี้ หอกทองม้าเกราะเหล็ก เดินทางนับพันไมล์ สัญญาณไฟทั่วทุกหนแห่ง ขุนนางก่อสงครามบนแผ่นดิน ทหารสู้เพื่อแผ่นดินแทนใคร ลับอาวุธคนให้อาหารม้า ธงกลิ้งเกลือกไปมา ทรายปลิวหินลอย ระฆังทองดังขึ้นฟ้า การเข่นฆ่าสะเทือนแผ่นดิน เมืองเต็มไปด้วยฝุ่นควัน น้ำตาร่วงหล่น ม้าตายเกราะสลาย เติมเต็มท้องฟ้าให้เป็นสีแดง หวังว่ากลับชาติมาเกิดยังเตียงเดิม และคาบดอกไม้ในเดือนสองมาให้เจ้า ข้าจะเต้นรำเพื่อเจ้าเพียงเวลาหยดน้ำตาเดียว เพราะข้าจะใช้เวลาทั้งชีวิตพิชิตแผ่นดินนี้เพื่อเจ้า”
“ในชาตินั้น ดอกท้อสามพันปี ดอกไม้ที่ร่วงโรยจนท้องฟ้าเป็นสีแดง ความวิจิตรไร้ขอบเขต ความงดงามที่ไม่มีใครเทียบได้ ข้าสามารถใช้เวลาเพียงครึ่งธูปเพื่อเล่นดนตรีให้เจ้า เพราะข้าจะใช้เวลาทั้งชีวิตกับเจ้าเหยียบย่ำเส้นขอบฟ้า
ในชาตินั้น หิมะสีขาว คำสาปที่บริสุทธิ์ ซากุระร่วงโรยสี่ฤดู เทศกาลดอกไม้กาลเวลาเต้นรำ โศกนาฏกรรมหลายชาติ หลงเหลือกลิ่นหอมเมื่อสัมผัสดอกไม้ ข้าสามารถใช้เวลาเมามายร่วมกับเจ้าได้เพียงช่วงเวลาดาวตกส่องแสง เพราะข้าจะใช้ช่วงเวลาในนาฬิกาทรายมาหลอมละลายหิมะเพื่อเจ้า
และในชาตินั้น ตะเกียงสีฟ้าครึ่งถ้วย อยู่กับพระพุทธเจ้าโบราณ พระจันทร์กลมเพียงวันเดียว อาคารกันลม เวลาล่วงเลยเป็นหนึ่งบทเพลง กลิ่นแรกหลังแต่งดูอบอุ่น เส้นผมสามพันเส้นที่พริ้วไหว เพื่อเจ้าจนกลายเป็นคนโง่ ความบ้าคลั่งที่สะสมมาทั้งชีวิต สามารถระบายมันกับใครได้?…”
“กี่วีรบุรุษที่เข่นฆ่านองเลือด กี่ดวงวิญญาณที่ถูกฝังในต่างแดน แม่ทัพได้รับชัยเพราะกระดูกนับหมื่น คนผมขาวมากมายไปส่งคนผมคำ เป็นเพียงแม่น้ำหนึ่งสายที่เตือนรุ่นของเรา กำแพงที่ผุพัง ทหารที่อยู่ใต้น้ำ เมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน ความขมขื่นและความแค้นของผู้รอใครจะรู้ ไม่กลัวดวงชะตาจะพลิกผัน แค่กลัวว่าจะไม่มีใครฟังเสียงของดอกไม้ที่ร่วงโรยไป…”
หลู่เส่าโหย่วไม่สามารถคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เมื่อนึกถึงชาติก่อนที่เสียเวลาไปเกือบครึ่งชีวิตโดยไม่มีความสำเร็จใดๆ พอมาถึงโลกใบนี้ สิ่งตัวเขาต้องการมีเพียงสองสิ่ง และในที่สุด หลู่เส่าโหย่วก็ขับร้องบทกวีต่อจากสาวรับใช้ผู้นั้นออกไปโดยไม่ทันรู้ตัว
“ช่างมีพรสวรรค์และความทะเยอทะยานที่ยอดเยี่ยม ท่านช่วยลงมาเจอข้าหน่อยได้หรือไม่” เมื่อได้ฟังบทกวีที่หลู่เส่าโหย่วขับขาน กลุ่มหนุ่มสาวเหล่านั้นต่างก็ประหลาดใจไม่น้อย บทกวีนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าบทกวีของสาวรับใช้เลย เป็นบทกวีที่สะท้อนถึงความเย่อหยิ่งและอ่อนโยน เป็นเพียงแม่น้ำหนึ่งสายที่เตือนรุ่นของเรา กำแพงที่ผุพัง ทหารที่อยู่ใต้น้ำ เมืองที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควัน ความขมขื่นและความแค้นของผู้รอใครจะรู้ ไม่กลัวดวงชะตาจะพลิกผัน แค่กลัวว่าจะไม่มีใครฟังเสียงของดอกไม้ที่ร่วงโรยไป…นี่คงเป็นกวีโบราณสี่บรรทัด