จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 488 วิชาเทพเซียน
“ฉัน? ก็คือยอดฝีมือสมัครเล่นที่นายบอกว่าแค่ลงมือไปส่งๆ ก็ จัดการได้แล้วไงล่ะ” หลี่มู่ทําตัวเหมือนมาถึงบ้านตัวเอง ไปนั่งอยู่บน เก้าอี้หลังโต๊ะทํางาน “เขาม่ายจี? เขตเทียนสุ่ยใช่ไหม? อารามเมฆ คล้อยอะไร ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่แท้เป็นนายที่บงการจะลงมือกับลูก สาวของลุงเจิ้งนี่เอง เป็นนักบวชแต่รากทั้งหกไม่บริสุทธิ์ ดูท่าก็คงไม่ใช่ คนดีอะไร”
พูดแล้วก็ยกนิ้ว ชี้ออกไป
นักพรตลู่รู้สึกแค่เพียงตําแหน่งตันเถียนสั่น จากนั้นความรู้สึกอ่อน แรงก็ส่งมา พลังทั่วร่างเหมือนถูกสูบออกไปหมด เขาหน้าซีดขาวทันที เอ่ยอย่างตกใจ “ตันเถียนของฉัน ปราณแท้ของฉัน…แก แกทําลาย ปราณแท้ของฉัน แก…”
“ปราณแท้? ช่างกล้าพูด กะอีแค่กําลังภายในนิดเดียวเท่านั้น” หลี่มู่พูด “นายน่าจะดีใจนะว่าวันนี้ยังเก็บชีวิตกลับไปได้ ฉันเพิ่งกลับมา ยังไม่อยากฆ่าคน แดนเซียนยอดเขาฉินหลิ่งที่ว่าเมื่อกี้มันเรื่องอะไร กัน?”
ใบหน้าของนักพรตลู่ไม่เหลือรอยเรียบร้อยพินอบพิเทาอีกต่อไป แปรเปลี่ยนเป็นรอยเคียดแค้นเหี้ยมโหด ตันเถียนและปราณแท้ถูก ทําลาย พูดได้ว่าความพยายามที่ผ่านมาก่อนหน้านี้หลายปีหายไปหมด อนาคตอันสดใสก็ไม่มีเหลือแล้วเช่นกัน
เขาจ้องหลี่มู่เขม็ง เอ่ยกัดฟันกรอด “ของกํานัลชิ้นใหญ่ที่ผู้อาวุโส มอบให้ จะไม่มีวันลืมแน่นอน อารามเมฆคล้อยถึงตอนนั้นจะต้อง…”
“โง่เง่า ไม่รู้จักตาย” หลี่มู่ยกมือตบไปกลางอากาศ ก็ได้ยินเสียง ดังเพี๊ยะ ใบหน้าของนักพรตลู่พลันเกิดเป็นรอยฝ่ามือแดง กระเด็นลอย ออกไปชนเข้ากับกําแพง กระอักเลือดสดๆ ออกมาแล้วก็สลบไป
หยิบอารามเมฆคล้อยมาขู่?
หลี่มู่ไม่สนใจเลย
“นายเล่าซิ แดนเซียนยอดเขาฉินหลิ่งมันเรื่องอะไรกัน” หลี่มู่มอง ไปยังเหยียนติ้งหู่
เหยียนติ้งหู่ตอนนี้ตกใจจนโง่ไปแล้ว
นักพรตลู่ที่เหมือนเป็นเทพเซียนในสายตาเขา อยู่ต่อหน้าหลี่มู่ช่าง อ่อนด้อยสิ้นดี คราวนี้เขารู้แล้วว่า สิ่งที่บริษัทมังกรทะยานเผชิญหน้า ไม่ใช่แค่เสี้ยนเล็กๆ ธรรมดา แต่เป็นตอเหล็กจังเบอเร่อ
“ครับๆ ท่านเทพ ว่ากันว่าในยอดเขาฉินหลิ่งตอนนี้ ประเดี๋ยวเดือน มิถุนาก็หิมะโปรยปราย ประเดี๋ยวต้นปรงพันปีออกดอก ทั้งพญาปักษา ยังขับขานไม่หยุด ลางบอกเหตุนี้เป็นเหตุการณ์ประหลาดที่แดนเซียน แดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออกแล้วนั่นเอง เมื่อสองเดือนก่อน คนในยุทธจักรก็ รับรู้ถึงเหตุการณ์แดนเซียนเปิดออกแล้ว…” เหยียนติ้งหู่ท่าทีลนลาน พูดตะกุกตะกัก ไม่เป็นลําดับ “หลายคนมั่นใจว่า ในยอดเขาฉินหลิ่งมี แดนเซียนเปิดขึ้นแล้ว”
“เดี๋ยวก่อน ความหมายของนายก็คือ บนโลกแต่ก่อนเคยมีแดน เซียนเปิดขึ้น?” หลี่มู่ขมวดคิ้ว
เรื่องพวกนี้ ตอนก่อนหน้านี้ที่เขาหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ไม่เห็น มีเลยนี่นา
เหยียนติ้งหูชะงักไป “ผู้อาวุโสไม่รู้? อ้อ แน่นอน นี่ไม่แปลกอะไร ผู้ อาวุโสเป็นผู้ยิ่งใหญ่เหนือเรื่องทางโลก ก่อนหน้านี้อาจจะปลีกวิเวกมา โดยตลอด ไม่ค่อยสนใจโลกภายนอก ก่อนหน้านี้ทั้งโลกล้วนมีดินแดน ลับและแดนเซียนเปิดขึ้น ขนาดต่างกันไป ในประเทศจีนก็เคยมีแดน เซียนเขาอู่อี๋ แดนเซียนเขาต้าเซี่ยงเปิดขึ้น ‘สามผู้ยิ่งใหญ่’ ‘สี่เทวะ’ ‘แปดราชัน’ ในยุทธจักร มีกว่าครึ่งเพราะเข้าไปในแดนเซียนถึงได้มี พลังฝึกที่น่ากลัว…”
เขาพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด แต่เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นแค่สมาชิกวงนอก สิ่งที่รู้มีจํากัดเป็นแค่ข้อมูลยิบย่อยจิปาถะ กระจัดกระจายไม่สมบูรณ์
“มีคนบอกว่าเหตุที่สองปีมานี้คนในยุทธจักรมีวิชาเยี่ยมยุทธ์โผล่ ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะเหตุการณ์ประหลาดพวกนี้เปิดออก กลิ่น อายเซียนข้างในแผ่กระจายออกมา คนพวกนี้ได้ไป…” ภายใต้ความ หวาดกลัวก็พูดออกไปทั้งหมด พูดไม่จบไม่สิ้น
หลี่มู่ฟังข้อมูลพวกนี้ ในใจก็พอจะมีเค้าอะไรรางๆ
แดนเซียนแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดออก?
ฟังแล้วทําไมเหมือนผนึกโลกมิติเล็กๆ อะไรบางอย่างทํางานเล่า
ถามอะไรเพิ่มขึ้นอีก อย่างแดนเซียนข้างในเป็นยังไง มีโอกาสยังไง บ้างอะไรพวกนี้ เหยียนติ้งหู่ก็ไม่รู้อะไรแล้ว ในเมื่อเขาก็ไม่เคยเข้าไปใน แดนเซียน
“ก่อนหน้านี้เพราะแดนเซียนเขาอู่อี๋ แดนเซียนเขาต้าเซี่ยงเปิดขึ้น กะทันหันนัก ดังนั้นรัฐบาลจึงตั้งตัวไม่ทันคนในยุทธจักรหรือคนที่โชคดี บางคน บังเอิญได้โอกาสเข้าไปข้างใน ได้รับวาสนา แต่ตอนนี้ รัฐบาล เริ่มให้ความสําคัญ แดนเซียนแห่งใหม่เปิดออก รัฐบาลจึงควบคุม ในทันที ให้โอกาสคนในยุทธจักรเข้าไปจํานวนน้อย ในยอดเขาฉินหลิ่ง ครั้งนี้มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เหมือนจะเป็นแดนเซียน
เปิดขึ้น อย่างไรเสีย เขาฉินหลิ่งก็เป็นภูเขาที่มีชื่อของประเทศ ก่อนหน้า นี้ทุกคนสรุปออกมาได้ว่า ยิ่งเป็นขุนเขาหรือผืนน�าที่มีชื่อมากเท่าไหร่ โอกาสที่แดนเซียนก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นเขาฉินหลิ่งจึงดึงดูดสายตาของ ผู้คนนับไม่ถ้วน…”
เหยียนติ้งหู่มองท่าทางผิดหวังของหลี่มู่ กลัวว่าตัวเองจะสูญเสีย คุณค่า จึงรีบวิเคราะห์ เอ่ยเสริมอย่างสุดกําลัง
หลี่มู่พยักหน้า
นี่ถึงจะสมเหตุสมผล
ในประเทศจีน ทุกอย่างเป็นของประเทศชาติหมด
คนในยุทธจักรต่อให้เก่งกาจแค่ไหน เทียบกับประเทศชาติแล้ว ก็ เทียบไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ นอกเสียจาก คนที่เยี่ยมยอดประดุจเทพ เซียนเดินอากาศดําดินย้ายภูเขาได้พวกนั้น ถึงจะส่งผลกระทบต่อ ปณิธานของรัฐบาลได้
หลี่มู่รู้สึกว่า สําหรับแดนเซียน เขาจะต้องไปตรวจสอบสักหน่อย
เมืองเป่าจีก็อยู่ที่ตีนเขาฉินหลิ่งพอดี กลับไปถามซินแสเฒ่าก่อนสัก หน่อย ตาเฒ่านี่จะต้องรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
“นักพรตเขาม่ายจีนี่ทําไมถึงให้นายไปจับตัวเจิ้งซิ่วเอ๋อร์แทน?” หลี่มู่ถามอีก
เหยียนติ้งหู่รีบพูดขึ้น “ได้ยินว่าการเปิดขึ้นของแดนเซียนจะต้องมี ของเซ่นไหว้ นักพรตลู่…เอ่อ ไม่ นักพรตชั่วนี่บอกว่า เด็กสาวชื่อเจิ้งซิ่ว เอ๋อร์คนนี้ เวลาตกฟากพิเศษ เลือดของเธอเอามาใช้เซ่นฟ้าดินเปิด ประตูได้ อารามเมฆคล้อยอยากจะเข้าไปในแดนเซียนเขาฉินหลิ่ง ดังนั้นเลยจะจับเธอมา…” ไม่ปกปิดเลยแม้แต่น้อย
หลี่มู่ฟังแล้วก็โมโหเป็นอย่างมาก
ใช้เลือดคนเปิดแดนเซียนนี่มันวิธีของพวกนอกรีตลัทธิมารชัดๆ
ท่าทางนักพรตอารามเมฆคล้อยเขาฉินหลิ่งก็จะไม่ใช่คนดีอะไร กลับไปจะต้องไปเยือนสักรอบ ลงมือกวาดล้างขุดรากถอนโคนตัว เคราะห์ภัยพวกนี้
เขามองไปยังนักพรตลู่ที่นอนสลบอย่างละเอียดอีกครั้ง
หลี่มู่เปลี่ยนใจแล้ว
เขางอนิ้วดีด สะเก็ดไฟทางหนึ่งยิงพุ่งออกไปยังร่างของนักพรตลู่ เสียงดังบึ้ม แสงไฟส่องประกาย เสี้ยวขณะต่อมา ร่างของนักพรตลู่ทั้ง ร่างถูกเผาทั้งร่างและวิญญาณ ไม่เหลือแม้แต่เศษเถ้า
กลวิชาเช่นนี้เกินขอบเขตวิชายุทธ์ แต่นี่เป็นวิชาเต๋าวิชาเซียนแล้ว อย่างกับเทพเซียนชัดๆ
ภาพนี้ทําเอาเหยียนติ้งหู่และสามเหล็กกล้าทั้งสามที่เหลือแต่ละคน หน้าซีดเผือด ขาทั้งสองสั่นสะท้าน
คนเป็นๆ ทั้งคนเชียวนะ เพียงชั่วพริบตาก็เผาจนไม่เหลือแม้แต่ ซาก กลวิชาเช่นนี้ ฆ่าคนไร้ร่องรอย เป็นวิธีทําลายศพลบร่องรอยที่ยอด เยี่ยมที่สุด ต่อให้เป็นนักสืบเทพก็หาไม่เจอกระมัง
“พวกแกก็ไม่ใช่คนดีอะไร” หลี่มู่ในใจเกิดจิตสังหาร มองไปแวบ หนึ่ง
พวกสามเหล็กกล้าเถี่ยจวิน จางโหย่วฟาทั้งสามคนรู้สึกแค่ ความรู้สึกน่าหวาดกลัวเหลือประมาณปกคลุมพวกเขาเอาไว้ จากนั้น เสียงกระดูกแตกร้าวก็ดังกร๊อบๆ มาจากภายใน วรยุทธ์ถูกทําลายสิ้นใน ชั่วพริบตา ยังไม่ทันแม้แต่จะตั้งตัว ก็ตัวอ่อนยวบลงไปอยู่บนพื้น ร้องน่า สมเพชไม่หยุด
วันหลัง พวกเขานับว่าพิการแล้ว สู้ไม่ได้แม้แต่คนธรรมดา
หลี่มู่มองเหยียนติ้งหู่อีกแวบหนึ่งก็สําแดงวิชาเต๋าทันที ลงคาถาน่า หวาดกลัวไว้ในกายเขา ส่งผลต่อจิตใจโดยตรง
เหยียนติ้งหู่สลบไปทันที
ตอนนี้หลี่มู่ถึงจะลุกขึ้นเดินมายังหน้าต่าง มองทิวทัศน์ยามค�าคืน ด้านนอก ตึกใหญ่บริษัทมังกรทะยานเป็นตึกสูงใหญ่ยี่สิบกว่าชั้น เป็น สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมืองอวี้เหมิน มองเห็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของ ทั้งเมือง
ทิวทัศน์ยามค�าคืนที่เป็นอารยธรรมของยุคปัจจุบัน ช่างเคยคุ้น เหลือเกิน ชวนให้คนคิดถึงจริงๆ
“ท่าทางบนโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่น่าสนใจ ไปหา ซินแสเฒ่าถามให้รู้ชัดแน่ก่อนดีกว่า เขาน่าจะรู้เรื่องภายในอะไร บางอย่าง”
หลี่มู่พูดกับตัวเอง
ต่อไป ภาพที่ทําให้พวก ‘สามเหล็กกล้า’ เถี่ยจวินพวกนั้นอึ้งตาค้าง ไม่ลืมไปตลอดชีวิตก็เกิดขึ้น
ก็เห็นดาบบินเล่มหนึ่งข้างกายหลี่มู่พุ่งออกไปนอกหน้าต่าง ลอย คว้าง ขยายใหญ่ เหมือนเรือลําน้อยลอยอยู่นอกหน้าต่างชั้นยี่สิบ จากนั้น หลี่มู่ร่างเพียงกะพริบก็กระโดดขึ้นไปบนดาบบิน แปลงเป็น ลําแสง หายไปในท้องฟ้ายามค�าคืน
ทะ ทะ ทะ…เทพเซียน? ทั้งสามคนตกใจจนเป็นลมไป โลกใบนี้มีเทพเซียนอยู่จริงๆ หรือ?
……
หลี่มู่บังคับดาบบินโผนแล่นผ่านท้องฟ้ายามราตรี
จากเมืองอวี้เหมินไปถึงเมืองเป่าจีประมาณหนึ่งพันสามร้อยกว่าๆ กิโลเมตร หากอยู่บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว ด้วยความเร็วของวิชาดาบ ใช้ เวลาแค่ไม่กี่อึดใจก็ข้ามผ่านได้แล้ว แต่อยู่บนโลกพลังฟ้าดินแห้งเหือด ปราณแท้ในกาย ทุกครั้งที่ใช้ไปส่วนหนึ่งก็จะลดไปส่วนหนึ่ง หลี่มู่ก็ไม่ อยากใช้ปราณแท้ให้มากเกินไป จึงใช้ความเร็วที่ธรรมดาที่สุดในการบิน
หลังจากนั้นสองชั่วโมงเต็มๆ หลี่มู่มาถึงยังท้องฟ้าเหนือเมืองที่แสง ไฟสว่างจ้า ก้มลงมองโคจรพลังตา มองลงไปอย่างละเอียด ข้างล่างเป็น เมืองหลานโจว
“หืม? ไม่ถูกสิ ถึงแม้จะลดความเร็วลง แต่บินด้วยความเร็วแบบนี้ สองชั่วโมงต้องบินถึงเมืองเป่าจีแล้วสิ ทําไมถึงเพิ่งถึงหลานโจวล่ะ?”
หลี่มู่ตกใจมาก
เขาบังคับดาบพุ่งไปข้างหน้า หลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็ มาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองเทียนสุ่ย
“ไม่ถูก ไม่ถูกๆ นี่กระทั่งว่าเราเพิ่มความเร็วขึ้นบ้างแล้ว แต่เพิ่งจะ ถึงเมืองเทียนสุ่ย ถ้าเป็นปกติ ไม่ใช่ว่าควรจะเลยเมืองเป่าจีแล้วหรือ?”
หลี่มู่รู้สึกแปลกใจ
ระยะทางจากเมืองเทียนสุ่ยถึงเมืองเป่าจีประมาณสองร้อย กิโลเมตร เทือกเขา ป่าไม้ระหว่างทางเขียวขจี เทือกเขาเชื่อมต่อเป็น คลื่น อยู่ในเขตทิวเขาฉินหลิ่งแล้ว หลี่มู่แผ่พลังจิตวิญญาณลงไปสาม ร้อยลี้ ยืนเหนือท้องฟ้าเมืองเทียนสุ่ยก็น่าจะสัมผัสถึงเมืองเป่าจีได้
แต่ไม่รู้ทําไม เมื่อหลี่มู่แผ่พลังจิตวิญญาณลงไปรับรู้ในระยะ ขอบเขต กลับไม่อาจสัมผัสเมืองเป่าจีได้
นี่แปลกแล้ว
หลี่มู่สงสัย
ผ่านไปประมาณสองชั่วโมง หลี่มู่ในที่สุดก็มาถึงเหนือท้องฟ้าเมือง เป่าจี
ที่บอกว่ายิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งขลาดกลัว ห่างไปห้าปีกลับมาเมืองเป่า จีอีกครั้ง ในใจของหลี่มู่ก็เกิดความรู้สึกกระวนกระวายขึ้น
เขาร่อนลงบนเนินแห่งหนึ่งในเขตเมืองใหม่ทางเหนือ มองไปยัง ท้องฟ้ามืดมิด หมู่บ้านวัดหรานเติงปกคลุมอยู่ในความมืด ทุกหนแห่ง เงียบสนิท มีเสียงสุนัขเห่ามาบ้าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เหมือนว่า ย้อนกลับไปเมื่อห้าปีที่แล้ว
หมู่บ้านไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่
หลี่มู่เดินไปตามถนนเล็กๆ ในหมู่บ้านอย่างเนิบช้า สุดท้ายก็มาถึง หน้าประตูใหญ่วัดโบราณหรานเติง
หัวใจเขาเต้นแรง
ในที่สุดก็ได้เจอซินแสเฒ่าแล้ว ปัญหาที่กวนใจมานานมากมาย ใน ที่สุดก็จะได้ถามให้กระจ่างแล้ว
……………………………………………