จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 482 คนนั้นที่เฝ้ารอ
หลี่มู่มาถึงโลกใบนี้ เดิมทีไม่ควรจะมีสิ่งที่ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ทว่าเรื่องราวบนโลกเหมือนกระแสน�าขึ้นส่วนคนเราก็เปรียบดั่งน�าหยด หนึ่งเท่านั้น คนอย่างไรก็เป็นสัตว์สังคม ต่อให้หลบหลีกอย่างสุด ความสามารถ แต่จะเลี่ยงจากการการสร้างข้อพิพาทกับโลกใบนี้ได้ อย่างไร
ปัญหาที่สําคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ จะนําพาพวกชิงเฟิงหมิงเยวี่ยก ลับไปดาวโลกดีหรือไม่?
ไหนจะยังฮวาเสี่ยงหรง รวมไปถึงทารกน้อยหลี่อันจืออีก ในใจของเขาลังเลเล็กน้อย ดังนั้นเขาเลือกกลับไปยังฐานทีมสํารวจวิทยาศาสตร์ก่อน “อะไรนะ? นายเจอรอยแยกมิติแล้วหรือ?” “พระเจ้าช่วย จริงหรือล้อเล่นเนี่ย?” “เช่นนี้ พวกเราก็สามารถกลับไปได้แล้วหรือ?” “หลี่ นี่นายคงไม่ใช่เทพเซียนสินะ?”
กลุ่มนักสํารวจวิทยาศาสตร์ทั้งยี่สิบเอ็ดคน หลังจากได้ฟังข่าวที่ห ลี่มู่นํามา ก็ได้ตกอยู่ในความตกตะลึงและยินดีอย่างเหลือจะกล่าว
จากการคํานวณเดิมทีของพวกเขา อย่างน้อยต้องใช้เวลานับสิบปี จึงจะสามารถใช้ข้อมูลที่รวบรวมมา จึงจะสามารถคิดคํานวณเค้าโครง ออกมาได้ แต่ว่าตอนนี้…
ข่าวดีมาถึงอย่างกะทันหัน
ซูชั่วและซ่งชางหลินทั้งสองคน ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างบอกไม่ถูก
พวกเขาก่อนหน้าคุยกันเป็นการส่วนตัว ยังคุยกันถึงเรื่องที่ว่าพอ เจอเข้ากับรอยแยกมิติ จะปิดบังความลับนี้อย่างไร จะยืนยันความ ถูกต้องของตัวตนหลี่มู่อีกครั้งอย่างไร จะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่มี อะไรผิดพลาด ทว่าตอนนี้ กลับเป็นหลี่มู่ที่พบเจอรอยแยกมิติแล้ว
“อยู่ที่ไหนหรือ?” ซูชั่วเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นเช่นกัน
หลี่มู่ตอบ “อยู่นอกแผ่นฟ้าของดาวดวงนี้…พวกนายเตรียมตัว เสียก่อนเถอะ หลังจากนี้หนึ่งเดือน พวกเราจะนั่งยานอวกาศ ‘ฮาร์บิน เจอร์’ เราจะพาพวกนายไปที่รอยแยกของมิติ”
เขาไม่ได้บอกเรื่องที่บรรพชนจากโลกเปิดเส้นทางเซียนนี้ออกมา
เพราะหลังจากกลับถึงดาวโลก คนเหล่านี้จะต้องกลับไปยัง ประเทศของตนเอง เรื่องราวเช่นนี้หากแค่แพร่กระจายไปบนโลก จะต้องดึงดูดคลื่นลูกใหญ่มาแน่นอน ใครก็คาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ ว่า จะดึงดูดเอาคลื่นหรือความน่ากลัวเช่นใดมากันแน่
“ยอดไปเลย ฮ่าๆ ฉันก็คิดไว้แล้ว ว่าเสี่ยวมู่ไม่ได้โกหกพวกเรา” ซ่ง ชางหลินดีใจจนตะโกนออกมา พอคําพูดออกไปแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกตัวขึ้นมา เหมือนว่าพึ่งจะหลุดอะไรออกไป รีบร้อนหันหน้ากลับมามองซูชั่วข้างๆ
สาวสวยซูถึงกับพูดไม่ออก
หลี่มู่ยิ้มๆ ความรู้สึกของเขาไวขนาดไหน จะมองไม่ออกถึงใจคน เหล่านี้ได้อย่างไร แต่ว่าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ตอนนี้ ข่าวคราวได้กระจายไปตามกลุ่มสมาชิกทั้งยี่สิบเอ็ดคน
ทุกคนล้วนดีใจจนแทบคลั่งขึ้นมา มีคนตื่นเต้นจนน�าตาไหล มีคน คุกเข่าลงอธิษฐาน บางคนกอดเอารูปของภรรยาและลูกๆ มาจูบ น�าตา อาบนองหน้า!
หลังจากหลี่มู่ออกมาจากฐาน ได้ตรงกลับไปยังเมืองขาวพิสุทธิ์
…
ในเรือนดาบ
“ข้าจะออกจากที่นี่สักพัก”
เขาเรียกหมิงเยวี่ยชิงเฟิงคนสนิทมาอยู่ต่อหน้า
“ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านๆ มา ข้าจะไปยังสถานที่ที่ไกลมาก อาจจะใช้เวลาไม่นานนักก็กลับมา หรืออาจจะใช้เวลานานแสนนาน ไม่ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงเวลาวันคืนต่อจากนี้ จําเป็นจะต้องมีพวกเจ้ามา ค�าจุนเมืองขาวพิสุทธิ์”
การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเขา คือการไม่พาพวกของหมิงเยวี่ย ชิงเฟิงคนจากดาวโลกนี้ไปแม้แต่คนเดียว
เพราะเจียงชิงหรวนเคยบอกไว้ สุสานดารามีการกีดกันสิ่งมีชีวิต และผู้แข็งแกร่งจากภายนอกอย่างแรงกล้า ขนาดจักรพรรดิเซียนหมิงก วง เจ้าของเขี้ยวสัตว์สีขาวในครั้งนั้น วางแผนจะใช้เส้นทางเซียนไปยัง ดาวโลกก็ล้วนล้มเหลว เสียอะไรไปมากมาย พวกของชิงเฟิงหมิงเยวี่ยก็ คงจะไม่ยกเว้น อันตรายเกินไป
นี่หมายความว่า นอกจากหวางซืออวี่และฮัสกี้แล้ว หลี่มู่ไม่สามารถ พาคนสนิทคนใดไปยังดาวโลกได้เลย
“คุณชายวางใจได้ ข้าจะจัดการเมืองขาวพิสุทธิ์ให้ดี” ชิงเฟิงแต่ ไหนแต่ไรก็เป็นเช่นนี้ ยอมรับการจัดวางทุกอย่างของหลี่มู่อย่างไม่มี เงื่อนไข ไม่พูดมาก
ครั้งนี้ก็เช่นกัน
เขาพยักหน้าอย่างตั้งใจ ยอมรับ ‘งานสําคัญ’ ของหลี่มู่ในทันที
ชายหนุ่มที่สติปัญญาเกือบจะเป็นปีศาจคนนี้ แต่ไหนแต่ไรก็เป็น คนที่หลี่มู่เชื่อใจมากที่สุดคนหนึ่ง
“ข้าจะไปประกาศต่อภายนอกว่าจะทําการปิดด่าน เพื่อเข้าสู่ขั้น ทะลวงสวรรค์ โลกภายนอกจะไม่รู้ว่าข้าออกไปแล้ว”
หลี่มู่จัดวางต่อไปอีกมากมาย
“ดาบรับใช้ทั้งสี่ หยวนโห่ว ล้วนยังอยู่ที่นี่รับฟังคําสั่งจากเจ้า จาก วันนี้ไปเจ้าจะเป็นเจ้าของของเมืองขาวพิสุทธิ์ เรื่องน้อยใหญ่ทั้งหมด ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า จงใช้ใจตัดสินอย่างไม่ต้องวุ่นวายใจ” หลี่มู่เอ่ยขึ้น
“ชิงเฟิงเข้าใจแล้ว”
“แล้วก็ ปัจจุบันพลังวิญญาณฟ้าดินอยู่ในกระแสขึ้น โลกใหญ่กําลัง จะมาถึง น่ากลัวว่าเพียงไม่นานนัก ดาวดวงนี้จะยกระดับเป็นดวงดาว ระดับเก้า ผู้บําเพ็ญนอกพิภพจะลงมาจุติได้ง่ายขึ้นและจะเริ่มการแย่ง ชิง แต่ว่าเต๋าฟ้าดินจะสะกดพลังของพวกเขาเอาไว้ อย่างน้อยก็ต้อง หนึ่งร้อยปีให้หลังถึงจะขจัดออกไปจนหมด ดังนั้นภายในหนึ่งร้อยปีนี้ ที่นี่จะยังคงเป็นพื้นที่หลักของผู้แข็งแกร่งโลกใบนี้ มีดาบรับใช้ทั้งสี่คอย
ควบคุมและยังมีหยวนโห่วคอยช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีค่ายกลใหญ่ เขาพิสุทธิ์สนับสนุนอีกแรง อนาคตของเมืองขาวพิสุทธิ์น่าจะไม่มี อันตรายสักเท่าไร แต่ว่ายังคงต้องทําการอย่างระมัดระวัง เอาเหล่าผู้ บําเพ็ญนอกพิภพเป็นเหมือนศัตรูในจินตนาการเสีย จะปล่อยวางไม่ได้ แต่เสี้ยวนาที ชิงเฟิง แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยทําให้ข้าผิดหวัง ครั้งนี้ฝาก เจ้าด้วยนะ”
ชิงเฟิงพยักหน้า
ฟังไปฟังไป นิ้วมือของเขาบีบเอาที่ประคองมือจนขาวซีดไปแล้ว
คนที่ฉลาดเช่นเขา ฟังออกถึงคําอําลาจากคําพูดของหลี่มู่
ส่วนหมิงเยวี่ยกลับเอ่ยขึ้นร้อนรนอย่างไม่คิดอะไร “คุณชาย ท่าน จะไปที่ไหนกัน พาข้าไปด้วยดีกว่าไหม? ข้าชอบออกไปเที่ยวเล่นข้าง นอกที่สุดเลย”
“ดูแลชิงเฟิงให้ดี เจ้าไม่ใช่เคยสาบานไว้ว่าจะปกป้องพี่ชิงเฟิงของ เจ้าหรือ?” หลี่มู่ตําหนิขึ้น
โอกาสของชิงเฟิงหมิงเยวี่ย พูดได้ว่าเป็นโชคชะตาทวนสวรรค์
พวกเขาล้วนกินผลทารกลงไป ร่างกายเกือบจะกลายเป็นเซียน อ่านตําราลับของดาวดวงนี้ไปมากมาย และยังมีวิชาบําเพ็ญนอกพิภพ
รวมไปถึงคําชี้แนะของหลี่มู่ พลังที่แท้จริงล้วนทะยานขึ้นราวพายุ เข้า ใกล้ขั้นมหาเทวะ แค่อีกไม่กี่ปี ใช้โอกาสขณะที่ฟ้าดินกําลังแข็งแกร่ง จะ เข้าสู่ขั้นทะลวงสวรรค์ก็ไม่ใช่ปัญหาเลย
พลังโอสถของผลทารกน่ากลัวมากจริงๆ
ขนาดหยวนโห่วที่ฝึกบําเพ็ญ ‘วิชาปาจิ่วเสวียน’ และ ‘ขี่เมฆเหิน ฟ้า’ พลังก็ได้เข้าขั้นมหาเทวะแล้ว กายเนื้อแข็งแกร่ง รอบรู้วิชา อภินิหารบวกกับความเร็วไร้เทียมทาน พลังการสู้รบในดาวดวงนี้ สามารถทัดเทียมได้กับดาบรับใช้ทั้งสี่ได้แล้ว
พอคิดอย่างละเอียดขึ้นมา พลังแฝงของเมืองขาวพิสุทธิ์ในตอนนี้ ต่อให้ไม่มีหลี่มู่อยู่ก็ถือว่าก้าวข้ามแผ่นดินใหญ่เสินโจวไปแล้ว
หลังจากการชี้แจงมากมาย หลี่มู่ได้เรียกข้าราชการที่คอยจัดการ กิจราชการของเมืองขาวพิสุทธิ์อย่างพวกเจียงอวิ๋นซิง หม่าจวินอู่เข้ามา พูดกําชับ
“ข้าจะปิดด่าน เพื่อฝึกบําเพ็ญวิถีเซียนอย่างหนัก วันที่จะออกด่าน คงอีกไกลแสนไกล ดังนั้น นับจากตอนนี้จนกระทั่งก่อนข้าออกจากด่าน เรื่องน้อยใหญ่ในเมืองให้ยึดเอาคําสั่งของชิงเฟิงเป็นหลัก คําพูดของชิง เฟิงเทียบเท่ากับคําพูดของข้าเอง พวกเจ้าก็เป็นคนเก่าแก่ของเมืองขาว พิสุทธิ์แล้ว จะต้องช่วยเหลือชิงเฟิงให้ดีที่สุด อย่าทําให้ข้าผิดหวัง”
“นายท่านวางใจได้”
พวกของหม่าจวินอู่ ล้วนฟาดอกรับประกัน
พวกเขาซื่อสัตย์ต่อหลี่มู่อย่างมาก
เพราะว่าหลี่มู่ได้เปลี่ยนชีวิตของพวกเขา ให้พวกเขาจากทูตเมือง เล็กที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงใดๆ กลายมาเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองขาวพิสุทธิ์ ที่ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า
ตอนนี้ พลังของพวกเขาถึงแม้จะอยู่แค่ระดับฟ้าประทานยังไม่ถึง เหนือมนุษย์ ส่วนใหญ่จะใช้พลังของโอสถเร่งออกมา พลังบําเพ็ญกับ พลังการรบไม่เหมาะสมกัน แต่ว่าเพียงคนเดียวในนี้ หากเดินออกจาก เมืองขาวพิสุทธิ์ก็ยังมีความสําคัญมากพอที่จะทําให้จักรวรรดิต่างๆ สํานักหรือตระกูลต่างๆ ต้องจับตามอง ทุกที่ที่ไปถึง ล้วนมีการต้อนรับ ขับสู้อย่างดี จะไปยังที่ใดก็ล้วนเป็นแขกพิเศษทั้งสิ้น
ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่หลี่มู่มอบให้พวกเขา
ไม่มีหลี่มู่ พวกเขาก็ไม่มีอะไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้น สําหรับหลี่มู่ ก็มีความรู้สึกดีดีให้พวกเขา เคยผ่าน ความลําบากมาด้วยกัน สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาหลายต่อหลายครั้ง จึง ได้มีความมั่งมีเช่นทุกวันนี้ ประสบการณ์ที่ต้องเจอลมฝ่าเสียก่อนที่จะ
ได้พบกับสายรุ้ง มันยังเชื่อถือได้เสียกว่าการใช้บุญคุณดึงเข้ามาเป็น พรรคพวกเสียอีก
เมื่อมอง ‘คนเก่าแก่’ เหล่านี้ ในใจของหลี่มู่รู้สึกทอดถอน
มายังโลกใบนี้ พริบตาก็ผ่านไปจะห้าปีแล้ว ศัตรูมากมาย มิตร สหายก็มากมี คนตรงหน้าเหล่านี้ ถึงแม้พลังจะธรรมดา เคยเป็นเพียง แค่ ‘คนตัวจ้อย’ แต่ก็พูดออกมาได้ว่าเป็นเพื่อนของตนเองเช่นกัน
หลี่มู่จัดงานเลี้ยงต้อนรับข้าราชการน้อยใหญ่ขึ้นในเรือนดาบ หลังจากการปลุกใจและให้รางวัลแล้ว ถึงนับว่าเสร็จสิ้นกระบวนการ
หลังจากนั้นขณะอยู่ต่อหน้าฮว่าเสี่ยงหรง หลี่มู่กลับรู้สึกพัวพัน ขึ้นมา
เนื่องจากการไปดาวโลกครั้งนี้อาจจะไม่ได้กลับมา สําหรับสาวน้อย ที่หลงรักตนเองคนนี้ หลี่มู่ค่อนข้างทุกข์ใจ ท้ายสุดก็ยังไม่ได้พูดความ จริงออกมา เพียงบอกว่าตนเองจะปิดด่าน อาจจะใช้เวลาที่นานแสน นาน
“ข้าจะรอท่านตลอดไป พี่มู่” ฮวาเสี่ยงหรงยิ้มละไม ใบหน้างาม บริสุทธิ์มีความเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล รวมไปถึงความเชื่อใจและอาลัย อาวรณ์ต่อหลี่มู่
หลี่มู่พยักหน้า อดดึงนางเข้ามาสวมกอดไม่ได้ ตอบรับความรู้สึกของสาวงามคนนี้ได้ยากจริงๆ “รอข้าออกจากด่าน ข้าจะมาสู่ขอเจ้า” หลี่มู่อดไม่ได้ ราวกับถูกผีผลักจนพูดประโยคนี้ออกมา หลอมแกร่งจนเป็นเหล็กกล้าก็ยังถูกเผาจนอ่อนนุ่มลงได้
ความอบอุ่นและความรักของฮวาเสี่ยงหรง ต่อให้เป็นหินแข็งแค่ ไหนก็ยังละลายได้ หลายปีมานี้ ใจของหลี่มู่ได้ถูกความอ่อนโยนราว สายน�าของหญิงสาวโน้มน้าวเข้าจนได้
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่มู่ก็รู้ดีว่าในใจของเด็กสาวมีความรักให้กับตนเอง อย่างลึกซึ้งจนขนาดไม่สามารถเปิดรับใครได้อีกแล้ว ให้นางรอก็จะ เสียเวลาของตัวนาง แต่หากไม่ให้นางรอก็จะทําร้ายจิตใจนางอีก และ จะทําให้เสาหลักจิตวิญญาณในตัวสาวงามคนนี้ต้องพังทลายจนตกเข้า สู่ความสิ้นหวัง
เขาตัดสินใจแล้ว รอให้เสร็จเรื่องราวบนดาวโลก เขาจะต้อง กลับมาที่ดาวดวงนี้อีกครั้ง
“อืม”
ฮวาเสี่ยงหรงใบหน้าแดงระเรื่อ ก้มศีรษะ ดวงตามีประกายน�าตา แห่งความสุข
นี่เป็นสิ่งที่นางอยากฟังที่สุดในชีวิตนี้อย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับได้ ยินเสียงแห่งธรรมชาติ
นับตั้งแต่ฝึกฝนวรยุทธ์ อายุขัยของนางได้เปลี่ยนเป็นยาวนานไร้ ขีดจํากัด สามารถยืนยาวได้ถึงสี่ห้าร้อยปี หรืออาจจะนับพันปี ไม่ว่าเป็น เวลายาวนานสักเพียงไหน นางก็ยินยอมที่จะรอเขา บางครั้งการรอคอย ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง
หลี่มู่ท้ายสุด ได้จูบลงเบาๆ บนหน้าผากของฮวาเสี่ยงหรง จากนั้น ได้จากไป
ที่ห้องของหญิงสาว ในร่างกายของฮวาเสี่ยงหรงมีเสียงๆ หนึ่งลอด ออกมา “เจ้าน้องโง่เอ๋ย คนในใจเจ้าคนนี้กําลังจะจากไปแล้ว ปิดด่านบ้า บออะไร ก็แค่ปลอบใจเจ้าเท่านั้น”
เป็นเสียงของไป๋ม่อโฉวนั่นเอง
ฮวาเสี่ยงหรงใบหน้ามีรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ต่อให้จากไป ก็จะต้อง กลับมา”
ไป๋ม่อโฉวสะดุดกึก เอ่ยต่อว่า “ดูท่าเจ้าก็ไม่ได้โง่นะที่มองออก แต่ เจ้าคิดถึงหรือเปล่า ว่าถ้าเขาไม่กลับมาล่ะ?”
ฮวาเสี่ยงหรงน�าเสียงราบเรียบแต่เต็มไปด้วยพลังที่สั่นสะเทือนใจ คน “พี่มู่บอกว่าเขาจะกลับมา ก็คือกลับมา ต่อให้ผืนทะเลจะกลายเป็น สวนหม่อน น�าทะเลแห้งเหือดจนหินพังทลาย เขาก็จะต้องกลับมา”
“น้องสาวคนโง่ของข้า…” ไป๋ม่อโฉวถอนใจ
เจ้าที่ฉลาดดุจน�าแข็ง ร่างกายอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่กลับมาพบกับ ดาวมฤตยูเช่นนี้ เฮ้อ เจ้าผู้ชายที่ชื่อหลี่มู่ถึงแม้จะไม่ได้ดีเด่อะไรนัก แต่ก็ ใส่ใจกับเจ้าอย่างมาก ทว่าเจ้ารู้หรือไม่? บางครั้งการพบเจอกับผู้ชายที่ โหดร้ายใจดํา ก็ยังมีความสุขเสียกว่ามาเจอกับคนจริงใจที่ให้คําสัญญา กับเจ้าแต่ทําให้เป็นจริงไม่ได้
คําพูดนี้ ไป๋ม่อโฉวไม่ได้พูดออกมา
นางราวกับจะมองเห็นเงาของตนเองในวันวานจากตัวของฮวา เสี่ยงหรง
แต่ว่าคนที่ตนเองเฝ้ารออยู่คนนั้น ชีวิตนี้ ชาตินี้ ไม่ว่าจะในโลก มนุษย์หรือว่าปรโลก ก็คงจะไม่มีทางได้พบอีกแล้วกระมัง