คู่ชะตาบันดาลรัก - บทที่ 509 ค้นพบ
ไท่จื่อคว้าตัวองครักษ์แล้วถามว่า “หายไปได้อย่างไร ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าให้ระวังตัวไว้รอให้เรื่องนี้จบลงแล้วค่อยหาโอกาสพานางออกจากวัง”
องครักษ์เหงื่อตกด้วยความกังวล “กระหม่อมไม่ทราบเหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ ก่อนหน้านี้ส่งนางอยู่ดีๆ พอพวกเขามารายงานจู่ๆ คนก็หายไป พอไถ่ถามล้วนตอบว่าไม่มีคนผู้นี้อยู่!”
ไท่จื่อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งทันใดนั้นเขาก็เข้าใจและโกรธเคือง
“เป็นนาง ต้องเป็นนางแน่! ในช่วงสามปีที่ผ่านมานางคุมวังหลังอย่างแน่นหนา นอกจากนางแล้วผู้ใดจะทำให้คนหายตัวราวกับอากาศได้ ภายในวังได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาจะต้องมีสายลับอยู่ในนั้นแน่!”
“ไท่จื่อ!”
“คนก็ถูกพาตัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ถูกนางค้นพบเข้าให้แล้ว นางจะทำอะไร…” ความคิดของไท่จื่อทิ้งห่างออกไปไม่เห็นฝุ่นมองไม่เห็นปลายทาง
ไท่จื่อรู้ดีว่าเขาไม่มีน้ำหนักมากพอในใจของฮ่องเต้ เสด็จพ่อไม่ชื่นชอบเขา ทุกครั้งที่พูดคุยเรื่องต่างๆ อีกฝ่ายมักจะแสดงความผิดหวังเล็กน้อย คิดว่าเขาไม่ฉลาดพอและไม่มั่นคงพอ…
หากเผยกุ้ยเฟยคิดจะกำจัดเขาแล้วไปเป่าหูเสด็ตพ่อ…
“ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้!” ไท่จื่อตกใจกับจินตนาการของตนเอง ที่ผ่านมาไท่จื่อผู้ที่ไม่ได้ขึ้นสู่บัลลังก์มักมีจุดจบที่ไม่ดี เขานึกถึงท่านลุง ซือฮว๋ายไท่จื่อมีจุดจบอย่างไรนะ หากเขาไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่น ภรรยาและบุตรล้วนมีจุดจบเพียงอย่างเดียว
คือตายไร้ที่กลบฝัง!
แล้วตอนนี้ควรทำอย่างไร…ไท่จื่อพึมพำ “อาจารย์ฟู่เคยบอกว่าหากมีเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ละก็ให้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ไฟ…ไฟหมายถึงอะไร กุ้ยเฟย…”
เรื่องเปิดเผยความลับถูกกุ้ยเฟยรู้เข้าแล้วหญิงชราคนนั้นหายตัวไป และเพื่อที่จะรักษาความลับนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่เป้าหมายต่อไปจะเป็นเขา
กุ้ยเฟยต้องการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และไฟนั้นก็คือเขา
สำหรับเขามันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงตราบใดที่กุ้ยเฟยยังอยู่ดีผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายก็คือเขา ดังนั้นสำหรับเขาแล้วการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมคือต้องกำจัดเผยกุ้ยเฟย!
แต่เรื่องนี้ยากมากจะกำจัดเผยกุ้ยเฟยได้อย่างไร ผู้อื่นมองว่าเขาเป็นไท่จื่อผู้สง่างาม แต่อันที่จริงอำนาจของเผยกุ้ยเฟยใหญ่กว่าเขาเสียอีก เพราะเสด็จพ่อไม่ฟังเขา แต่ฟังกุ้ยเฟย
“ไท่จื่อ!” องครักษ์กระซิบ “อาจารย์ฟู่เคยบอกว่าท่านมีเรื่องหนึ่งที่ต้องอดทนไว้ รอให้พิธีกรรมเสร็จสิ้นเมื่อออกจากวังเขาจะช่วยท่านออกความคิดเอง”
“ข้ารอไม่ได้!” ไท่จื่อลุกขึ้นเดินไปรอบๆ ห้อง “เรื่องนี้จะให้ทนได้อย่างไร เจ้าจะให้ข้าทนอย่างไรกว่าพิธีกรรมจะเสร็จสิ้นก็อีกสองวัน นางต้องลงมือกับข้าแน่ สองวันหลังจากนี้อันตรายเกินไป!”
“แต่เรื่องนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในเวลาอันสั้นนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“แก้ไขไม่ได้ก็ต้องแก้!” แค่คิดว่าตนเองจะถูกกำจัดทำให้ไท่จื่อตกอยู่ในอันตรายจะไปสงบลงได้อย่างไร แต่เขาไม่มีปัญญามากพอเขาไม่สามารถคิดความคิดดีๆ ออกได้เลย เมื่อคิดถึงเรื่องที่เฉิงเอินโหวฮูหยินถูกไล่ออกจากวัง จู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“จริงสิ! ต่อให้นางเก่งกาจเพียงใดนางก็เป็นแค่สตรี เสด็จพ่อโปรดปรานนางมากเพียงใดก็มีเรื่องเดียวที่ไม่สามารถทนได้!” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไท่จื่อเขาพูดออกมาว่า “คบชู้!”
องครักษ์ตกตะลึงไปครู่หนึ่งด้วยความตกใจ “ไท่จื่อ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ท่านจะก่อเรื่องไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! ที่นี่คือพระราชวังคนผู้นั้นมีอำนาจกุมวังหลัง ท่านสร้างสถานการณ์ลำบากนี้หากพลาดพลั้งขึ้นมาอันตรายถึงชีวิตได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ตอนนี้ข้าก็อันตรายถึงชีวิตแล้ว!” ไท่จื่อตะโกน
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้องครักษ์ก็ไม่กล้าเกลี้ยกล่อมเขาอีกไท่จื่อสงบลงเล็กน้อยแล้ววางแผนต่อไปไม่ต้องพูดถึงองครักษ์คนเดียวต่อให้มีเป็นสิบคนก็ห้ามเขาไม่อยู่
ไท่จื่อไม่สนใจวิธีการของวังหลังเขาได้ยินมามากมายตั้งแต่เด็ก มีบางเรื่องในวังหลวงที่ไม่สามารถแตะต้องได้สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือความสกปรก และความโกลาหลในวังหลัง มีบุรุษผู้ใดอยากถูกสวมหมวกเขียว[1]บ้างเล่า โดยเฉพาะฮ่องเต้
ต่อให้เป็นสตรีที่รักมากเพียงใด แต่หากสวมหมวกเขียวให้ตนแล้วก็ไม่คิดเห็นใจแน่ เพียงแต่ต้องทำอย่างไรให้ฮ่องเต้ถูกสวมหมวกเขียวกัน
……….
เมื่อเข้าสู่ทางลับในโพรงต้นไม้หมิงเวยร้อง ‘อา’ ขึ้นมา “ที่นี่คือทางลับสู่นอกวังหรือเจ้าคะ”
หยางชูตอบรับแล้วพูดว่า “อันอ๋องเป็นคนพาข้ามา เขาบอกว่าค้นพบที่นี่ตอนออกมาเล่นในวัยเด็ก ข้าคิดว่าในประวัติศาสตร์ของเขาคงใช้เส้นทางนี้หนีออกจากเมืองหลวง”
“มีความเป็นไปได้เจ้าค่ะ” หมิงเวยตื่นเต้นมาก “สำรวจเส้นทางกันเถอะ นี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ อันอ๋องยินดีที่จะบอกท่านหมายความว่าเขาดีต่อท่านจริงๆ ไม่ใช่ว่าพวกท่านเคยขัดแย้งกันหรือเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไรกันเจ้าคะ”
“ตั้งแต่เขาเริ่มรู้ว่าข้าเป็นหลานคนโตของเขานั่นแหละ!” หยางชูดูมีท่าทีสิ้นหวัง “ไม่รู้ว่าหัวสมองเขาโตมาอย่างไร ช่างหายากจริง ท่านไม่ต้องพูดนะว่าที่จวนอ๋องของข้าไม่เป็นระเบียบเป็นเขาที่บอกเคล็ดลับแก่ข้าซึ่งช่วยข้าได้มาก”
หมิงเวยหัวเราะ “หายากเหมือนกันที่พวกท่านสองคนมีชะตากรรมเช่นนี้”
นางชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “อันที่จริงข้าลังเลว่าจะทำอย่างไรกับเขา ตามประวัติศาสตร์เดิมเป่ยฉีเริ่มเสื่อมถอยเพราะเขา เขาไร้คุณธรรมและกดขี่ประชาชนนำแคว้นไปสู่วาระสุดท้าย ในตอนที่ข้ามาที่นี่ข้าอยากจะลอบสังหารเขาหลายร้อยครั้ง แต่แล้วข้าก็คิดว่ามันผิดบ้านเมืองก็เหมือนดั่งมนุษย์ พอป่วยก็ต้องหาที่ต้นเหตุไม่ใช่รักษาที่ปลายเหตุ หากไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างไรก็ต้องพัง ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจเริ่มต้นที่เสวียนเฟยเพื่อดูว่าสามารถเดินไปในทางอื่นได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ที่ข้ารู้มายังไม่เกิดขึ้นพวกเขายังไม่เปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
หยางชูพยักหน้า “ส้มที่ปลูกที่เมืองหวายหนานเรียกจวี๋จึ เมื่อโตที่เมืองหวายเป่ยจึงถูกเรียกว่าจื่อ[2] ท่านวางใจเถอะข้าจะจับตาดูเขาเองหากเขาแสร้งทำข้าจะลงมือทันที”
“เจ้าค่ะ” ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้มจากนั้นจึงค่อยๆ เริ่มสำรวจเส้นทางลับใต้แสงเทียนสลัว อาจเป็นเพราะไม่มีผู้ใดมาที่นี่นานทางลับก็เต็มไปด้วยกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
หมิงเวยเอาผ้าปิดจมูกแล้วพูดว่า “ท่านจำเส้นทางไว้ รอออกไปแล้วค่อยวาดแผนที่กันเจ้าค่ะ”
“ได้” คิดแล้วเขาก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “คิดได้แล้วใช่หรือไม่ว่าท่านจากข้าไปไม่ได้หรอก หากไม่มีข้าจำทางให้ท่านจะทำอย่างไร”
หมิงเวยเหลือบมองเขาขี้คร้านเกินกว่าจะตอบ เห็นนางไม่ปฏิเสธจึงพูดต่อไปว่า “ท่านเห็นหรือไม่พวกเราเป็นคู่ชะตากัน ท่านจำคนไม่ได้ซ้ำยังไม่รู้เส้นทาง แต่ข้ามีความจำที่ดีมากซึ่งสามารถชดเชยในสิ่งที่ขาดหายไปของท่านได้อีกอย่าง ข้ามีชะตากรรมที่โดดเดี่ยว ชีวิตนี้ข้าถูกกำหนดให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนแก่เฒ่า แต่ท่านมาที่นี่ และเป็นคนไร้ซึ่งดวงชะตาซึ่งคู่ควรกับชะตากรรมที่โดดเดี่ยวอย่างข้าท่านไม่คิดว่ามันพอเหมาะพอดีหรือ”
หมิงเวยยิ้ม “ท่านช่างพูดเก่งจริงเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านว่าสมเหตุสมผลหรือไม่”
เขายังคงอ้อยอิ่งอยู่ แต่แล้วจู่ๆ งูขาวก็ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง “นายท่าน ข้าพบอะไรบางอย่างเจ้าค่ะ!”
หมิงเวยชะงัก “อะไรหรือ”
“มีที่ที่หนึ่งมีคนสนทนากันอยู่ขอรับ!”
หมิงเวยและหยางชูมองหน้ากันและพูดพร้อมกัน “นำทางไป!”
ทั้งสองเดินตามงูขาวเดินคดเคี้ยวไปมา และในที่สุดก็ถึงที่แห่งหนึ่ง และมีเสียงเบาๆ มาจากผนังกั้น หยางชูมีหูที่ดีมากจึงฟังออกว่าเสียงนั่นเป็นเสียงของฮ่องเต้นั่นเอง
……………
[1] สวมหมวกเขียว : ภรรยานอกใจ
[2] ส้มที่ปลูกที่เมืองหวายหนานเรียกจวี๋จึ เมื่อโตที่เมืองหวายเป่ยจึงถูกเรียกว่าจื่อ : สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของชีวิตนั่นเอง (แม้เป็นส้มปลูกคนละที่ก็แตกต่าง)