คลั่งไคล้ใคร่รัก - ตอนที่ 6ร้อนแรงแผดเผา
ด้านบนของจดหมายเหล่านั้น เป็นภาพวาดด้วยดินสอบนกระดาษร้อยปอนด์ขนาดเอสี่ที่เธอเป็นคนวาดมันเอง
มันคือภาพชายคนหนึ่งในชุดกาวน์ ใบหน้าของเขามีแมสก์ปกปิด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่โผล่พ้น ดวงตาที่ฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนดังชื่อผู้เป็นเจ้าของ
ดุจตะวัน…
แต่เด็กสาวคงจะลืมที่เล่าเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ไปเสียสนิทว่า ดวงตะวันนั้นไม่ใช่แค่ให้ความอบอุ่น แต่มันร้อนแรงถึงขั้นแผดเผาทำลายสิ่งต่าง ๆ ที่เข้าไปใกล้ให้เป็นจุณได้ในพริบตา
แล้วคุณหมอดุจตะวันของเธอเล่า จะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง…
รุ่งเช้าหลังมื้ออาหาร
เด็กสาวเดินเล่นไปรอบ ๆ บริเวณบ้านก่อนจะพบคุณแม่บ้านเข้าที่มุมหนึ่งของสวน
“ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแก้วกานดา ”
“ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณแม่บ้าน ”
“ เมื่อคืนหลับสบายดีไหมคะ ” เด็กสาวชะงักนิดหน่อยเมื่อถูกถามด้วยคำถามนี้ สายตาเจ้าระเบียบที่จ้องมองมานั้นทำให้เธอรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ราวกับคุณแม่บ้านกำลังถามว่า
เมื่อคืนคุณได้ลุกจากเตียงเพ่นพ่านไปทั่วหรือเปล่า
แต่สุดท้ายก็พยายามฉีกยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ สบายมากเลยค่ะ ”
“ ถ้าเช่นนั้นก็เดินเล่นตามสบายนะคะ ฉันขอตัวก่อน ”
“ เอ่อ เดี๋ยวค่ะ หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ ”
“ เชิญค่ะ ”
“ บ้านหลังใหญ่ อยู่กันกี่คนเหรอคะ ” คุณแม่บ้านนิ่งไปชั่วขณะก่อนย้อนถาม
“ ทำไมเหรอคะ ”
“ คือ… หนูก็แค่อยากรู้น่ะค่ะ ไหน ๆ ก็ต้องเข้ามาอาศัยบารมีของท่านแล้ว จะได้ทราบว่าใครเป็นใคร ”
“ บ้านหลังนี้เป็นของคุณหมอซันคนเดียว ”
“ คุณหมอซัน ? หมายถึงคุณหมอดุจตะวันใช่ไหมคะ ”
“ ค่ะ แต่ชื่อนั้นสำหรับคนสนิทเท่านั้น ”
เป็นนัยบอกว่า คนนอกอย่างเธอก็คงไม่ควรใช้สรรพนามนั้นเรียก
“ คุณหมอท่าน เอ่อ ไม่มีพี่น้องหรือครอบครัวเลยเหรอคะ ” อาจจะดูเป็นคำถามละลาบละล้วงไปสักนิด แต่แก้วกานดาก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอควรจะรู้เบื้องต้น เพราะเธอมาอาศัยเขาอยู่ ใช้เงินของเขาเรียน กินอาหารของเขา นอนบนที่นอนบ้านเขา
คุณแม่บ้านเงียบ นั่นทำให้เด็กสาวรู้แล้วว่าคงเป็นสิ่งที่ไม่ควรถาม
“ หนูขอโทษค่ะที่ละลาบละล้วง ”
“ คุณพ่อคุณแม่ของคุณซันเสียไปหมดแล้ว ท่านมีน้องชายต่างพ่ออีกคนชื่อคุณหมอธารเมฆา เป็นทันตแพทย์ แต่ท่านไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้หรอกค่ะ แต่ก็แวะเวียนมาบ่อย ๆ ”
นั่นอย่างไรเล่า !
เธอคิดไว้แล้วว่าคุณหมอดุจตะวันไม่มีทางทำอะไรแบบนั้นได้หรอก ประกอบกิจกรรมเรื่องเพศโจ่งแจ้งเย้ยฟ้าท้าดาว
แต่ว่าจะเป็นน้องชายของคุณหมองั้นเหรอ เห็นว่าก็เป็นหมอเหมือนกันนี่นา จะทำแบบนั้นหรือ
เด็กสาวยังคงสงสัยอยู่เช่นนั้น คำจำกัดความของคำว่า หมอ ของเธอนั้นหมายความถึงผู้ฉลาดล้ำ ต้องมีภาพลักษณ์น่านับถือกว่าบุคคลอื่น ๆ ไม่มีทางจะทำอะไรนอกลู่นอกทางได้แน่นอน
เด็กน้อยเอ๋ย ลืมไปแล้วหรือว่าคุณหมอก็คือมนุษย์ปุถุชนทั่วไป มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีหัวใจ ใช่ว่าถูกคนจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันเสียเมื่อไหร่
ขณะกำลังเดินเล่นพลางครุ่นคิดไปด้วยอยู่นั้น พลันครูรุ่งรัตน์ก็วิ่งกระหืดกระหอบมาหา เมื่อเห็นครูหน้าตาตื่นแก้วกานดาก็เอ่ยถามอย่างห่วงใย
“ ครูคะ มีอะไรหรือเปล่า ”
“ น้องเรนน่ะสิ ตกบันไดหัวแตก นี่ครูวินัยโทรมาบอก กำลังพาไปโรงพยาบาล ” ครูรุ่งรัตน์หมายถึงลูกชายวัยกำลังซนสามขวบและครูวินัยนั่นก็คือสามีที่สอนอยู่โรงเรียนเดียวกัน
“ ร้องไห้จนหน้าเขียวไปหมด แล้วน้องก็เป็นโรคเกร็ดเลือดแข็งตัวช้าด้วย ครูกังวลจังเลยแก้ว ” ครูสาวบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ ถ้างั้นครูกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ ไม่ต้องห่วงหนู หนูอยู่ที่นี่ได้ ” เด็กสาวตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแม้จะกลัวอยู่บ้างก็ตามที
“ จะดีเหรอแก้ว แก้วยิ่งไม่เคยไปไหนมาไหน มาอยู่แปลกที่ครูเองก็เป็นห่วง ไหนจะยายอีก ”
“ ไม่เป็นไรหรอกค่ะครู หนูโตแล้วนะคะ กับแค่การย้ายที่อยู่แค่นี้ไม่เป็นไรเสียหน่อย ครูกลับไปดูน้องเรนเถอะค่ะ ป่านนี้คงร้องหาแม่แย่แล้ว ”
“ งั้นครูคงขับรถกลับเลยนะแก้ว ใจคอครูไม่ดีเลย ” ครูสาวพูดพลางน้ำตาคลอเบ้า
“ ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยเก็บของ ”
อีกราวยี่สิบนาทีต่อมารถครูรุ่งรัตน์ก็ขับออกไปจากบ้านหลังจากที่ไปลาคุณแม่บ้านและฝากจดหมายถึงคุณหมอดุจตะวันเรียบร้อยแล้ว