ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ - เล่มที่ 8 บทที่ 229 ป๋ายจื่อตกที่นั่งลำบาก
นางมั่นใจ แม้ความสัมพันธ์กับคนในจวนจะไม่เลวแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีหนอนบ่อนไส้
ทว่าการแสดงยังคงต้องดำเนินต่อไป หนี้ที่ค้างเอาไว้ค่อยกลับมาคิดบัญชีทีหลังก็ยังไม่สาย
เสียงโครมครามภายในห้องเริ่มสงบลง
คนภายนอกที่กำลังดูละครสนุกๆ ต่างพากันแยกย้าย
ไม่นานศีรษะเล็กๆ ก็ชะโงกออกไปตรวจสอบหน้าประตูเรือน
ป๋ายจีกวาดสายตามองไปรอบด้าน ก่อนจะชักหน้ากลับ
“ไม่มีคนแล้วเจ้าค่ะ นายหญิง พวกเราจะทำอะไรต่อไปเจ้าคะ?”
เดินอ้อมเศษแก้วเศษกระเบื้องที่แหลกเป็นผุยผง แม้นางจะบอกราคาค่างวดให้หลินเมิ้งหยาฟังแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดที่จะรู้สึกตกใจไม่ได้อยู่ดี
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะจิบชา
“ก้าวต่อไปคือการรอให้พวกนางมาตามเราถึงหน้าบ้าน เจ้าคิดว่าข้าเล่นละครใหญ่โตเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”
หลินเมิ้งหยาเพ่งเล็งหยุนลั่วเอาไว้ ป๋ายจีเล่าว่าช่วงนี้สาวใช้คนนี้อยู่รอบกายคอยรับใช้พระสนมเต๋อเฟยบ่อยที่สุด
แต่ถึงกระนั้นนางก็เป็นเพียงสาวใช้ ยากมากกว่าจะขับไล่เจียงหรูฉินไปได้ ไม่รู้ว่าหยุนลั่วผู้นี้จะมาไม้ไหน
“เจ้าไปคุ้มครองป๋ายจื่อก่อนเถิดป๋ายซู จำเอาไว้ หากมิได้อันตรายถึงชีวิต พยายามอย่าลงมือเป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่?”
ป๋ายซูรีบพยักหน้ารับ เมื่อได้อยู่รับใช้หลินเมิ้งหยานานวันเข้า ไหวพริบของนางเองก็มีมากตาม
“เสี่ยวอวี้ เจ้ากำลังคิดอะไร?”
หลินเมิ้งหยาผินหน้าไปมองหลินจงอวี้
เด็กหนุ่มที่ใกล้จะโตเป็นชายหนุ่มเต็มที ความหล่อเหลาของเขายิ่งฉายชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
นางมัวแต่ยุ่งเรื่องของตนเอง เมื่อเวลาผันผ่าน นางแทบจะไม่รู้เลยว่าหนุ่มน้อยที่เคยขวางทางรถม้าของนางในวันนั้นเติบโตขึ้นจนเกือบจะเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขายืนอยู่ข้างหน้าต่าง ท่าทางเสมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ใบหน้าด้านข้างหล่อเหลาคมคาย
ดวงตาเรียวยาวสั่นไหวเสมือนเปลวไฟกลางหิมะ สายตาเย็นชาทำให้คนอื่นๆ สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นของเขา
รูปร่างสูงโปร่งห่อหุ้มไว้ด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ศีรษะสวมใส่รัดเกล้าหยกขาวลายดอกบัว เส้นผมสีดำขลับตรงยาว ใบหน้าข้างแก้มนวลเนียนละเอียดเสียยิ่งกว่าผิวของหญิงสาว
อันที่จริง เมื่อเทียบกับคุณชายผู้มากับดอกไม้แล้ว ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ของเสี่ยวอวี้หล่อเหลามีเสน่ห์กว่ามาก ซ้ำยังดูงามสง่าดั่งคนชนชั้นสูง
แต่สิ่งที่ทั้งสองคนมีเหมือนกันก็คือความเย็นชาที่แผ่กระจายออกมา
บางทีอาจเป็นพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อมา
“ไม่มีอะไรขอรับ ข้าแค่กำลังคิดว่าห้องของพี่สาวใกล้จะว่างเปล่าเต็มที ฉะนั้นข้าควรหาอะไรมาเติมเต็มเข้าไป”
หันหน้ากลับมา ริมฝีปากสีแดงยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มสนิทสนม
หลินเมิ้งหยาชะงัก เสี่ยวอวี้ก็ยังคงเป็นเสี่ยวอวี้ แม้เขาจะเติบโตขึ้นแต่รอยยิ้มพิมพ์ใจนั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
สักวันหนึ่งเมื่อนกอินทรีเติบใหญ่ ก็จะต้องบินขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้าอย่างแน่นอน
ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับรู้สึกเสียดายและเสียใจ
นางเป็นผู้นำตัวเสี่ยวอวี้ออกจากกลุ่มหลิวเย่ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตที่ดูเหมือนจะสุขสบายของเขากลับต้องเจอเรื่องหนักหนาสาหัสยิ่งกว่า
“ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่กี่วันพี่สาวจะกลับไปที่บ้านสกุลหลินอีกครั้ง ข้าอยากให้ท่านพ่อรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม เจ้าคิดอย่างไรกับการเข้าสู่วงศ์ตระกูลของนักรบ?”
นางคิดเรื่องนี้อยู่นานแล้ว
แม้ว่าพวกทาสรับใช้จะคิดว่าเสี่ยวอวี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง
แต่สุดท้ายแล้วเสี่ยวอวี้มิใช่คนธรรมดา ฉะนั้นเขาควรมีฐานะที่เปิดเผย
“แต่ข้า…” เสียงของเสี่ยวอวี้ขาดหายไป หลังจากได้เห็นแววตาสงสัยของหลินเมิ้งหยา เขากลืนคำพูดลงท้องไปทันที ก่อนจะพยักหน้าเพื่อตอบตกลง
“เช่นนั้นหาฐานะที่เหมาะสมให้กับข้าด้วยสิ ข้ามักจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงเสมอ แม้จะมิได้ขัดกับใบหน้างดงามของข้า แต่ถึงกระนั้นข้าก็มิอาจแสดงเสน่ห์เล่ห์กลออกมาได้อย่างเต็มที่”
ชิงหูเข้าร่วมวงสนทนาด้วย ก่อนจะส่งเสียงเย้ายวน
“เจ้า?” หลินเมิ้งหยากวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ
“ก็ได้ ข้าจะบอกท่านพ่อว่าเจ้าเป็นน้องชายต่างแม่ของเขา เท่านี้เจ้าก็กลายเป็นอารองของข้าได้แล้ว ตาเฒ่า!”
ถลึงตาใส่เขาหนึ่งที เจ้าบ้านี่อายุมากพอสมควร แต่กลับยังทำตัวไร้สาระ
แต่ถึงกระนั้นฐานะของชิงหูในเวลานี้คือองครักษ์ภายในจวน ฉะนั้นเขาเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความสงสัยใคร่รู้ของผู้อื่นได้
พวกเขาต่อปากต่อคำกันอยู่พักหนึ่ง เสียงของผอจื่อพลันดังขึ้นที่ด้านนอก
“ทูลพระชายา น้าจิ้งเยว่แห่งตำหนักหยาเสวียนขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ภายในห้อง ความเงียบเข้าครอบงำ ทุกคนแสร้งแสดงละครและทำหน้าที่ของตนเองต่อไป
“เชิญเข้ามา”
เสียงของหลินเมิ้งหยาเจือไว้ซึ่งความเย็นชา พยายามสะกดกลั้นความเกรี้ยวกราด ราวกับว่ากำลังกลัวมันจะระเบิดออกมา
คนภายนอกสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด ดูเหมือนพระชายาจะยังอารมณ์ไม่ดี
น้าจิ้งเยว่ที่สวมใส่ชุดสีฟ้าเดินเข้ามาในตำหนักพระชายา
บนพื้นมีข้าวของตกแตกมากมาย ราวกับว่าพายุไต้ฝุ่นเพิ่งผ่านเข้ามาอย่างไรอย่างนั้น
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่ที่ประทับประจำตำแหน่งพระชายา ป๋ายจีคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ก้มหน้าลงก่อนจะนวดขาให้กับนาง
“มีอะไร? หรือเจ้าเองก็คิดจะทำแบบเดียวกันกับที่นังสารเลวคนนั้นทำกับข้า? เจ้าไม่สนใจคำพูดข้าแล้วใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงอ่อนโยนแต่คำพูดประชดประชันทำให้หัวใจของจิ้งเยว่ตกไปกองรวมกันที่ตาตุ่ม
ปกติพระชายารักและเอ็นดูเหล่าสาวใช้เป็นอย่างดี ดูเหมือนคราวนี้นางจะโกรธมากจริงๆ
“หนู่ปี้ไม่กล้าเจ้าค่ะ นายหญิงได้โปรดอภัยด้วย”
ร่างกายของป๋ายจีสั่นเทิ้มเสมือนนางกำลังกลัวหลินเมิ้งหยาจริงๆ
แม้เจ้านายจะดีมากขนาดไหน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าจะต้องเปลี่ยนไปแทบทุกคน
พระชายาเองคงจะเหมือนกัน
“หนู่ปี้ถวายคำนับพระชายา”
หลินเมิ้งหยาเบนสายตาไปทางจิ้งเยว่ ราวกับเพิ่งจะสังเกตเห็นนาง ก่อนจะรีบเอ่ย
“ดูเหมือนคนของข้าจะยิ่งไม่รู้ความ ท่านน้าอย่าได้ใส่ใจ เข้ามา หาที่นั่ง”
จิ้งเยว่รีบถวายคำนับก่อนจะส่งยิ้ม
“ไม่เป็นไรเพคะ หนู่ปี้เพียงแต่มาส่งข่าวจากพระสนมเต๋อเฟย เหนียงเหนียงเอ่ยว่าก่อนหน้านั้นมอบเวลาให้พระชายาสามวัน แต่ดูเหมือนตอนนี้จะไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีกต่อไป ป๋ายจื่อยอมรับผิดแล้วเพคะ อีกอย่าง นางยังสารภาพเรื่องที่มาที่ไปของเงินจำนวนนั้นอีกด้วย เหนียงเหนียงเสด็จล่วงหน้าไปแล้ว ฉะนั้นจึงให้หนู่ปี้มาเชิญพระชายาเสด็จ”
ปลาอดรนทนไม่ไหวที่จะตะเกียกตะกายเข้ามาติดเบ็ดอย่างนั้นสินะ แต่ถึงกระนั้นสีหน้าของหลินเมิ้งหยายังคงสงบนิ่งดังเดิม
เพียงแค่คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
“โอ้? อย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนนางจะรู้จังหวะเหมาะเสียจริง ข้าเองก็ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากใจอีกต่อไป เช่นนั้นข้าจะไปดูหน่อยว่าสาวใช้คนนั้นปิดบังอะไรข้าอยู่ ไปเถิด ไปดูกัน”
จิ้งเยว่นำทาง หลินเมิ้งหยาพาป๋ายจีไปด้วย ทุกคนเดินไปยังท้ายจวน
ตอนแรกคิดว่าห้องคุมขังจะมีเพียงคนไม่กี่คน ทว่าตอนนี้กลับแออัดและเนืองแน่นไปด้วยผู้คน คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากันเสมือนกำลังสงบสติอารมณ์และความโกรธเกรี้ยวในใจ
“พระชายาเสด็จ”
เสียงของจิ้งเยว่ดึงดูดสายตาจากทุกคน
แต่หลินเมิ้งหยาต้องประหลาดใจ…ไหนว่าพระสนมเต๋อเฟยเสด็จแล้วอย่างไรเล่า?
เหตุใดนางจึงเห็นแค่เพียงร่างของจิ่นซู่ แม้แต่สาวใช้ข้างกายพระสนมเต๋อเฟยอย่างหยุนลั่วก็ไม่มา
“ในที่สุดพระชายาก็เสด็จมาแล้ว ตอนนี้สาวใช้คนนี้ยอมเปิดปากแล้วเจ้าค่ะ คราวนี้พระองค์ได้โปรดบอกเถิดว่าจะลงโทษนางเช่นไร!”
จิ่นซู่เหยียดยิ้มหยิ่งผยองลำพองใจ เพียงได้ยินนางเอื้อนเอ่ยหลินเมิ้งหยาก็รู้สึกขยะแขยงเหลือเกิน
ทว่าสายตาของนางกลับมิได้มองทางวิญญาญที่ทำงานรับใช้เสือผู้นี้
แต่กลับจับจ้องป๋ายจื่อที่อยู่ตรงหน้านิ่ง
ฝ่ามือกำเข้าหากัน
นางกลับตำหนักไปเพียงไม่นาน แต่คนเหล่านี้กลับทรมานป๋ายจื่ออย่างแสนสาหัส
ใบหน้าเรียวเล็กน่ารักงดงามดั่งหยกบวมแดง
ใบหน้าข้างแก้มเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดจนหลินเมิ้งหยารู้สึกทรมาน
นางรู้ดี การจะมีสภาพเช่นนี้ได้ แสดงว่าจะต้องถูกไม้ตีอย่างแน่นอน
แม้ใบหน้าจะไม่ถูกทำลาย แต่เกรงว่าฟันของนางคงจะโยกเยกไปตลอดชีวิต
ป๋ายจื่อไม่มีงานอดิเรกอื่นนอกจากการกิน หากฟันของนางหลุดหมด เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
แม้นางจะเสียใจมากขนาดไหน แต่เพื่อแผนการต่อไป นางจึงต้องอดทน
คนเหล่านี้ติดหนี้แค้นจากนาง เช่นนั้นนางควรจะให้พวกเขาชดใช้เช่นไร?
เหตุเพราะใบหน้าของป๋ายจื่อกำลังบวมเป่ง ดังนั้นนางจึงมิอาจพูดสิ่งใดได้
คนบริเวณรอบๆ เพียงแค่มาดูเรื่องสนุกๆ แต่เพียงเท่านั้น ไม่มีใครคนไหนเสนอตัวเข้ามาพาตัวนางไปรักษา
หัวใจคนเรายากแท้หยั่งถึง
สะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวในหัวใจ หลินเมิ้งหยาแสร้งทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าจิ่นซู่ทั้งที่สีหน้ายังคงเหมือนเดิม
“ตอนแรกข้าก็คิดว่าเหนียงเหนียงมีวิธีการเช่นไร แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้วิธีการตีคนเช่นนี้ ดูเหมือนข้าจะคิดมากจนเกินไป ดูเหมือนจะไม่มีคำพูดไหนเชื่อถือได้เลย”
ทุกคนเงียบลงทันทีที่นางเปล่งเสียงออกมา
ถึงอย่างไร นางยังคงเป็นนายหญิงของจวน เรื่องนี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
“พระชายาเข้าใจผิดแล้วเจ้าค่ะ พระสนมเต๋อเฟยมิได้สั่งให้ทำเช่นนี้ แต่เป็น…ช่างเถิด เช่นนั้นให้ผอจื่อคนนี้เข้ามาอธิบายให้พระชายาฟังจะดีกว่า”
จิ่นซู่พูดจบ ผอจื่อคนหนึ่งก็ถูกผลักออกมาจากทางด้านหลัง
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองด้วยสายตาเย็นชา นางจำได้ทันทีว่านางคือผอจื่อที่มักจะทำอะไรขวางหูขวางตาในตำหนักหลิวซิน
ได้ยินมาว่านางเป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับป๋ายซ่าว
หลังจากที่ผอจื่อคนนั้นได้เห็นหลินเมิ้งหยา ร่างกายของนางพลันสั่นเทิ้ม
นางรีบคุกเข่าแล้วโขกหัวลงกับพื้น
“พระชายาได้โปรดไว้ชีวิตด้วยเพคะ! หนู่ปี้เองก็ได้รับคำสั่งมาอีกทอด ดังนั้นจึงทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ พระชายาได้โปรดอภัยให้หนู่ปี้ด้วย”
หลินเมิ้งหยาชำเลืองมองเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มเย็นยะเยือก
“จงเล่าความจริงมาให้หมด มิเช่นนั้นจงนำตัวนางไปโบย”