ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนพิเศษ (2) ตอนที่ 40 ตอนจบ (ต้น)
หลี่ชุ่ยฮวารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมมากกว่าเขา “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าดูสิ เช่าบ้านหลังนี้ ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องล้วนเก่าคร่ำครึ แม่เห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงซื้อมาบางส่วน ยังมีอีกนะ แม่ตัดเสื้อผ้ามาอีกหลายชุด ยามนี้ใกล้จะเปลี่ยนฤดูกาลแล้ว แม่คงไม่สามารถสวมเครื่องแต่งกายฤดูร้อนได้หรอกนะ”
ริมฝีปากเมิ่งชิงเม้มแน่นสนิท
เมื่อสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของเขาไม่ปกติ หลี่ชุ่ยฮวาก็ลอบมองเขาอยู่หลายครั้ง ในใจก็กระสับกระส่ายอยู่บ้าง
ชั่วครู่หนึ่ง เมิ่งชิงถึงได้เอ่ยว่า “ท่านแม่ พวกเราเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ เรื่องเงิน อีกครู่หนึ่งข้าจะคิดหาวิธีเอง”
หลี่ชุ่ยฮวารีบผงกศีรษะรับคำ “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย วันนี้แม่เข้าครัวทำของอร่อยด้วยตัวเอง เจ้ารีบเข้ามาชิมเร็วเข้า”
อาหารก็ทานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาหารที่เมิ่งชิงเคยทานอย่างเอร็ดอร่อยในอดีตที่ผ่านมากลับไม่มีรสชาติใดๆ ในวันนี้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มอย่างวันวานของเขาแล้ว หลี่ชุ่ยฮวาก็ไม่กล้าพูดอันใดอีก เพียงแค่คีบอาหารใส่ชามเขาไม่หยุด
ทานอาหารเสร็จแล้ว ก็สั่งให้สาวใช้สองนางเก็บกวาดโต๊ะให้สะอาด หลี่ชุ่ยฮวาก็รีบไปรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง ยื่นไปด้านหน้าเขาด้วยความระมัดระวัง
เห็นท่าทางระมัดระวังด้วยความหวาดกลัวของนางแล้ว เมิ่งชิงก็หลับตาลง และลืมขึ้นใหม่ “ท่านแม่ ข้าจะออกไปสักหน่อย อีกครู่หนึ่งจะกลับมา”
เอ่ยจบแล้วก็ลุกขึ้นยืน
“ชิงเอ๋อร์!”
หลี่ชุ่ยฮวาจับแขนเขาเอาไว้ “ฟังคำของแม่นะ กลับไปยอมรับผิดกับท่านปู่เจ้าเถอะ ดีร้ายเช่นไรเจ้าก็เป็นเด็กน้อยที่เติบโตขึ้นด้วยความรักของเขา เขาคงไม่หมางเมินเจ้าจริงๆ หรอก”
เมิ่งชิงมองนาง
ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “ท่านแม่ ท่านรู้ไหมว่าเหตุใดท่านปู่จึงไล่ข้าออกมา”
“รู้สิ แม่รู้ ไม่ใช่ไม่อยากให้เจ้ายอมรับแม่หรอกหรือ”
“รู้แล้วท่านยังจะ…”
“ชิงเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ แน่นอนว่าแม่หวังว่าจะให้เจ้าอยู่ข้างกายแม่ตลอดเวลา แต่เจ้าลองคิดดูสิ อาศัยเบี้ยหวัดทหารเล็กน้อยของเจ้าในยามนี้ เมื่อจากตระกูลเมิ่งมา พวกเราแม่ลูกก็ใช้ชีวิตผ่านคืนวันในเมืองหลวงอย่างยากลำบาก เจ้าสามารถแอบซื้อคฤหาสน์เรือนหนึ่งให้แม่ได้ และก็ยังซื้อบ่าวรับใช้มาปรนนิบัติอีกสักหลายคน เช่นนี้แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงข้าตลอดเวลาอีกแล้ว เมื่อเวลาว่างก็สามารถมาเยี่ยมข้าได้เช่นกัน”
เมิ่งชิงเม้มปากแน่น หัวใจหนักอึ้งเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นเขาไม่พูดไม่จา สีหน้าก็ไม่ดี หลี่ชุ่ยฮวาก็เริ่มลนลานจึงรีบเปลี่ยนวิธีการพูดในทันที “ชิงเอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมากเชียวนะ แม่ก็แค่เห็นเจ้าลำบากจริงๆ สงสารเจ้า ถึงได้คิดแผนการที่เลวร้ายเช่นนี้ออกมา?”
“ท่านแม่ ท่านมาเมืองหลวงเพื่อข้า หรือว่ามาเพื่อเสพสุขในชื่อเสียงเกียรติยศและความมั่งคั่งร่ำรวยกัน”
เมิ่งชิงก็อดทนไม่ไหวแล้วเช่นกันถึงได้เอ่ยถามออกมา
หลี่ชุ่ยฮวาเบิกตากว้างทันที “ชิงเอ๋อร์ เจ้าพูดเหลวไหลอันใดกัน แน่นอนมาแม่มาเมืองหลวงเพื่อเจ้า สิ่งเหล่านี้ หลายปีมานี้ที่แม่อดทนยอมรับการถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ ก็เป็นเพราะว่าข้าคิดถึงเจ้า เป็นห่วงเจ้ามาโดยตลอด คิดว่าสักวันหนึ่งพวกเราแม่ลูกจะต้องได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งอย่างแน่นอน ถึงได้ยืนหยัดต่อไปได้ เจ้าถามคำถามเช่นนี้กับแม่ได้เช่นไร เจ้าทำร้ายจิตใจแม่เกินไปแล้ว”
เอ่ยจบแล้ว หน้าตาก็หม่นหมอง หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่รินไหลอย่างอดไม่อยู่
ตึง!
เมิ่งชิงคุกเข่าลงกับพื้น “ท่านแม่ ข้าขอโทษ เป็นความผิดของข้า ท่านอย่าเสียใจอีกเลย หลังจากนี้ข้าจะไม่พูดเช่นนี้กับท่านอีก”
หยดน้ำตาของหลี่ชุ่ยฮวารินไหลหนักยิ่งกว่าเดิม “ชิงเอ๋อร์เอ๋ย ใครก็สามารถคิดว่าแม่ทำเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและความมั่งคั่งร่ำรวย แต่เพียงคนเดียวที่ไม่สามารถก็คือเจ้า หลายปีมานี้ แม่คิดอยากจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับเจ้าตลอดเวลานะ”
“บุตรชายผิดไปแล้ว ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ข้ารับปากกับท่าน หลังจากนี้จะไม่พูดจาเหลวไหลไร้สาระอีก”
หลี่ชุ่ยฮวาสะอื้นไห้อีกครู่หนึ่งถึงได้หยุดลง เมิ่งชิงคุกเข่าปลอบอยู่ตลอด
สาวรับใช้สองนางที่ยืนอยู่ด้านนอกก้มศีรษะ ไม่กล้าส่งเสียงอันใดออกมาแม้แต่น้อย
ไม่ง่ายเลยที่จะปลอบขวัญหลี่ชุ่ยฮวาได้ เมิ่งชิงออกจากประตูบ้านไปแล้ว ก็ถอนหายใจเสียงยาว เขาอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ คนร่ำรวยที่เขารู้จักมีเพียงแค่เหวินซื่อเพียงคนเดียว แต่เขายืมเงินไปสองครั้งติดแล้ว จะมีหน้ากลับไปยืมอีกได้เช่นไรกัน
ฟ้ามืดสนิทลงแล้ว บนถนนไม่มีใครสักคน เงียบเหงาและเย็นเยียบ เมิ่งชิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยจิตใจที่เลื่อนลอย มองดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าควรจะไปยืมเงินจากที่ใด
เสียงฝีเท้ามาดังลอยมาครู่หนึ่ง เมิ่งชิงเหลือบตาขึ้นมอง ผู้บัญชาการโต้วแห่งกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครนำกองรักษาการณ์กองหนึ่งเข้ามา เมื่อเห็นเมิ่งชิงยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็ตะลึงค้าง รีบลงจากม้าทันที เดินไปถึงด้านหน้าเขา กำหมัดทำความเคารพ “รองแม่ทัพเมิ่ง!”
เมิ่งชิงผงกศีรษะ “ผู้บัญชาการโต้ว ลำบากแล้ว ดึกขนาดนี้ยังลาดตระเวนอยู่อีก”
“เป็นหน้าที่อันพึงกระทำ ไม่อาจพูดได้ว่าลำบากขอรับ เพียงแต่ว่าเหตุใดท่านรองแม่ทัพเมิ่งถึงได้มาอยู่ตรงนี้เล่า”
“อ่อ ข้าเช่าอาศัยในเรือนที่อยู่ด้านหลังนี้แล้ว ข้ากับท่านแม่ข้าอาศัยอยู่ด้านใน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ผู้บัญชาการโต้วผงกศีรษะ และนึกสิ่งใดขึ้นมาได้กะทันหัน ยื่นมือเข้าในอก หยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบ “ท่านรองแม่ทัพเมิ่ง นี่คือตั๋วเงินที่ท่านมอบให้ข้า เพื่อฝากฝังให้ข้าช่วยดูแลท่านแม่ของท่าน ข้าก็ไม่ได้ช่วยอันใด จึงคิดอยากจะคืนให้ท่านมาโดยตลอด แต่ก็ไม่มีโอกาส วันนี้ประจวบเหมาะพอดี”
ตั๋วเงินที่มอบออกไปแล้ว จะมีเหตุผลให้นำกลับคืนมาได้เช่นไรกัน หากเป็นยามก่อน เมิ่งชิงคงผลักคืนกลับไปอย่างสง่างามตั้งนานแล้ว แต่ในวันนี้ไม่เหมือนกัน ในบ้านไม่มีเงินแล้ว มารดาของเขายังรอให้เขายืมเงินกลับไปอยู่ มือกำแล้วก็คลายออก กำแล้วก็คลายออก เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครั้ง เมิ่งชิงถึงได้หน้าแดงก่ำ ยื่นมือออกไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะรับเอาไว้ รอหลังจากนี้ หากมีโอกาส ข้าจะต้องขอบคุณผู้บัญชาการโต้วอย่างดีอีกครั้งแน่นอน”
“ขอรับ ขอรับ”
ผู้บัญชาการโต้วยิ้มแย้ม เอ่ยด้วยความเบิกบานใจ กำหมัดทำความเคารพอีกครั้ง และปีนกลับขึ้นไปบนม้า “เช่นนั้นรองแม่ทัพเมิ่ง ข้าขอไปลาดตระเวนก่อน หากต้องการให้ช่วยสิ่งใด เอ่ยมาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถแน่นอนขอรับ”
เมิ่งชิงผงกศีรษะ “ขอบคุณท่านมากผู้บัญชาการโต้ว”
ผู้บัญชาการโต้วเร่งม้า นำทหารจากไป
เมื่อมองไม่เห็นเงาทางด้านหลังของพวกเขาแล้ว เมิ่งชิงถึงได้พับตั๋วเงินในมือด้วยความระมัดระวัง หมุนกายกลับเข้าไปในเรือน
ผู้บัญชาการโต้วนำทหารออกไปถึงถนนเส้นหนึ่ง ก็เห็นรถม้าจอดนิ่งอยู่เบื้องหน้า จึงรีบโบกมือสั่งให้เหล่านายทหารหยุดนิ่ง ตัวเองก็ควบม้าไปหยุดอยู่ด้านหน้ารถม้า ลงจากม้า และก้าวขึ้นไปรายงาน “ซื่อจื่อ พระชายาซื่อจื่อ ตั๋วเงินได้มอบให้กับท่านรองแม่ทัพเมิ่งแล้วพะยะค่ะ”
“ดี ขอบใจมาก จำเอาไว้ อย่าเอ่ยเรื่องในคืนวันนี้กับผู้ใด หลังจากนี้จะต้องไม่ขาดผลประโยชน์ในส่วนของเจ้าอย่างแน่นอน”
“ซื่อจื่อโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะปิดปากเงียบ ไม่บอกให้ผู้ใดทราบอย่างแน่นอนพะยะค่ะ”
ผู้บัญชาการโต้วเอ่ยอย่างนอบน้อม
“อืม!” หลังจากนั้นคำหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนก็สั่งว่า “กลับจวน!”
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนที่มุ่งหน้าไปยังทิศทางจวนอ๋อง
ผู้บัญชาการโต้วยังคงยื่นนิ่งอย่างนอบน้อมอยู่ที่เดิม รอจนมองไม่เห็นเงารถม้าแล้ว ถึงได้ปีนกลับขึ้นไปบนหลังม้า นำทหารลาดตระเวนต่อไป
เดิมในวันนี้ เขาไม่ควรเข้าเวร แต่ซื่อจื่อสั่งให้คนไปเรียกที่จวน มอบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้เขาสองใบ ให้เขาแสร้งทำเป็นผ่านไปทางหน้าประตูเรือนของรองแม่ทัพเมิ่งอย่างไม่ได้ตั้งใจ และมอบตั๋วเงินให้เขา
ภายในรถม้านั้นเงียบสงัด
หวงฝู่อี้เซวียนนั่งอยู่ในรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวเอนตัวนอนอยู่บนขาของเขา
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว หากเจ้ายังกล้าช่วยเขาในครั้งหน้า ข้าจะไปรายงานท่านปู่”
หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยปากข่มขู่
“วางใจเถอะ ข้ารับปากท่านว่าเป็นครั้งสุดท้าย นั่นก็หมายความว่าเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้ข้าจะไม่สนใจเขาอีก”
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวอึมครึม เจือด้วยความแน่วแน่ที่ไร้ซึ่งความหวั่นไหว