การแสดงหลังจากนี้ของฉู่เสี่ยวเสี่ยวมีสถานการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่พอใจกับน้ำเย็นบ้าง ไม่ยอมลงไปในน้ำเพื่อถ่ายทำบ้าง หรืออ้างว่ากลัวความสูงและไม่ยอมโหนสลิงบ้าง
ในทุกๆวันฉู่เสี่ยวเสี่ยวต้องการเพียงแค่ตะเวนไปๆมาๆอย่างสวยงาม แม้แต่ฝุ่นบนพื้นก็ไม่ยอมให้เกาะที่รองเท้าของเธอ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้นักแสดงคนอื่น ๆ ทำได้แค่ยกย่องความมีน้ำใจและความงามของฉู่เสี่ยวเสี่ยวในบทพูดซ้ำๆเท่านั้น แม้ว่าคำชมเหล่านี้จะทำให้ฉู่เสี่ยวเสี่ยวมีความสุขมาก แต่เนื่องจากไม่มีพื้นฐานในการปฎิบัติงานมาก่อน จึงเหมือนห้องใต้หลังคาที่แขวนอยู่กลางอาคารที่เป็นเพียงสิ่งลวงตาเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะโน้มน้าวผู้ชมได้
แต่ฉู่เสี่ยวเสี่ยวซึ่งถ่ายทำครั้งแรกไม่ได้สังเกตเห็นปัญหานี้เลย แม้เธอจะมีความสุขมาก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ อีกทั้งยังยิ้มให้เซี่ยอันหรานเพื่อแสดงอำนาจของตัวเอง
เซี่ยอันหรานมองไปที่ฉู่เสี่ยวเสี่ยวที่มีความภาคภูมิใจอย่างมาก จากนั้นก็มองไปที่นักแสดงพิเศษที่เดินผ่านเธอไปและยิ้มให้กับฉู่เสี่ยวเสี่ยวอย่างดูถูก
เซี่ยอันหรานค่อยๆยกมุมปากของเธอขึ้น ในวงการบันเทิงต่างก็เป็นแบบนี้ แม้ว่าจะมีวิธีการไตร่ขึ้นที่สูงมากมายบางคนก็อาศัยกฎที่ซ่อนอยู่ บางคนพึ่งสปอนเซอร์และบางคนต้องพึ่งพาบริษัทขนาดใหญ่เพื่อแย่งชิงบทบาท แต่การที่คุณจะไต่เต้าขึ้นสู่ตำแหน่งพระเอกและนางเอกได้นั้นขึ้นอยู่กับทักษะการแสดงของทั้งสองซึ่งไม่สามารถหลอกลวงผู้คนได้
แม้ว่าทีมงานจะกลัวคุณเพราะอำนาจของคุณและประจบคุณเพราะความโด่งดังในตัวคุณ แต่การที่จะเคารพคุณนั้นก็ขึ้นอยู่กับทักษะการแสดงและความเป็นมืออาชีพของคุณจริงๆ วงโคจรนี้มีทั้งความจริง พลังอำนาจ โชคของอำนาจนั้นและเบื้องหลังอันแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ฉู่เสี่ยวเสี่ยวมีเพียงหนึ่งในนั้น มีเพียงผู้สนับสนุนที่มีเบื้องหลังอันแข็งแกร่ง ก็หยิ่งผยองได้ขนาดนี้ จริงๆแล้วไปไหนไม่ได้ไกลด้วยซ้ำ
เซี่ยอันหรานเฝ้ามองการถ่ายทฉู่เสี่ยวเสี่ยวและเฉิงเสี่ยวเถียน เองก็ไม่สามารถไปไหนได้ เมื่อเห็นว่าในที่สุด ฉู่เสี่ยวเสี่ยวก็ถ่ายทำเสร็จ เฉิงเสี่ยวเถียนก็ถอนหายใจเบา ๆ และยืนพิงเซี่ยอันหรานพร้อมกับกระซิบ: “ในที่สุดก็จบสักที ดูเธอแสดงก็เป็นการทรมานอย่างหนึ่งจริงๆ"
เฉิงเสี่ยวเถียนเคยทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับศิลปินหลายคนมาก่อนและมักจะไปไหนมาไหนกับศิลปินในกองถ่าย แต่เธอไม่เคยเห็นทักษะการแสดงที่แย่อย่างฉู่เสี่ยวเสี่ยวมาก่อน
ในหลายๆฉากสุดท้ายของฉู่เสี่ยวเสี่ยว เธอยังจำบทพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุดผู้กำกับจินก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากให้ฉู่เสี่ยวเสี่ยวทำปากโดยไม่ต้องพูดออกเสียงแล้วค่อยพากย์บทพูดเข้าไปในภายหลัง โดยทั่วไปจะใช้เฉพาะศิลปินจากฮ่องกงและไต้หวันที่ไม่เก่งภาษาจีนกลางหรือศิลปินจากต่างประเทศในการถ่ายทำเท่านั้น แม้ว่าศิลปินในประเทศจะมีทักษะการแสดงที่แย่แค่ไหนแต่ก็ใช้ถ่ายทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ฉู่เสี่ยวเสี่ยวกลับยอมรับอย่างยินดี ซึ่งนี่เป็นความขมขื่นสำหรับนักแสดงที่แสดงร่วมกับเธอ เพราะแม้ว่าจะเป็นศิลปินต่างชาติถึงต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจคำพูดของกันและกันในขณะที่ถ่ายทำ แต่หลังจากนักแสดงต่างชาติเหล่านั้นพูดบทพูดจบก็จะแจ้งให้อีกฝ่ายทราบและขอให้อีกฝ่ายพูดตอบ
แต่ฉู่เสี่ยวเสี่ยวไม่รู้กฎนี้ด้วยซ้ำ หลังจากที่เธอพูดประโยคหนึ่งที่ไม่ตรงประเด็นจนจบก็จะหยุดกะทันหัน ซึ่งอีกฝ่ายไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉู่เสี่ยวเสี่ยวหยุดพูดและมักจะทำให้อีกฝ่ายต่อบทไม่ทัน
ผู้กำกับจินไม่กล้าไปสอนฉู่เสี่ยวเสี่ยวที่แม้แต่บทพูดยังจำไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงระบายความคับแค้นใจที่มีต่อนักแสดงที่แสดงร่วมกับฉู่เสี่ยวเสี่ยว เมื่อการถ่ายทำในช่วงเช้าถ่ายทำเสร็จ นักแสดงทุกคนที่แสดงร่วมกับฉู่เสี่ยวเสี่ยวต่างก็มีใบหน้าบึ้งตึง ไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพวกเขาแม้แต่นิดเดียว ทำให้ผู้กำกับจินต้องขมวดคิ้วมากยิ่งขึ้น
บรรยากาศทั้งหมดในกองถ่ายหนักอึ้ง แต่โชคดีที่ฉากของฉู่เสี่ยวเสี่ยวเป็นฉากทั้งหมดในตอนเช้า หลังจากถ่ายทำในช่วงเช้าเสร็จเธอก็กลับไปงีบที่โรงแรม บรรยากาศในกองถ่ายทั้งหมดก็ค่อยๆผ่อนคลายลงและเริ่มถ่ายทำตามปกติอีกครั้ง
หลังจากได้รับการทรมานของฉู่เสี่ยวเสี่ยวในตอนเช้า ก็ทำให้ทีมงานในกองถ่ายทุกคนเพิ่มความสามัคคีกันมากขึ้น เดิมทีนักแสดงต่างรู้สึกไม่พอใจกันบ้าง หลังจากผ่านประสบการณ์เรื่องฉู่เสี่ยวเสี่ยว ทุกคนต่างรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่ารักขึ้นมาทันที กระบวนการถ่ายทำทั้งหมดเป็นไปอย่างราบรื่นและสบายใจอย่างมากและบรรยากาศในกองถ่ายทั้งหมดอย่างกับรอดจากหายนะแล้วอย่างนั้น
ฉากในช่วงบ่ายของเซี่ยอันหรานเป็นฉากคัตซีนโดยมีฉากไฮไลท์เพียงสองฉาก ฉากแรกคือตอนที่เฟิ่งรุ่ยฮวาและซ่างกวนหลิงพบกันครั้งแรก อีกฉากคือก่อนที่เฟิ่งรุ่ยฮวาจะเสียชีวิตและชี้ไปที่ซ่างกวนหลิงเพื่อสาปแช่งเขา
เมิ่งเทียนผู้รับบทเป็นซ่างกวนหลิงเป็นดาราภาพยนตร์และโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงไม่มากนัก ได้ยินมาว่าเขาทำงานหนักมากและได้ถ่ายละครมามากมาย แม้ว่าคุณภาพจะไม่สูง แต่ในปริมาณที่ได้รับชัยชนะของเขาก็ทำให้มีตำแหน่งที่มั่นคง เนื่องจากรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและเย็นชาเล็กน้อย เขาจึงมักจะรับบทเป็นจักรพรรดิที่หยิ่งผยองและประธานที่เอาแต่ใจ
มักจะมีคนพูดแซวว่านักแสดงหญิงในซีรีส์ที่เคยถูกเมิ่งเทียน "ผลักเข้ากำแพง"หรือเคย"จูบอย่างดุเดือน" รวมๆกันแล้วสามารถล้อมรอบเป็นวงกลมรอบสตูดิโอภาพยนตร์เหิ้งเตี้ยนได้และผู้หญิงที่อยากให้เมิ่งเทียน"จูบอย่างดุเดือด" สามารถล้อมรอบโลกได้รอบหนึ่ง
แต่เมิ่งเทียนที่เป็นแบบนี้ ก็ยังถูกฉู่เสี่ยวเสี่ยวทรมานในตอนเช้าเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่เขาจะต้องแสดงกับฉู่เสี่ยวเสี่ยวและเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุด
แม้ในช่วงบ่ายคิ้วของเมิ่งเทียนยังคงขมวดอยู่อย่างนั้น แต่ก่อนการถ่ายทำจะเริ่มขึ้นเมิ่งเทียนก็เดินไปสองก้าวอย่างรวดเร็ว แล้วเดินไปตรงหน้าเซี่ยอันหรานพลางขมวดคิ้วและพูดเสียงต่ำว่า: “เห็นฉากการแสดงของคุณเมื่อเช้านี้ถือว่าไม่เลวเลยนะ แต่เดี๋ยวถ่ายทำขึ้นผมหวังว่าคุณจะมีสมาธิมากขึ้น”
พอเซี่ยอันหรานได้ยินเสียงของเมิ่งเทียนและจ้องมองไปที่เมิ่งเทียนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เสียงของเขาคล้ายกับ โม่เซ่าเหยียนมากจริงๆ! เซี่ยอันหรานเคยได้ยินเสียงของเมิ่งเทียนผ่านทีวีมาก่อนและไม่เคยได้ยินเสียงของ เมิ่งเทียนในชีวิตจริง เธอไม่คิดมาก่อนว่าเสียงเดิมของเมิ่งเทียนจะคล้ายกับโม่เซ่าเหยียนขนาดนี้
เมิ่งเทียนมองเซี่ยอันหรานที่กำลังอึ้งอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นและถอนหายใจอย่างหงุดหงิด: “นักแสดงใหม่พวกนี้ไม่มีใครเหมือนที่คิดไว้เลย"
เมื่อเซี่ยอันหรานได้ยินคำพูดของเมิ่งเทียนเธอก็ได้สติขึ้นมา เมื่อเห็นเมิ่งเทียนที่เข้าใจเธอผิดว่าไม่จริงจังกับการถ่ายทำ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับไปด้วยเคืองใจเซี่ยอันหรานไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะไปโกรธเมิ่งเทียน เธอหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งเพื่องระงับความหงุดหงิดที่เกิดจากเสียงของเมิ่งเทียนเพราะคล้าย โม่เซ่าเหยียนมาก จากนั้นก็หลับตาและท่องบทอีกครั้ง
เมื่อเซี่ยอันหรานได้ยินเสียง “เริ่ม" เธอก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอเปลี่ยนไปกลายเป็นอีกคนโดยสมบูรณ์ คิ้วของเธอยกขึ้นเล็กน้อย มุมปากของเธอมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม เธอสวมชุดขี่ม้าสีแดง ในมือที่กำลังเขย่าแส้ เธอพูดกับซ่างกวนหลิงในชุดคลุมสีดำที่ปักด้วยลวดลายงูหลามที่มาเยี่ยมชมบ้านเมืองเป็นการส่วนตัวอย่างหยิ่งผยอง: “เฮ้ เจ้าเด็กยากไร้ อย่ามาขวางทางผู้หญิงคนนี้เลย เจ้ารู้ไหมว่าหญิงผู้นี้เป็นใคร"
เมิ่งเทียนเห็นการกระทำของเฟิ่งรุ่ยฮวาที่รับบทโดยเซี่ยอันหรานดูหยิ่งผยองและมีความน่ารักปนอยู่บ้าง รูม่านตาของเขาหดลง แต่เขาก็ยังคงแสดงต่อไป จากนั้นก็ยิ้มอย่างเย็นชา: “ช่างเป็นหญิงสาวที่หยิ่งผยอง ทางของเจ้า ทุกสิ่งในโลกนี้เป็นของข้า ทำไมถนนเส้นนี้ถึงกลายเป็นของเจ้าได้ล่ะ?”
“ทุกสิ่งในโลกนี้เป็นของเจ้า?หึ เจ้านะสิที่หยิ่งผยอง" เซี่ยอันหรานย่นจมูก: “โลกนี้เป็นของจักรพรรดิต่างหาก จะเป็นของเจ้าได้อย่างไร?ข้าต้องการเพียงถนนเล็กๆสายนี้ แต่เจ้าต้องการทุกสิ่งในโลกนี้ ช่างหยิ่งผยองซะจริงๆ! "
เมิ่งเทียนเองก็ได้อ่านบทนี้อย่างสมบูรณ์ ในบทพูดเมื่อเฟิ่งรุ่ยฮวาพูดประโยคนี้ ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงมาก เขาเกลียดผู้หญิงที่เย่อหยิ่งและวางอำนาจมากที่สุด แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อเซี่ยอันหรานพูดมาถึงท่อนนี้มันกลับทำให้ เฟิ่งรุ่ยฮวาดูเย่อหยิ่งได้น่ารักอย่างมาก ทำให้เขามองว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่เฟิ่งรุ่ยฮวาที่จะวางยาคนในภายหลัง แต่เป็นที่รักของคนในครอบครัว มีคนที่รักคนเอ็นดู หากต้องการอะไรก็ต้องได้พร้อมกับความรู้สึกที่เหมือนสาวน้อยผู้ไร้เดียงสา
ตอนที่เมิ่งเทียนกำลังดูบทพูด เพราะเขามองจากมุมมองของตัวละครเอกซ่างกวนหลิง เขาไม่รู้สึกว่าซ่างกวนหลิงเป็นสาเหตุอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้และเกิดความผิดพลาดตรงไหนที่โดนบังคับให้แต่งงานกับเฟิ่งรุ่ยฮวาอย่างไม่เต็มใจและคิดว่าการที่เขาจะฆ่าเฟิ่งรุ่ยฮวาที่ทำลายหลินสุ่ยเซียวก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว
แต่เมื่อเขามองไปที่เฟิ่งรุ่ยฮวาที่รับบทโดยเซี่ยอันหรานเขาก็เริ่มรู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ซ่างกวนหลิงทำผิดมากที่สุด ก็คือการเอาชนะครอบครัวตระกูลเฟิ่งและยอมรับเฟิ่งรุ่ยฮวาเป็นราชินี หากซ่างกวนหลิงปฏิเสธที่จะยอมรับเฟิ่งรุ่ยฮวา บางทีเฟิ่งรุ่ยฮวาอาจจะมีชีวิตที่มีความสุขมากกว่านี้
เมื่อคิดเช่นนี้ เมิ่งเทียนก็ตกตะลึงไปชั่วขณะและไม่ได้ต่อบทกับเซี่ยอันหราน แต่ผู้กำกับจินคิดว่าเขาถูกฉู่เสี่ยวเสี่ยวทรมานในตอนเช้าเลยขมวดคิ้วและไม่ได้สั่งหยุด
หลักการของการเป็นนักแสดงคือถ้าผู้กำกับไม่สัก "หยุด" ก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป
เซี่ยอันหรานเลิกคิ้วและพึมพำอย่างหยิ่งผยอง“วันนี้ ข้ามาในนามของจักรพรรดิเพื่อโจมตีกบฏผู้หยิ่งผยองอย่างเจ้า”
ขณะที่เซี่ยอันหรานพูด เธอกำลังจะชักแส้ออกมา แต่ขณะที่เธอสะบัดแส้ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยเมิ่งเทียนที่รับบทบาทเป็นซ่างกวนหลิง เมิ่งเทียนคว้าข้อมือของเซี่ยอันหรานด้วยมือข้างหนึ่งและโอบเอวเธอด้วยมืออีกข้างหนึ่ง รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา เขาเข้าไปข้างหูของเซี่ยอันหรานและกระซิบว่า “อาวุธเพียงเล็กน้อย เจ้าเป็นใครจักรพรรดิจริงหรือ? เป็นตัวแทนของจักรพรรดิเหรอ?หืม?”
เมิ่งเทียนเคยทำตัวเป็นจักรพรรดิผู้ชั่วร้ายและประธานผู้เอาแต่ใจ แม้ว่าเซี่ยอันหรานจะพูดนอกบทไปประโยคหนึ่ง แต่เมิ่งเทียนก็สามารถรับช่วงต่อได้
แต่เมื่อเสียงที่คล้ายกันของเมิ่งเทียนและโม่เซ่าเหยียนดังขึ้นในหูของเซี่ยอันหราน เซี่ยอันหรานก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆและตกตะลึงในทันที และรีบผละออกจากมือของเมิ่งเทียนทันที เธอหน้าแดงพร้อมกับพูดกับเมิ่งเทียนอย่างโกรธๆว่า "เจ้าช่างไร้ยางอาย!"
“โอเค คัท!" เมื่อเห็นฉากนี้ ในที่สุดผู้กำกับจินก็กวาดความเบื่อหน่ายในตอนเช้าออกไปและตะโกนสั่งหยุดด้วยรอยยิ้ม: “ฉากนี้เยี่ยมมาก ตอนอันหรานตะโกนว่า"เจ้าช่างไร้ยางอาย"มันดูจริงใจและรู้สึกเหมือนเรื่องจริงมากๆ”
เมิ่งเทียนปล่อยมือจากข้อมือของเซี่ยอันหรานและถอยกลับไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็พูดกับผู้กำกับจินด้วยรอยยิ้ม: “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะผู้กำกับไม่สั่งหยุดทันเวลา ทำให้ผมโดนด่าฟรีๆเลย"
“คำด่านี้คุ้มค่ามากนะ มันไม่ได้ออกนอกพล็อตแถมยังจุดประกายให้ทั้งสองคนมาก นอกจากนี้ยังแสดงเหตุผลที่ชัดเจนออกมาว่าทำไมตัวละครเฟิ่งรุ่ยฮวาถึงตกหลุมรักซ่างกวนหลิง” ผู้กำกับจินพูดด้วยรอยยิ้ม: "เพราะซ่างกวนหลิงที่รับบทโดยเมิ่งเทียนนั้นน่าดึงดูดมาก ดังนั้นเฟิ่งรุ่ยฮวาที่รับบทโดยเซี่ยอันหรานในขณะที่ด่านาย ก็เขินไปด้วย"
เซี่ยอันหรานปิดหน้าเธอด้วยความตื่นตระหนกและกระพริบตาปริบๆ: "ฉัน … ฉัน … "
เซี่ยอันหรานอยากอธิบายแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เธอไม่สามารถบอกทุกคนที่อยู่ในฝูงชนว่าเธอหน้าแดงเพราะเสียงของเมิ่งเทียนเหมือนโม่เซ่าเหยียนมาก?
เมื่อเห็นเซี่ยอันหรานความลำบากใจเล็ก เมิ่งเทียนก็ยิ้มเบา ๆ : “ไม่เป็นไร คุณอันหราน ท่าทีแบบนี้ของคุณทำให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ในฐานะนักแสดงการอุทิศความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ เตรียมพร้อมสำหรับฉากต่อไปเถอะ!
เซี่ยอันหรานเม้มมุมปากของเธอและพยักหน้าเบาๆ ก็ถูก แม้ว่าการแสดงเป็นนักแสดงจะเป็นการตีความชีวิตของคนอื่น แต่สิ่งที่คุณต้องอุทิศคือความรู้สึกที่แท้จริงของคุณเอง นั่นเป็นเหตุผลที่มีคู่รักคนดังมากมายที่ชื่นชอบการแสดง
แต่เธอกับโม่เซ่าเหยียนนับว่าเป็นอะไรกัน? ความรักจากการละเมิด? แค่จินตนาการก็รู้สึกตลกแปลกๆ
MANGA DISCUSSION