การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ - ตอนที่ 206 คลิมปะทะชินโต
- Home
- การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~
- ตอนที่ 206 คลิมปะทะชินโต
ตอนที่ 206 คลิมปะทะชินโต
「นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่ เคิร์ท? 」
ชินโตที่ถอดหน้ากากออกมาแล้วถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง สายตาที่จ้องมาจากดวงตาทั้งสองนั้นเฉียบคมพอจะทะลวงไปยังผิวหนังบนใบหน้าของคลิม
คลิมตอบก่อนจะเผยรอยยิ้ม
「แค่นี้ไม่ต้องตอบก็น่าจะรู้อยู่แล้วมั้ง หมดเวลาที่ฉันจะต้องมาทำเรื่องไร้สาระกับแกแล้ว」
「โฮ่ ช่างกล้า นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งของชิกิบุสินะ? 」
พอได้ยินแบบนั้นคลิมก็เผลอหัวเราะออกมา ไร้สาระชะมัด ไอ้หมอนี่มันคิดว่าตระกูลมิตสึรุกิทำตามคำสั่งของมันอยู่อีกเหรอ
เมื่อเห็นใบหน้าของคลิมก็บ่งบอกคำตอบทั้งหมดภายในใจแล้ว เขาก็พูดขึ้น
「เอาสิ ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสเทคนิคของนานาชิกิอีกครั้ง แต่คราวนี้ข้าคงไม่ออมมือให้เหมือนคราวก่อนแล้ว จงไปเสียใจอยู่ภายในยมโลกเสีย ไอ้หนู!!」
มาถึงตรงนี้ ชินโตได้เลิกคิดถึงแผนการจะฆ่ารันเพื่อปลูกฝังความแค้นให้ยามาโตะไปแล้ว
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชินโต คือต้องรักษากองกำลังกบฏนี้เอาไว้จนกว่ากองทัพนากายามะจะมาถึง หากเป็นไปได้ก็ควรจะฆ่าสองพี่น้องนี้โดยแสร้งว่าเป็นฝีมือของนากายามะเพื่อเพิ่มเชื้อไฟ ให้พวกคาซานมีความโกรธแค้นมากขึ้น
มันก็มีความเสี่ยงตรงที่ว่ากบฏคาซานอาจจะล่มสลายได้หากไม่มีสัญลักษณ์อันเป็นศูนย์รวมใจ แต่ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็โบ้ยไปให้เคิร์ทกับตระกูลมิตสึรุกิ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่การแก้ตัวด้วยถึงจะถูกใช้『จับเท็จที่แท้จริง』ของลัทธิแห่งแสงก็สามารถผ่านไปได้สบาย
ชินโตกลับมาสวมหน้ากากคิจิน 4 ตาอีกครั้งและเริ่มใช้ศาสตร์แห่งนานะชิกิ
―― จงชำระล้าง แด่ผู้ขับไล่ความชั่วร้ายทั้งปวง เช่นเดียวกับแสงแห่งการชำระล้าง รุกไล่เหล่าปีศาจร้าย และจ้าวแห่งความมืดกว่าพันลี้
―― ข้าขอขับไล่สิ่งโสมมและความหมองหม่น ณ ที่แห่งนี้ออกไปจนสิ้น ข้าขอวิงวอนอย่างนอบน้อมแด่พระผู้เป็นเจ้า
――ศาสตราทั้ง 5 ที่ถือกำเนิดเพื่อล่าสังหารเหล่าศัตรูให้จนสิ้น
แม้มันจะคล้ายกับบทร่ายในพิธีกรรมบางอย่าง แต่นี่คือเทคนิคเวทมนตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลโฮโซ มันไม่ใช่การนำเวทมนตร์จากพวกปีศาจมาดัดแปลง แต่มันคือสิ่งที่ถือกำเนิดมาจากมนุษย์อย่างแท้จริง
จากจุดนี้เห็นได้ชัดว่าตระกูลโฮโซนั้นมีจุดมุ่งหมายในการกำจัดความชั่วร้ายและสิ่งมีชีวิตที่เหนือธรรมชาติอย่างแท้จริง พวกเขามีความเชื่อว่าถึงจะเป็นพลังของมนุษย์ก็สามารถก้าวข้ามความชั่วร้ายทั้งปวงได้โดยไม่ต้องไปสัมผัสกับพวกมัน แตกต่างจากตระกูลมิตสึรุกิที่นำเวทของพวกคิจินมาปรับใช้ แล้วรับเอาอาภรณ์วิญญาณมาเสริมพลังตัวเอง ผู้ใช้สปิริตที่ยืมพลังของเหล่าสปิริตมาใช้
การนำพลังของสิ่งอื่นมาใช้ ความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงก็ย่อมลดน้อยลงตาม นอกจากนี้หากมัวแต่พึ่งพาพลังนั้นสุดท้ายก็จะถูกพลังนั้นกลืนกิน ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของตระกูลโฮโซที่ต้องเอาชนะเหล่า อมนุษย์ที่ถูกพลังเหล่านั้นกลืนกินเข้าไป
กฏเหล็กของตระกูลโฮโซผู้ไม่ยอมพึ่งพาพลังจากสิ่งอื่น มันคือสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาตลอดช่วงอายุของตระกูล
พวกเขาคือผู้พิทักษ์แห่งมนุษยชาติ พวกเขาจำเป็นต้องฝึกฝนและขัดเกลาความแข็งแกร่งทั้งทางกายภาพ เวทมนตร์และจิตใจเพื่อถือกำเนิดมนุษย์ผู้สามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายทั้งปวงได้
แน่นอนว่าทุกอย่างมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด โดยเฉพาะเมื่อตระกูลโฮโซต้องเผชิญหน้ากับพวกปีศาจร้าย――อย่างพวกคิจิน
การต่อสู้กับความชั่วร้ายก็เหมือนกับการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นมันไม่มีทางจะจบสิ้น คงไม่ต้องบอกว่าการจะเอาชนะพวกคิจินได้โดยไม่มีอนิม่าหรือไม่รู้ว่าต้องต่อสู้ไปอีกมากขนาดไหนมันยากลำบากเท่าใด
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ตระกูลโฮโซก็ไม่คิดยอมแพ้และหาทางรับมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฝึกฝนและขัดเกลาไม่หยุดยั้ง จนในที่สุดพวกเขาก็เข้าถึงศาสตร์แห่งการผนึกอาภรณ์วิญญาณ
มันคือมนตร์ที่ชินโตร่ายออกมา เทคนิคที่จะสร้างบาเรียขึ้นมาโดยมีผู้ร่ายเป็นศูนย์กลาง『จองจำ』ผลของมันคือจะทำการสะกดพลังของผู้ที่อยู่ในระยะบาเรียจนสิ้น
มันคือหนึ่งในเทคนิคของนานะชิกิที่ตระกูลโฮโซคิดค้นขึ้นมาเพื่อรับมือกับพวกคิจินและความชั่วร้ายทั้งหลาย
เหล่าผู้ใช้นานะชิกิเช่นเดียวกับชินโตจะได้เรียนเทคนิคนี้ โดยตัวของชินโตนั้นใช้เวลากว่า10ปีในการฝึกฝน จองจำ เพียงอย่างเดียว สำหรับชินโตแล้วคลิมก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งที่เริ่มเรียนมายาดาบเดียว เทคนิคของเด็กน้อยซึ่งไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
สำหรับพวกผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณที่สูญเสียพลังคิไป ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเลย
ชินโตที่มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมได้พุ่งเข้าปะทะกับคลิมโดยไม่ออมแรง
ปลายดาบของเขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด โดยไม่ปล่อยให้คลิมมีโอกาสหลบหรือถอยหนี
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขากำลังต่อสู้กันในจุดที่ค่อนข้างแคบ ไม่มีพื้นที่พอให้คลิมหลบเลี่ยงการโจมตีได้ง่ายๆ นอกจากนี้หากเขาคิดจะถอย พวกรันที่อยู่ข้างหลังก็จะถูกชินโตเล่นงานเสียเอง เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเผชิญหน้ากันตรงๆ
ดาบของทั้งสองได้ปะทะกันจนเกิดเสียงดังก้อง การโจมตีแรกคลิมเกือบจะล้มลงไปจากแรงปะทะของชินโต ดาบของเขาเกือบจะหลุดมือแล้วด้วยซ้ำ ทางชินโตที่เห็นแบบนั้นก็สบโอกาสเพิ่มกำลังไปยังแขนขวาที่ส่งแรงไปยังดาบอยู่
ชินโตโจมตีคลิมด้วยความรุนแรง รวดเร็ว และเฉียบคม มือของคลิมมีอาการชามากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เขาต้องรับการโจมตีพวกนั้น
ความกดดันและความหนักหน่วงมันมากพอจะสร้างภาพลวงตาให้เห็นว่าตนถูกโจมตีด้วยหอกแทนที่จะเป็นดาบ ไม่ว่าคลิมจะเห็นช่องว่าของอีกฝ่ายมากเพียงใด เขาก็ไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ไปยังช่องว่างนั้นเลย ความสามารถของชินโตในฐานะนักดาบนั้นเป็นของจริง
「ฮ่าๆๆ! ดูเหมือนเจ้าจะเจ็บปวดมากเลยนะ เคิร์ท! แรงก่อนหน้านี้มันหายไปไหนเสียหมดล่ะ? 」
ชินโตหัวเราะเยาะคลิม แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลดแรงที่ตัวเองใช้ลงเลย
ชินโตเริ่มมั่นใจในชัยชนะของตนแล้ว ทางคลิมเองก็เริ่มจนมุมมากขึ้นเรื่อยๆ สภาพตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากแมวที่กำลังเล่นกับหนูที่เป็นเหยื่อ
โบราณว่าไว้ หากจนมุมแม้จะเป็นหนูก็กัดแมวได้ ทว่าตัวคลิมในตอนนี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย เพราะพลังคิของเขาถูกผนึกไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเทคนิคมายาดาบเดียวทั้งหลายที่เขามีจึงใช้ไม่ได้ แน่นอนว่าอาภรณ์วิญญาณคงไม่ต้องพูดถึง
แถมไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องที่ว่าจะรอให้ผลของจองจำหมดลงเสียก่อน ก็จริงว่าของแบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์เพียงคนเดียวจะใช้งานได้โดยง่าย
แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ชินโตและเหล่าผู้ใช้นานะชิกิต่างฝึกฝนกันจนถึงขีดสุดเพื่อยกระดับพลังของตนให้เพียงพอต่อเทคนิคที่ตนต้องฝึกฝน
ชินโตใช้เวลากว่า 10 ปีในศาสตร์แห่งการผนึกนี้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขาใช้เวลามากกว่าครึ่งชีวิตหนึ่งของคลิมเพื่อเรียนรู้เทคนิคเดียว เทคนิคอันซับซ้อนที่มีชินโตเป็นศูนย์กลางนั้นไม่มีทางที่เด็กน้อยอย่างคลิมจะทำลายมันลงได้เลย อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ชินโตเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัย
「เพราะเจ้าเอาแต่พึ่งพาพลังอันน่าสงสัยอย่างอนิม่ามากเกินไป พอสูญเสียพวกมันไปแล้วเจ้าก็ย่อมจนหนทาง! พลังที่ได้มาอย่างง่ายดายก็ย่อมสูญเสียไปอย่างง่ายดาย! ที่เจ้าต้องเดินทางไปสู่ยมโลกก็เพราะสิ่งนี้แหละเคิร์ท――นานะชิกิ เคียวคุโตะ ชิโฮจิน!! (ศาสตร์แห่งนานะชิกิคมดาบพันสังหาร) 」
วันก่อนชินโตก็เคยใช้เทคนิคนี้ในการจัดการกับคลิมมาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นเขาได้ยั้งมือเอาไว้ไม่ให้ถึงตาย แต่สำหรับตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว เขาทุ่มสุดตัวเพื่อสังหารอีกฝ่าย
ดาบของคลิมลอยขึ้นไปบนอากาศเนื่องจากไม่สามารถรับการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนที่ปล่อยมาในพริบตาเดียวได้
ตอนนี้ไม่มีทางที่คลิมจะตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว ร่างกายของเขาจะถูกทะลวงพรุนเหมือนรังผึ้ง ภาพอันแสนน่าสลดใจย่อมจะเผยให้เห็นในไม่ช้า ชินโตยิ้มออกมา
ทว่ารอยยิ้มนั้นก็เกิดขึ้นได้ไม่นานนัก
แกร๊ก คึ
คลิมได้ใช้มือของตนเองในการจับดาบเอาไว้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้โดยไม่มีอะไรแลกเปลี่ยน ตอนนี้มือของคลิมมีเลือดไหลนองออกมา ทว่านักดาบผมสีขาวก็ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดใดๆ ให้เห็น
พอเห็นแบบนี้แล้ว ชินโตก็แสดงความประหลาดใจออกมา คลิมสามารถหยุดเทคนิคการโจมตีของเขาได้
「ฮึ คิดว่าจะหยุดดาบของข้าได้ด้วยการกระทำเพียงแค่นี้หรือ? หากข้าเพิ่มแรงดันดาบเข้าไปอีกสุดท้ายเจ้าก็ไม่รอดอยู่ดี」
「คิดว่าทำได้ก็ลองดูสิวะ」
「ไม่ต้องรอให้เจ้าบอกหรอกไอ้หนู อย่ามาทำเป็นผยองหน่อยเลย!」
ว่าแล้วชินโตก็ส่งแรงไปยังดาบของเขาเพื่อผลักมันเข้าไปยังร่างของคลิม ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนขนาดไหน แต่คนที่เสียทั้งพลังคิและดาบนั้นย่อมต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
ทั้งที่ควรจะเป็นแบบนั้นแท้ๆ
「――คุ」
ดาบของเขากลับไม่ขยับเลย ไม่ว่าเขาจะออกแรงสักแค่ไหน มันก็ถูกแรงเพียวๆ ของคลิมหยุดเอาไว้ได้
บ้าไปแล้ว ชินโตพูดขึ้น
「ระ-ร้อน!? 」
ความเจ็บปวดเริ่มแผดเผาร่างของชินโตราวกับเขากำลังถือเปลวไฟหาใช่ดาบ
เขารู้ได้ทันทีว่าต้นตอความร้อนนั้นมาจากคลิมที่กำลังจับดาบของเขาเอาไว้อยู่ ชินโตเริ่มเกิดความรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
ดวงตาสีแดงที่กำลังจ้องมองมายังชินโตนั้นลุกโชนไปด้วยเปลวไฟอันร้อนระอุ
「…..เคิร์ท นี่แก」
「แกคิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้เพียงฝ่ายเดียวหรือไง? ก็จริงว่าเทคนิคนี่มันยุ่งยากเสียจนฉันไม่สามารถใช้อาภรณ์วิญญาณได้」
「คุ…คึก! ปล่อยมือออกจากดาบข้านะเว้ย!」
ชินโตไม่สามารถทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นได้ จนต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่แน่นอนว่าคลิมไม่คิดจะทำตามคำพูดของอีกฝ่ายอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกันนั้นเองความแข็งแกร่งของคลิมก็เริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณความร้อนที่ออกมาจากร่างของคลิมก็สูงขึ้นไปอีก แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งประมาณครึ่งหนึ่งของพลังที่คลิมเคยมี แต่มันก็มากพอที่จะรับมือกับนักดาบเพียงคนเดียวที่ไม่มีอาภรณ์วิญญาณได้
ขอย้ำว่า จองจำนั้นเป็นเทคนิคที่เปิดใช้งานโดยใช้พลังของตัวผู้ใช้ในการผนึกพลังของอีกฝ่าย แน่นอนว่ามันไม่มีทางจะผนึกได้อย่างสมบูรณ์เสียทีเดียว และไม่ว่ามันจะมีการควบคุมที่แสนซับซ้อนขนาดไหน แต่ถ้าพลังของอีกฝ่ายสูงกว่าตัวผู้ร่ายมากเกินไป ประสิทธิภาพในการผนึกก็จะลดน้อยลงไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
สุดท้ายแล้วชินโตก็ประเมินพลังของคลิมต่ำไป ไม่สิควรจะบอกว่าเขาอาจจะประเมินพลังของตัวเองสูงไปก็ได้ แต่ไม่ว่าจะทางไหนนี่ก็กลายเป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงสำหรับชินโตไปแล้ว
「เสริมแกร่งอาภรณ์วิญญาณ――จงแผดเผา คุริคาระ!」
「อ๊ากกกกกก!!」
เมื่อคลิมเผยอาภรณ์วิญญาณของเขาออกมา ชินโตก็ถูกความร้อนและแรงกระแทกโจมตีเข้าจัง จนต้องกรีดร้องออกมาก่อนจะถูกพัดปลิวไป จากนั้นคลิมก็โยนดาบของชินโตที่อยู่ในมือเขาทิ้งไปก่อนจะเดินไปหาอีกฝ่ายที่ล้มลงกับพื้น
คลิมเริ่มคิด
สิ่งที่ชินโตพูดและใช้ออกมานั้นน่าสนใจมาก หากไอ้หมอนี่มันไม่ได้มั่นใจในตัวเองมากเกินไปและเป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งนานะชิกิเก่งกว่านี้คงจะไม่ไหว ก็จริงว่าคลิมเองก็ไม่ใช่คนเก่งกาจอะไร ตัวเขานั้นอยู่ในลำดับสุดท้ายของรุ่นทอง เขาอยู่ลำดับที่ 7 ของธงที่ 7 ซึ่งหมายความว่ามีผู้คนอีกมากมายที่เหนือกว่าคลิม
ทว่าคลิมก็ไม่ได้โกหกเรื่องที่บอกว่าเทคนิคของชินโตมันรับมือได้ยาก สำหรับพวกธงแห่งผืนป่าที่ยังไม่เชี่ยวชาญในการใช้อาภรณ์วิญญาณหรือพวกที่กำลังเริ่มเรียนวิธีการใช้ ทักษะของพวกเขาน่าจะถูกผนึกไปจนหมดแน่ๆ
แถมพวกโฮโซเองก็ไม่ใช่กลุ่มกระจอกๆ การที่พวกเขาสามารถคิดค้นเทคนิคพวกนี้ขึ้นมาย่อมไม่อาจมองข้ามได้เลย นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ตระกูลโฮโซเกี่ยวข้องกับผู้นำตระกูลมิตสึรุกิอีก
ยังมีอีกหลายอย่างที่คลิมอยากจะถามชินโต บางทีเขาอาจจะสามารถช่วยพี่สาวของเขาได้โดยไม่ต้องพึ่งสมบัติลับเลยก็ได้หากหลายๆ อย่างเป็นใจพอ แล้วในจังหวะที่คลิมกำลังคิดอยู่นั้นเอง
「――นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ชินโต」
ราตรีที่เงียบสงัด ได้เกิดเสียงสั่นไหวบางอย่างจนร่างของคลิมต้องหยุดนิ่ง
เจ้าของเสียงดังกล่าวนั้น บัดนี้ได้มายืนอยู่ข้างๆ คลิมเรียบร้อยแล้ว ราวกับว่าโผล่ออกมาจากความว่างเปล่าโดยไม่มีสัญญาณใดๆ ทั้งสิ้น
ความเหน็บหนาวได้แล่นผ่านร่างกายของคลิม ขนทุกส่วนของเขาลุกซู่ ก่อนจะรีบพุ่งถอยออกมาจากจุดที่ตนเคยอยู่ทันที
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้สนใจคลิมแม้แต่จะมองเลยสักนิด ก่อนจะเดินไปหาชินโต
「เคลื่อนไหวโดยไม่คิด การรายงานก็ขาดหาย จริงที่กองทัพของนากายามะได้ออกจากไซโตะมาแล้ว ทว่าด้วยความเร็วขณะนี้ ทั้งเวลาและเงินทั้งหมดที่ลงทุนกับพวกคนซานคงสูญเปล่า นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่――」
ไม่มีอารมณ์แห่งความโกรธเคืองใดๆ จากน้ำเสียงนั้น ทั้งการดูถูก เยาะเย้ย หรือหัวเสีย จะมีก็แค่เพียงความสงบนิ่งและสัญญาณว่าเขาไม่ได้เป็นศัตรูกับคลิม
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นคลิมก็เสียวสันหลังเสียจนขยับไปไหนไม่ได้
「สำหรับผู้ใช้ศาสตร์นานะชิกิแล้ว การที่ต้องมาคุกเข่าให้กับเด็กหนุ่มรุ่นลูกตัวเองแบบนี้…..ข้าขอถามเจ้าอีกครั้งชินโต เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? 」
คลิมเห็นสภาพของชินโตผู้สูญเสียหน้ากากคิจินไปแล้วกำลังหน้าซีดตัวสั่นอยู่
ริมฝีปากของเขาสั่นเทาก่อนจะเริ่มเอ่ยขึ้น
「เอ่อ ท่านอูรุย ข้า…ข้า…ไม่สิ เพราะตระกูลมิตสึรุกิ…เจ้าเคิร์ทที่อยู่ตรงนั้น….!」
พอเห็นชินโตกำลังพยายามพูดติดๆ ขัดๆ จนกัดลิ้นตัวเอง คนที่ถูกเรียกว่าอูรุยก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เมื่อเห็นสภาพที่ดูไม่ได้ของชินโตเป็นแบบนั้น อูรุยก็หันกลับมาทางคลิม บางทีเขาน่าจะกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง
นี่เป็นครั้งแรกที่คลิมได้เห็นใบหน้าของอูรุยชัดๆ
เส้นผมสีขาวและเคราสีขาว ทั้งรอยย่นที่อยู่บนใบหน้า ไม่ว่าจะเด็กสักแค่ไหนอายุก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ปีได้เลย ทว่าสีหน้าของเขานั้นกลับมีชีวิตชีวาเสียจนมองว่าความชราไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย
ชายชรามองดูคลิมอย่างเฉยเมย ก่อนจะเบนสายตาไปที่อาภรณ์วิญญาณซึ่งคลิมถือเอาไว้อยู่
「ข้ามีชื่อว่าอูรุย ผู้นำของตระกูลโฮโซ หวังว่าพวกเราจะสนิทสนมกันได้นะหนุ่มน้อยจากธงแห่งผืนป่า」
——-
Note 1 : ผนึกคล้ายกับจูสุมารุของโกซุแบบอัพเกรดเลยวุ้ย
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code